เดลินิวส์ 25/2/2543
ธรรมกายถอนฟ้องบิ๊กไอทีวี
ธรรมกาย ถอนฟ้องไอทีวีพร้อมผู้บริหารรวม 9 คนกะจะเล่นงาน "สาระขัน" แต่ไม่ใช่เป็นของสถานี ต้องฟ้องใหม่อีกรอบ แต่พิธีกรดัง "กฤษณะ ไชยรัตน์" ยังเหนื่อยต่อไปอีก "วิชัย" ให้เชื่อมั่น สมเด็จวัดชนะฯ จะเป็นผู้นำแก้ปัญหาวัดฉาวได้ แม้จะถูกวิจารณ์การตั้งรองเจ้าคณะภาค 1 แทนตำแหน่งพระพรหมโมลี
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ศาลอาญา ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีการพิจารณาคดีที่นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย,พระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพะธรรมกาย มอบอำนาจให้พระภาณุมาศ ภาณุปาโณ เป็นผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 10 คน คือ นายประกิต ประทีปะเสน, นายประชา เหตระกูล, นายธนาชัย ธีรพัฒวงศ์, นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น, นายสมโภชน์ อินทรานุกูล, นายกิตติ โรจน์ชลาสิทธิ์, นายนพพร พงษ์เวช, นายศรัญย์ทร ชุติมา และ นายกฤษณะ ไชยรัตน์ พิธีกรรายการ "สาระขัน" เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาแพร่ภาพและเสียง
ในคำฟ้องที่โจทก์ยื่น ระบุว่าจำเลยทั้ง 10 ได้ร่วมกันและสนับสนุนให้มีการใส่ความโจทก์ โดยการแพร่ภาพและเสียงทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไอทีวีรายการ "สาระขัน" ที่จำเลยที่ 10 นาย กฤษณะ ดำเนินรายการในวันที่ 1 และ 16 พ.ย. 42 กับวันที่ 1 ธ.ค. 42 ทำนองว่า โจทก์ประกอบอาชีพพิเศษที่ทำเงินได้มากกว่านักการเมืองและภรรยาร่วมกันเสียอีก หาเงินเก่งเช่นนี้ไม่ทราบว่าไปเรียนการตลาดมาจากที่ไหน
การออกรายการดังกล่าวเป็นการล้อเลียน เสียดสี เหยียดหยาม กล่าวหาโจทก์ทั้งสอง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จให้ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้ง 10 คน
อย่างไรก็ตามระหว่างการพิจารณา นายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความวัดพระธรรมกาย แถลงต่อศาลขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1-9 ยกเว้นนายกฤษณะ จำเลยที่ 10 โดยให้เหตุผลว่าเพิ่งจะทราบว่ารายการสาระขันนั้นเป็นของบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าเวลาในการออกรายการ จึงไม่เกี่ยวข้องกับจำเลย ที่ 1-9 โดยโจทก์จะยื่นฟ้องบริษัท เนชั่นบรอด แคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นคดีใหม่และจะขอเวลาศาลนำคดีนี้ไปพิจารณารวมกัน ศาลได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1-9 ตามที่ทนายความแถลง และให้เลื่อนการพิจารณาคดีไปไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 24 เม.ย. เวลา 13.30 น.
ขณะเดียวกัน ที่กรมการศาสนา นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการประชุมเสวนาเรื่อง "รัฐธรรมนูญกับพระศาสนา" ว่า ได้นิมนต์พระเถรานุเถระและพระผู้นำระดับกลาง มาร่วมประชุมเพื่อหารือกันถึงแนวทางการปรับปรุงพระพุทธศาสนา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 73 โดยในส่วน ของกระทรวงศึกษานั้น ตนได้เสนอแนวทางการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน พร้อมกับวิเคราะห์ถึงเรื่องศาสนาที่อยู่ในช่วงวิกฤต ิและประสบ กับปัญหาสับสนวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ใครจะเป็นผู้ชี้ขาด, จะมีการดำเนินการกันอย่างไร
"ที่เห็นอยู่คือ กรณีสันติอโศก และวัดพระธรรมกายในอนาคตควรมีแนวทางที่ชัดเจน และเรื่องการส่งเสริมบทบาทของอุบาสกอุบาสิกาให้เข้มแข็ง พระจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งก่อสร้างมากนัก"
ที่สำคัญต้องดำเนินการคือการคุ้มครองพระธรรมวินัย หลักธรรมว่าอะไรผิดอะไรถูกเพื่อไม่ให้เกิดการตีความตามใจตัวเอง แตกนิกายต่างๆ ทำให้ศาสนามีปัญหาในเรื่องการตีความ นอกจากนั้นที่ประชุมโดยพระเถระที่มีแนวคิดตรงกันได้เสนอให้มีการตั้ง "สถาบันอบรมพระสังฆาธิการ" ให้มีความเข้าใจตรงกันในเรื่องการเผยแผ่พระธรรมวินัย ปรับปรุงองค์กรพระวินัยธรในการตรวจสอบพระธรรมวินัย เพราะในปัจจุบันองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์คือมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งเป็นฝ่ายนโยบายแต่ไม่มีฝ่ายตุลาการ เหมือนฆารวาสว่าจะมีวิธีจัดขึ้นได้อย่างไร นอก จากนั้นอดีตพระลูกวัดพระธรรมกายได้เสนอว่า ควรมีการผลัดเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสหมุนเวียนไปตามวัดต่าง ๆ คล้ายกับการหมุนเวียนของผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ สะสมอำนาจ โดยจะประมวลเข้าสู่การประชุมสัมมนาครั้งใหญ่อีกครั้งในเดือนหน้า
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมจะทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการศาสนา ขอให้มีการแก้ไขกฎ มส.ที่กำหนด ให้รองเจ้าคณะภาค 1 ต้องดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 นั้น นายวิชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องความรับผิดชอบของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ขอให้เชื่อมั่นในตัวท่านต้องใช้วิจารณญาณอย่างดีแล้ว ฝ่ายบริหาร คงไม่เข้าไปก้าวก่าย ส่วนตัวเห็นว่าถ้าแก้ไขกฎสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตคงไม่เสียหายอะไร หากแก้ไขย้อนหลังหมายถึงจงใจเป็นกรณี เฉพาะที่จะกีดกั้นคนนั้นคนนี้คงไม่ดีเพราะเป็นแสดงที่เป็นอคติ
ทางด้านนายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ กล่าวว่าตนไม่ได้ติดใจพระเทพสุธี ในเรื่องการขึ้นรักษาการเจ้าคณะ ภาค 1 และไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎมส.แต่ขอให้แก้ไขเฉพาะกรณีเฉพาะหน้าไปก่อน โดยให้พระเทพสุธี ทำหน้าที่ของรักษาการเจ้าคณะภาค 1 ในเรื่องศาสนกิจสงฆ์เรื่องต่าง ๆ ได้ทุกอย่าง ยกเว้นตำแหน่งประธานคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเท่านั้น เนื่องจากเกรงว่ากรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการไต่สวนมูลฟ้องของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น.