พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
พระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์
พ.ศ. 2505
-------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2505
เป็นปีที่ 17 ในรัชกาลปัจจุบัน
                            
          พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ
  โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
          โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำ
  และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
          มาตรา 1  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 
  พ.ศ. 2505"
          มาตรา 2* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
  ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
         *[รก.2505/115/29พ./31 ธันวาคม 2505]
มาตรา 3  ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484
          มาตรา 4  ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
  บังคับ  บรรดากฎกระทรวง สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชา
  สมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ที่ใช้บังคับอยู่ในวัน
  ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้คงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัด
  หรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม 
  พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับหรือระเบียบของมหาเถรสมาคมยกเลิก 
  หรือมีความอย่างเดียวกัน หรือขัดหรือแย้งกัน หรือกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น
          มาตรา 5  เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา 4 บรรดาอำนาจหน้าที่ซึ่งกำหนด
  ไว้ในสังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับ
  และระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพระภิกษุตำแหน่งใดหรือ
  คณะกรรมการสงฆ์ใดซึ่งไม่มีในพระราชบัญญัตินี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจกำหนด
  โดยกฎมหาเถรสมาคมให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพระภิกษุตำแหน่งใด รูปใดหรือ
  หลายรูปร่วมกันเป็นคณะตามที่เห็นสมควรได้
          มาตรา 5 ทวิ* ในพระราชบัญญัตินี้
          "คณะสงฆ์" หมายความว่า บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบท
  จากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราช
  บัญญัตินี้ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร
          "คณะสงฆ์อื่น" หมายความว่า บรรดาบรรพชิตจีนนิกาย หรือ 
  อนัมนิกาย
          "พระราชาคณะ" หมายความว่า พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งและสถาปนา
  ให้มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ
"สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์" หมายความว่า
  สมเด็จพระราชาคณะที่ได้รับสถาปนาก่อนสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่น ถ้าได้รับ
  สถาปนาในวันเดียวกันให้ถือรูปที่ได้รับสถาปนาในลำดับก่อน
         *[มาตรา 5 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 5 ตรี* พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง
  สถาปนาและถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์
         *[มาตรา 5 ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
 
          มาตรา 6  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตาม
  พระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตาม
  พระราชบัญญัตินี้
          กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
                           หมวด 1
                       สมเด็จพระสังฆราช
                          -------
          มาตรา 7* พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
          ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดย
  ความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด
  โดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
          ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติ
  หน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จ
  พระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติ
  หน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
         *[มาตรา 7 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535
มาตรา 8  สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก
  ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม
          มาตรา 9* ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงลาออกจากตำแหน่งหรือ
  พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดให้ออกจากตำแหน่ง พระมหากษัตริย์จะทรง
  แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสมเด็จพระสังฆราชหรือตำแหน่งอื่นใดตามพระราช
  อัธยาศัยก็ได้
        *[มาตรา 9 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 10* ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะ
  ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
          ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่
  ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่เลือกสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มี
  อาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติ
  หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
          ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจ
  ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะ
  รูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
          ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตาม
  วรรคสาม หรือสมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จ
  พระสังฆราชไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำความในวรรคหนึ่ง
  และวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
          ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะ
  ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา
         *[มาตรา 10 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
มาตรา 11  สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
          (1) มรณภาพ
          (2) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
          (3) ลาออก
          (5) ทรงพระกรุณาโปรดให้ออก
                           หมวด 2
                        มหาเถรสมาคม
                          -------
          มาตรา 12* มหาเถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรง
  ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็น
  กรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง
  มีจำนวนไม่เกินสิบสองรูปเป็นกรรมการ
         *[มาตรา 12 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 13  ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม
  โดยตำแหน่ง และให้กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม
          มาตรา 14  กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรง
  แต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
          มาตรา 15  นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 14 
  กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง 
  เมื่อ
          (1) มรณภาพ
          (2) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
          (3) ลาออก
          (4) สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก
          ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ สมเด็จ
  พระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง เป็นกรรมการแทน
          กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคก่อนอยู่ในตำแหน่งตาม
  วาระของผู้ซึ่งตนแทน
          มาตรา 15 ทวิ* การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตามมาตรา 12
  และการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 15 ให้รัฐมนตรี
  ว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
         *[มาตรา 15 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 15 ตรี* มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
          (1) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
          (2) ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
          (3) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การ
  เผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์
          (4) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
          (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือ
  กฎหมายอื่น
          เพื่อการนี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออก
  ข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคำสั่ง มีมติหรือออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้ง
  กับกฎหมายและพระธรรมวินัยใช้บังคับได้ และจะมอบให้พระภิกษุรูปใดหรือ
  คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 19 เป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ตาม
  วรรคหนึ่งก็ได้
         *[มาตรา 15 ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
          มาตรา 15 จัตวา* เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความ
  เรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อ
  กำหนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่
  ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ก็ได้
          พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่ง ถึงขั้นให้สละสมณเพศ
  ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ
         *[มาตรา 15 จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ(ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
          มาตรา 16* ในกรณีที่ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมไม่อาจมา
  ประชุม หรือไม่อยู่ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม และมิได้มอบหมายให้สมเด็จ
  พระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส
  สูงสุดโดยสมณศักดิ์ซึ่งอยู่ในที่ประชุมเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
         *[มาตรา 16 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 17  การประชุมมหาเถรสมาคมต้องมีกรรมการโดยตำแหน่ง
  และกรรมการโดยการแต่งตั้งรวมกันมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการ
  ทั้งหมดจึงเป็นองค์ประชุม
          ระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคมให้เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม
          มาตรา 18* ในกรณีที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมแทน
  ตำแหน่งที่ว่างตามมาตรา 15 วรรคสอง ให้ถือว่ามหาเถรสมาคมมีกรรมการ
  เท่าจำนวนที่เหลืออยู่ในขณะนั้น
         *[มาตรา 18 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
มาตรา 19* สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือคณะ
  อนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ตามมติมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยพระภิกษุหรือบุคคล
  อื่นจำนวนหนึ่ง มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องที่จะเสนอต่อมหาเถรสมาคมและ
  ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหาเถรสมาคมมอบหมาย โดยขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม
          การจัดให้มีคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ การแต่งตั้ง
  กรรมการหรืออนุกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการหรืออนุกรรมการ
  และระเบียบการประชุม ให้เป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคม
         *[มาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
                           หมวด 3
                      การปกครองคณะสงฆ์
                          -------
          มาตรา 20* คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม
          การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ
  มหาเถรสมาคม
         *[มาตรา 20 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 20 ทวิ* เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและ
  ส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์
          การแต่งตั้งและการกำหนดอำนาจหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไปตาม
  หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
         *[มาตรา 20 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
          มาตรา 21  การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้จัดแบ่งเขตปกครอง
  ดังนี้
(1) ภาค
          (2) จังหวัด
          (3) อำเภอ
          (4) ตำบล
          จำนวนและเขตปกครองดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎมหาเถร
  สมาคม
          มาตรา 22  การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้มีพระภิกษุเป็น
  ผู้ปกครองตามชั้นตามลำดับ ดังต่อไปนี้
          (1) เจ้าคณะภาค
          (2) เจ้าคณะจังหวัด
          (3) เจ้าคณะอำเภอ
          (4) เจ้าคณะตำบล
          เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นสมควรจะจัดให้มีรองเจ้าคณะภาค 
  รองเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะอำเภอ และรองเจ้าคณะตำบล เป็นผู้ช่วย
  เจ้าคณะนั้น ๆ ก็ได้
          มาตรา 23 การแต่งตั้ง ถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส 
  รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งปกครอง
  คณะสงฆ์ตำแหน่งอื่น ๆ และไวยาวัจกร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
  ที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
หมวด 4
                   นิคหกรรมและการสละสมณเพศ
                          -------
          มาตรา 24  พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรมก็ต่อเมื่อกระทำการล่วง
  ละเมิดพระธรรมวินัย และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุก็ต้องเป็นนิคหกรรม
  ตามพระธรรมวินัย
          มาตรา 25  ภายใต้บังคับมาตรา 24 มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรา
  กฎมหาเถรสมาคมกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้การลงนิคหกรรม
  เป็นไปโดยถูกต้องสะดวกรวดเร็วและเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วย
  กฎหมาย ที่มหาเถรสมาคมจะกำหนดในกฎมหาเถรสมาคมให้มหาเถรสมาคม
  หรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตำแหน่งใดเป็นผู้มีอำนาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุ
  ผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย กับทั้งการกำหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้
  เป็นอันยุติในชั้นใด ๆ นั้นด้วย
          มาตรา 26  พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยและได้มีคำวินิจฉัย
  ถึงที่สุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบ
  คำวินิจฉัยนั้น
          มาตรา 27* เมื่อพระภิกษุรูปใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
          (1) ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 ให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก 
  แต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น
          (2) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
          (3) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง
          (4) ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดใน
  กฎมหาเถรสมาคม
          พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายใน
  สามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น
         *[มาตรา 27 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 28  พระภิกษุรูปใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคล
  ล้มละลายต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
          มาตรา 29  พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา
  เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและ
  เจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงาน
  สอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้
  สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุ
  รูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
          มาตรา 30  เมื่อจะต้องจำคุก กักขังหรือขังพระภิกษุรูปใดตาม
  คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติ
  การให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุ
  รูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น
                           หมวด 5
                             วัด
                          -------
          มาตรา 31* วัดมีสองอย่าง
          (1) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
          (2) สำนักสงฆ์
ให้วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล
          เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป
         *[มาตรา 31 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 32  การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย การยุบเลิกวัด
  และการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดใน
  กฎกระทรวง
          ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดที่ถูกยุบเลิกให้ตกเป็นศาสนสมบัติ
  กลาง
          มาตรา 32 ทวิ* วัดใดเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระภิกษุอยู่อาศัย ในระหว่าง
  ที่ยังไม่มีการยุบเลิกวัด ให้กรมการศาสนามีหน้าที่ปกครองดูแลรักษาวัดนั้น รวมทั้ง
  ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์และทรัพย์สินของวัดนั้นด้วย
          การยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
         *[มาตรา 32 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
          มาตรา 33  ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด มีดังนี้
          (1) ที่วัด คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น
          (2) ที่ธรณีสงฆ์ คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด
          (3) ที่กัลปนา คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา
          มาตรา 34* การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง
  ให้กระทำได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ เว้นแต่เป็นกรณีตามวรรคสอง
การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้แก่
  ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้อง
  และได้รับค่าผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นแล้ว 
  ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา
          ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือกรมการศาสนา แล้วแต่
  กรณี ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง
         *[มาตรา 34 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 35* ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สินซึ่ง
  ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
         *[มาตรา 35 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 36  วัดหนึ่งให้มีเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง และถ้าเป็นการสมควรจะ
  ให้มีรองเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วยก็ได้
          มาตรา 37  เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังนี้
          (1) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
          (2) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัย
  อยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือ
  คำสั่งของมหาเถรสมาคม
          (3) เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต
  และคฤหัสถ์
          (4) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล
          มาตรา 38  เจ้าอาวาสมีอำนาจดังนี้
          (1) ห้ามบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งมิได้รับอนุญาตของเจ้าอาวาสเข้าไป
  อยู่อาศัยในวัด
          (2) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไป
  เสียจากวัด
          (3) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยในวัด ทำงาน
  ภายในวัด หรือให้ทำทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษในเมื่อบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดนั้น
  ประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวาสซึ่งได้สั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม
  ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
          มาตรา 39  ในกรณีที่ไม่มีเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าที่
  ได้ให้แต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมีอำนาจ
  และหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส
          การแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ
  วิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
                           หมวด 6
                          ศาสนสมบัติ
                          -------
          มาตรา 40  ศาสนสมบัติแบ่งออกเป็นสองประเภท
          (1) ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ทรัพย์สินของพระศาสนา ซึ่งมิใช่ของวัดใด
   วัดหนึ่ง
          (2) ศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง
          การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่
  กำหนดในกฎกระทรวง
          การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ
  กรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลาง
  นั้นด้วย
มาตรา 41  ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของ
  ศาสนสมบัติกลางด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศใน
  ราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้งบประมาณนั้นได้
                           หมวด 7
                         บทกำหนดโทษ
                          -------
          มาตรา 42* ผู้ใดมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอน
  จากความเป็นพระอุปัชฌาย์ตามมาตรา 23 แล้ว กระทำการบรรพชาอุปสมบท
  แก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
         *[มาตรา 42 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
 
          มาตรา 43* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 จัตวา วรรคสอง มาตรา 26
  มาตรา 27 วรรคสาม หรือมาตรา 28 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
         *[มาตรา 43 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 44* ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว
  ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 หรือไม่ก็ตาม แต่มารับบรรพชาอุปสมบทใหม่
  โดยกล่าวความเท็จหรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษจำคุก
  ไม่เกินหนึ่งปี
         *[มาตรา 44 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
          มาตรา 44 ทวิ* ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความ
อาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี 
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
         *[มาตรา 44 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
มาตรา 44 ตรี* ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อ
  ให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี 
  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
         *[มาตรา 44 ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2)
  พ.ศ.2535]
                           หมวด 8
                          เบ็ดเตล็ด
                          -------
          มาตรา 45  ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
  ในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวล
  กฎหมายอาญา
          มาตรา 46* การปกครองคณะสงฆ์อื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ
  วิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง
         *[มาตรา 46 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535]
  ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
     จอมพล ส.ธนะรัชต์
       นายกรัฐมนตรี
----------------------------------------------------------
  หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การจัด
  ดำเนินกิจการคณะสงฆ์ มิใช่เป็นกิจการอันพึงแบ่งแยกอำนาจดำเนินการด้วยวัตถุ
  ประสงค์เพื่อการถ่วงดุลย์แห่งอำนาจเช่นที่เป็นอยู่ตามกฎหมายในปัจจุบัน และ
  โดยที่ระบบเช่นว่านั้นเป็นผลบั่นทอนประสิทธิภาพแห่งการดำเนินกิจการ จึงสมควร
  แก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ให้สมเด็จพระสังฆราชองค์สกลมหาสังฆปริณายกทรง
  บัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ตามอำนาจกฎหมายและพระธรรมวินัย 
  ทั้งนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา
  ------------------------------------------------------------
  พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 [รก.2535/16/5]
          มาตรา 18  บรรดากฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ 
  ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคมที่ออกตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 
  พ.ศ.2505 ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้
          มาตรา 19  วัดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
  พาณิชย์ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไข
  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
          มาตรา 20  ให้พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งและสถาปนาให้มีสมณศักดิ์อยู่
  ก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ยังมีสมณศักดิ์นั้นต่อไป
          ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่
  กรรมการหรืออนุกรรมการใดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 หรือตาม
  กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
  ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ยังคงดำรงตำแหน่งหรือ
  ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระการดำรงตำแหน่งหรือจนกว่ามหาเถรสมาคมจะมีมติ
  เป็นประการอื่น