ไทยรัฐ
23/9/2543
ศาลสงฆ์ชี้คดี ธัมมชโยมีมูล
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. คณะผู้พิจารณาชั้นต้น หรือศาลสงฆ์ อันประกอบด้วย พระธรรมโมลี เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติ รักษาการเจ้าคณะภาค 1 พระเทพสุธี วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 และพระปริยัติวโรปการ วัดเขียนเขต รักษาการเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้นัดหมายให้นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา กับนายสมพร เทพสิทธา รองประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย เดินทางมารับฟังผลการพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เนื่องจากทั้ง 2 คน ได้ยื่นคำฟ้องพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ว่ามีความผิดในข้อหาอวดอุตริมนุสธรรม เผยแพร่คำสอนเรื่องนิพพานเป็นอัตตา ยักยอกที่ดินอันเป็นของวัด และฉ้อโกงทรัพย์ของประชาชน
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศผล ที่บริเวณหน้าตึกรัฐธัมมูปถัมภ์ กลุ่มพุทธศาสนิกชนที่สนใจคดีประวัติศาสตร์กว่า 60 คน เดินทางมาชุมนุมกัน เพื่อร่วมรับฟังผลการพิจารณา โดยมีการนำป้ายข้อความกล่าวโจมตีพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว มาตั้งไว้ที่หน้าตึก ขณะที่วัดพระธรรมกาย ได้ส่ง น.ส.จงเปนนี เรืองพร้อม เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มูลนิธิวัดพระธรรมกาย นำช่างภาพมาบันทึกวีดิโอเทปและถ่ายภาพนิ่ง เพื่อกลับไปรายงานให้พระธัมมชโยทราบ กระทั่งเวลา 15.30 น. นายมาณพ โจทก์ผู้กล่าวหาอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ออกมาแถลงผลการตัดสินว่า ตามที่ตนและนายสมพรได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระธัมมชโยและพระทัตตชีโวนั้น คำฟ้องของตน 2 ข้อกล่าวหาคือ สอนนิพพานเป็นอัตตา กับยักยอกที่ดินวัด และคำฟ้องของนายสมพร 3 ข้อหา คือ อวดอุตริมนุสธรรม ยักยอกที่ดิน ฉ้อโกง หลอกลวงประชาชน ซึ่งศาลสงฆ์พิจารณาว่ามีมูล
นายมาณพแถลงต่อว่า แต่ศาลสงฆ์ยังไม่สั่งประทับรับฟ้อง เนื่องจากได้อ้างมติมหาเถรสมาคม ที่ 27/2522 ที่ระบุว่า ให้ผู้กล่าวหาที่ยื่นคำฟ้องตามกฎนิคหกรรม ต้องแยกสำนวนคำฟ้องตามความผิด ระหว่างความผิดละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ กับความผิดเรื่องละเมิดพระธรรมวินัย ศาลสงฆ์จึงสั่งให้ตนและนายสมพรนำสำนวนคำฟ้อง แยกความผิดในข้อกล่าวหาต่างๆ ตามมติมหาเถรฯ ดังกล่าว ความผิดใดตรงกับการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ให้ไปยื่นคำฟ้องกับเจ้าคณะผู้ปกครองวัดพระธรรมกาย เช่น เจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งอาจมีโทษถึงขั้นให้สึก ส่วนความผิดใด ที่เข้าข่ายละเมิดพระธรรมวินัย ให้ยื่นฟ้องกับคณะผู้พิจารณาชั้นต้นที่จะต้องใช้กระบวนการของศาลสงฆ์ตัดสินต่อไป ตนมั่นใจว่าจะส่งคำฟ้องใหม่ได้ใน 15 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ผลการตัดสินของศาลสงฆ์ ต่อกรณีวัดพระธรรมกายครั้งนี้ สร้างความสับสนคลุมเครือให้แก่ผู้ที่เป็นโจทก์ เพราะไม่มีความชัดเจนเพียงแต่บอกว่าคำฟ้องมีมูล แต่ไม่ยอมประทับรับฟ้องเพราะอ้างว่าขัดมติมหาเถรสมาคม และหลังการประกาศผล พระเถระที่เป็นศาลสงฆ์ ต่างหลบหน้าสื่อมวลชน ไม่ยอมออกมาแถลงข่าว มีรายงานข่าวว่า มีพระเถระในศาลสงฆ์รูปหนึ่ง นำมติมหาเถรสมาคม ตั้งแต่ปี 2522 มาเป็นข้ออ้างว่าคำฟ้องขัดมติมหาเถรสมาคม เพื่อที่จะไม่รับคำฟ้องของโจทก์ แต่เกรงว่าจะถูกครหาจึงต้องประกาศผลแก้เกี้ยวว่า คำฟ้องมีมูลเพื่อลดกระแส อย่างไรก็ตาม คดีพระธัมมชโย และพระทัตตชีโว วัดพระธรรมกาย ถือเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่พระสงฆ์ต้องตกเป็น จำเลยความผิดตามกฎนิคหกรรม และคดีนี้ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี ส่งผลให้พระเถระที่เกี่ยวข้อง ต้องกระเด็นจากเก้าอี้ ถึง 2 รูป ในข้อหาปกป้องพระธัมมชโย ได้แก่ พระพรหมโมลี วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 และพระครูปทุมกิจโกศล วัดสว่างภพ อดีตเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง