อภิอมตมหาเศรษฐี โดย 'เปรียญเก้า' คอลัมน์หน้า 6 นสพ.มติชนรายวันฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2541

Posted by ฉึกกะฉัก on December 21, 1998 at 21:57:08:

อภิอมตมหาเศรษฐี โดย 'เปรียญเก้า' คอลัมน์หน้า 6 นสพ.มติชนรายวันฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2541

ข่าวฉาวโฉ่ของวัดพระธรรมกายเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การระดมทุนอย่างเป็าเป็นเอาตาย เพื่อ "ดูดทรัพย์" จากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ให้บริจาคคนละจำนวนมากๆโดยใช้กลยุทธ์ในการหาเงินทุกรูปแบบ

มีทั้งโปตเจ็กต์ระยะสั้นและระยะยาวชนิดที่"หากิน"ได้อย่างต่อเอง อาทิ โครงการบวชธรรมทายาท โครงการปลูกต้นกัลปพฤกษ์แสนต้น โครงการบวชอุบาสกแก้ว อุบาสิกาแก้ว ล่าสุดโครงการสร้างพระธรรมกายเจดีย์อันยิ่งใหญ่มหึมา

อย่างหลังนี้ตั้งเป้าไว้เป็นจำนวนเจ็ดหมื่นล้านบาท

ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศก็มองด้วยความไม่เข้าใจว่า นี่หรือพระ นี่หรือพระพุทธศาสนา ไหนว่าพระสงฆ์เป็นผู้มักน้อยด้วยปัจจัยสี่ ทำไมกลายเป็นผู้มักมากด้วยลาภสักการะเงินทอง กอบโกยเพื่อความร่ำรวย

ไหนว่าพระในพระพุทธศาสนานั้นดำรงชีวิตอยู่แต่พอดี กินแต่พอดี ใช้วัตถุให้น้อยทำประโยชน์ให้มาก ทำไมทำตนเป็น "อาเสี่ย"หรือเจ้าสัวมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้านมีเครื่องอำนวยความสะดวก
สบายสารพัดยิ่งกว่าสุลต่าน

ไหนว่าพระพุทธศาสนานั้นสอนให้คนทำบุญทำทานด้วยความพอเหมาะพอดี ให้ตามกำลังศรัทธา ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่นให้ทานเพื่อกำจัดกิเลส เช่น ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว

ท่านเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตใจให้สะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เน้นไปที่ของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ได้มาโดยสุจริต เน้นเจตนาที่ให้ต้องบริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ กำลังให้และหลังจากให้ เน้นผู้รับต้องมีศีลธรรม

ไม่สอนให้ให้ทานด้วยหวังผลตอบแทน

ไฉนพระสงฆ์ (โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่เป็นข่าว) จึงสอนให้คนบริจาคมากๆเพื่อให้ได้บุญมากๆ เอาบุญของพระพุทธเจ้ามาเป็น "สินค้า" ซื้อขายกันอย่างโจ๋งครึ่มเช่นนี้

เสียงท้วงติงก็ดังขึ้นจากทุกทิศ พระคุณเจ้าก็หาว่า สังคมโหดร้ายกับท่าน มีแผนทำลายชื่อเสียงของวัดพระธรรมกาย ทำกันเป็นขบวนการ เป็นขั้นเป็นตอน แต่หาได้มองย้อนดูตัวเองว่า ที่นั่นแหละทำลายตัวท่านเอง เพราะบาปกรรมที่ท่านก่อไว้นั้นกำลังสุกงอมและให้ผล ไม่ต้องให้ใครมาวางแผนทำลาย

สนิมเกิดแต่เหล็กและก็กัดเหล็กผุกร่อนเอง หามีใครยื่นสนิมให้เหล็กมันไม่

ล่าสุดข่าวก็ออกมาว่า พระคุณเจ้ามีโฉนดที่ดินในครอบครอง ใส่ชื่อพระชัยบูลย์ หรือธัมมชโย เป็นเจ้าของโฉนด ก็งงกันไปทั่วว่า พระสงฆ์องค์เจ้าที่พระพุทธเจ้าให้มี "อาชีพ"เพียงการภิกษาจาร (ขออาหารชาวบ้านยังชีพ) มีอาชีพ เป็นเจ้าของที่ดินมากมายมหาศาลเท่าที่พบ 156 ไร่ (ที่ยังไม่เปิดเผยออกมาอีกเท่าไรไม่ทราบ)

ข่าวนี้ออกมาอาจทำพระคุณเจ้าท่านโกรธระงับสติอารมณ์ไม่อยู่ดังเมื่อคราวแถลงต่อสื่อมวลชนครั้งแรก ถึงกับตีหน้ายักษ์ ผรุสวาทออกมาก็ได้ หลายคนเห็นด้วยว่า ท่านต้องโกรธแน่นอน โกรธที่หาว่าอภิอมตมหาเศรษฐีอย่างท่านมีที่ดินแค่ร้อยกว่าไร่เท่านั้น

มันจะดูถูกกันมากเกินไปกระมัง

ใคร่ขอให้กัลยาณมิตรทั้งหลาย สงบจิตสงบใจย้อมดูพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักหน่อยได้ไหม พระภิกษุที่บวชเข้าในพระพุทธศาสนานั้น มีสิ่งพึงกระทำ 4 ประการคือ

นิสัย 4 (สิ่งพึงอาศัยดำรงชีพ) ได้แก่

-ถือครองเครื่องนุ่งห่มแค่ไตรจีวร สมัยก่อนโน้นเป็นผ้าที่แสวงหาจากกองขยะมาทำจีวร ปัจจุบันทรงอนุญาตให้ใช้ผ้าที่ชาวบ้านทำถวายได้ แต่ก็มีแค่สามผืนเท่านั้น

-บิณฑบาต เที่ยวภิกษาจาร ขอข้าวชาวบ้านยังชีพ ถ้าจะถือว่าเป็น "อาชีพ" ก็มีอาชีพบิณฑบาตเท่านั้น

-อยู่โคนต้นไม่เป็นนิตย์ ต่มาอนุญาตให้อยู่ที่มุงที่บังได้ แต่ก็ไม่ใช่ตึกรามหรูหราอย่างในปัจจุบัน

-ฉันยารักษาโรค คือยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า คือยาสมุนไพรต่างๆเพื่อรักษายามเจ็บป่วย ปัจจุบันก็อนุญาตให้รักษาโดยยาแพทย์แผนปัจจุบันได้

ทั้งนี้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ มีกำลังกายปฏิบัติกิจพระศานาและสั่งสอนประชาชน

พระพุทธเจ้ามิได้อนุญาตให้ใครก็ตามบวชมาเพื่ออาศัยพระศาสนาหากิน บวชมาเพื่อมาเอาคำสอนของพระองค์ไปเป็นเครื่องมือหากิน

แม้เพียงเรียนรู้ธรรมจากพระพุทธองค์สอนแล้ว ไปโกหกคนว่าไม่ได้รู้จากใครเลย ก็ถือว่าเป็นมหาโจร หรือไอ้โกหกแล้ว

ยิ่งมาเอาคำสอนไปบิดเบือน เป็น"สินค้า" ขายเอาเงินมาปรนเปรอตนเอง จะมิยิ่งกว่ามหาโจรอีกหรือ

ท่านอาจจะเถียงว่า ที่ทำนี้ไม่เห็นผิดศีลข้อใด ใน 227 ข้อ จริงอยุ่ปาราชิก 4 ข้อ ไม่มีข้อว่าด้วยค้าขายบุญหรือขูดรีดคนมาทำบุญก็จริง

แต่คำว่า ศีล ของพระ มิใช่เพียงแค่นั้นยังมีศีลอย่างอื่นที่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระจะต้องรักษาอย่างเคร่งครัด และศีลที่ว่านี้คือเครื่องชี้ชัดว่าใครเป็นพระแท้หรือพระเทียม

ศีลที่ว่านั้นท่านเรียกว่า จาตุปาริสุทธิศีล (ศีลที่ทำให้บริสุทธิ์ 4 ข้อ) คือ

1.ปาติโมกขสังวรศีล รักษาศีลในปาติโมกข์ คือ รักษา 227 ข้อ และอื่นๆนอกจากนั้นให้บริสุทธิ์

2.อาชีวปริสุทธิศีล ศีลคืออาชีพที่บริสุทธิ์ อาชีพของพระมีอย่างเดียวคือภิกษาจาร ขอข้าวเขายังชีพ จะต้องไม่โกหกหลอกลวงให้คนเขาหลงศรัทธามาบริจาค

จะต้องไม่แสวงหาในทางที่ไม่เหมาะแก่สมณอันเรียกว่า อเนสนา (การแสวงหาที่ไม่ควร)

3.อินทรียสังวรศีล ศีลคือการทำสำรวมอีนทรีย์ ได้แก่สำรวมการแสดงออกทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีอาการสงบสำรวม แก่สมณสารูป ควรกราบควรไหว้แท้จริง

4.ปัจจัยสันนิสตศีล ศีลคือการใช้ปัจจัยพื้นฐานให้เหมาะสมแก่สมณะ เช่นใช้วัตถุแต่น้อย ทำประโยชน์ให้มาก อยู่ง่ายกินง่าย ใช้วัตถุเพื่อประโยชน์แท้ มิใช่เพื่อประโยชน์เทียม เช่น กินอาหารเพื่อยังชีพ ไม่ใช่สั่งอาหารดีๆจากเหลากินเพื่อปรนเปรอกิเลส ตัณหา เป็นต้น

การมีชีวิตอยู่อย่างอู้ฟู่อ้าฟ่า หรูหรายิ่งกว่ามหาราชาหรือสุลต่าน ใช้รถราคาแพง สั่งอาหารจากภัตตาคารอย่างดีมากิน ใช้ผ้าจีวรสะท้อนแสงราคาแพง อบผิวด้วยสมุนไพร อยู่กุฏิหรูหราใหญ่โต สร้างวัดให้กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา

สร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต ต้องใช้เงินมากมายมหาศาล (ที่ร้ายมิใช่เงินของตน เป็นเงินที่ขูดรีดบุญเขามาสร้าง) มีสมบัติพัสถานเช่นที่ดินในครองครองมากมาย จากเงินที่ชาวบ้านเขาทำบุญ

เรื่องแบบนี้นับวันแต่จะเผยออกมา มิใช่เป็นแผนการทำลายของใคร หากเป็นผลการทำลายตัวเองที่ท่านได้ก่อสร้างขึ้นนั่นเอง

เงื่อนไขมันสุกงอมแล้วทุกอย่างก็จะออกมาเอง

ทั้งหมดนี้ยืนยันสัจธรรมของพระพุทธวจนะที่ตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยของตถคต เปรียบดุจมหาสมุทร มหาสมุทรนั้นไม่เก็บซากศพไว้ ซากศพที่ทิ้งลงในมหาสมุทร จะถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง หรือถูกปลากินหมดฉันใด ธรรมวินัยของตถาคตก็ไม่เก็บคนทุศีลไว้ ฉันนั้น"

ครับ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ และเป็นศาสนาของผู้บริสุทธิ์ คนทุศีลที่ไม่บริสุทธิ์ย่อมอยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ไม่มีใครจัดการ กรรมที่เขาทำไว้นั้นแหละจะจัดการเอง

เพียงแต่พระศาสนาชำระช้าไปหน่อย ไม่ทันใจโก๋ เท่านั้นเอง