พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๔๕
ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ หน้า 581-582 ข้อ 272 สังฆาฏิสูตร
๓. สังฆาฏิสูตร
ว่าด้วยผู้พระพฤติธรรมอยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้พระองค์
[ ๒๗๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิแล้วพึงเป็นผู้ติดตามไปข้างหลังๆ
เดินไปตามรอยเท้า
ของเราอยู่ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มีอภิชฌาเป็นปกติ มีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย
มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจ
ชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์
โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ห่างไกลเราทีเดียว และเราก็อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะภิกษุนั้นย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรมย่อมชื่อว่าไม่เห็นเรา ดูก่อนภิษุทั้งหลาย
ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึงอยู่ในที่ประมาณ ๑00 โยชน์ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา
ไม่มีความกำหนัดแรงกล้า ในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย
มีสติมั่น รู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นย่อม
เห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา
บุคคลผู้มักมาก มีความคับแค้น ยังเป็นไปตามตัณหา
ดับความเร่าร้อนไม่ได้ แม้หากว่าพึง
เป็นผู้ติดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หาความหวั่นไหวมิได้ ผู้ดับความเร่าร้อนได้แล้วไซร้
บุคคลนั้นผู้กำหนัด
ยินดี ชื่อว่าพึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากความกำหนัดยินดี เพียงในที่ไกลเท่านั้น
ส่วนบุคคลใด
เป็นบัณฑิต รู้ธรรมด้วยปัญญา เป็นเครื่องรู้ธรรมอันยิ่ง
เป็นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ สงบระงับเปรียบเหมือน
ห้วงน้ำที่ไม่มีลมฉะนั้น บุคคลนั้นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ ทั้งดับความเร่าร้อนได้แล้ว
ผู้ไม่กำหนัดยินดี ชื่อว่าพึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หาความหวั่นไหวมิได้
ทั้งดับความเร่าร้อนได้แล้ว ปราศจากความ
กำหนัดยินดีในที่ใกล้แท้
หน้า ๕๘๓
อรรกถาสังฆาฏิสูตร
บทว่า โส อารกาว มยฺหํ อหญฺจ ตสฺส ความว่า ภิกษุนั้นเมื่อไม่บำเพ็ญปฏิปทาที่เราตถาคตกล่าวแล้วให้บริบูรณ์
ก็ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ไกลเราตถาคตทีเดียว เราตถาคต ก็ชื่อว่า อยู่ไกลเธอเหมือนกัน
ด้วยคำนี้ พระองค์แสดงว่า การเห็น
พระตถาคตเจ้า ด้วยมังสจักษุก็ดี การอยู่ร่วมกันทางรูปกายก็ดี ไม่ใช่เหตุ (
ของการอยู่ใกล้ ) แต่การเห็นด้วยญาณจักษุ
เท่านั้นและการรวมกันด้วยธรรมกายต่างหาก เป็นประมาณ ( ในเรื่องนี้ ) ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม
เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต ในคำว่า ธมฺมํ น ปสฺสติ นั้น
มีอธิบายว่า โลกุตรธรรม ๙ อย่าง ชื่อว่า ธรรม ก็เธอไม่อาจจะเห็นโลกุตตรธรรมนั้นได้
ด้วยจิตที่ถูกอภิชฌา
เป็นต้นประทุษร้าย เพราะไม่เห็นธรรมนั้น เธอจึงชื่อว่า ไม่เห็นธรรมกาย
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ เธอมีประโยชน์อะไร ด้วยกายอันเปื่อยเน่า นี้ที่เธอได้เห็นแล้ว
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้น ก็เห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเรา ตถาคต
ผู้นั้น ก็เห็นธรรม ดังนี้ และว่า เราตถาคตเป็นพระธรรม เราตถาคตเป็น
พระพรหมดังนี้ และว่า เป็นธรรมกายบ้าง เป็นพรหมกายบ้าง ดังนี้เป็นต้น