เดลินิวส์ 24/2/2543
พระเทพสุธีขอเวลาจัดการธรรมกาย
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา มีการนัดสืบ พยานโจทก์คดีทุจริตวัดพระธรรมกาย ครั้งที่ 6 ที่มีนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายเป็นจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอก ทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนำเงินวัด 35 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินจ.พิจิตรและจ.เพชรบูรณ์ ใส่ชื่อตัวเองครอบครอง และนายถาวร พรหมถาวร คนสนิทเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิด
อัยการเบิกความนายปัญญา สละทองตรง นักวิชาการระดับ 7 กรมการศาสนา โดยนายปัญญาระบุว่ากระทรวงศึกษาธิการสั่งให้กรมการศาสนา ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ คำสอนของวัดพระะรรมกายหลังจากสื่อมวลชนเผยแพร่ว่ามีคำสอนผิดเพี้ยน โดยตรวจสอบเอกสารหนังสือเทป กว่า 100 เล่มโดยเฉพาะหนังสือมงคลชีวิต ฉบับธรรม ทายาทที่แต่งโดยพระสมชาย ฐานะวุฒโฑ และได้ข้อสรุปว่าวัดเผยแพร่คำสอนบิดเบือนพระไตรปิฏก เช่นสอนนิพพานเป็นอัตตา ทั้งที่ในพระไตรปิฎกสอนนิพพานเป็นอนัตตา เป็นต้น
จากการตรวจสอบหนังสือพระสิริมหาราชธาตุ ยังพบว่าใช้อุบายอ้างความศักดิ์สิทธิ์ว่าพระนี้มีอานุภาพดึงดูดทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อให้ หลงเชื่อบริจาคเงินสร้างพระธรรมกายประจำตัวองค์ละ 1 หมื่นบาท และตั้งเงื่อนไขจูงใจให้ผู้อื่น ร่วมบริจาคอีกโดยกำหนดว่าถ้าชวนได้ 10 องค์ จะได้พระรุ่นพระคะแนนสุดฤทธิ์ ถ้าชวนได้ 20 องค์จะได้ พระคะแนนสุดเดช ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่สามารถพิสูจน์ว่าวัตถุที่นำมา ผลิตพระเทวดา รักษามา 200 ล้านปี ประกอบกับพระนิพพานเป็นนามธรรมไม่สามารถผลิตวัตถุนี้ออกมาได้ ถือเป็นการหลอกลวงประชาชนรวมถึงหนังสือพระแท้แต่งโดยพระเผด็จ ทัตตชีโว ได้สอดแทรกคำว่าธรรมกายในคำสอนผิดหลักพระไตรปิฏก
ในพระธรรมวิยัย ยังกำหนดให้พระเว้นจากการับไร่นาที่สวน เว้นจากการซื้อขายและเว้นจากการรับเงินทอง เพราะผู้ที่มาบวชในพระศาสนาถือว่าสละทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ เว้นจากการซื้อขาย สะสม หากพระรูปใดถือเงินเอาเงินที่พุทธศาสนิกชนบริจาคให้วัดมาเป็นของส่วนตัว เป็นการเบียดบังยักยอก ถือว่าผิดศีลข้อ 2 ต้องอาบัติสูงสุดถือปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ส่วนพ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยพระธรรมวินัยด้านปกครองสงฆ์ เพราะเดิมหากพระรูปใดต้องอาบัติปาราชิกก็จะละลายใจสละสมณเพศไปเองแต่ปัจจุบันมีคนดื้อด้าน
ด้านทนายฝ่ายจำเลยคือนายสนธยา โพธิ์แดง ซักค้านในประเด็นผู้แต่งหนังสือมงคลชีวิต ฉบับธรรมทายาท คือพระสมชายนั้น มีความรู้ระดับปริญญาเอกพระพุทธศาสนาเถรวาท ส่วนการทำผิดพระธรรมวินัย โดยการรับเงินของพระนั้น ทั่วไปก็มีพระรับ เงินทำบุญ จากฆราวาส ถ้าจะเอาผิดพระธรรมวินัยพระทุกรูป ก็ผิดเหมือนกันยกตัวอย่างหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ก็ณับเงินทำบุญ เหตุใดกรมการศาสนาไม่ไปตรวจสอบบ้าง และชี้ว่าการจัดการเงินส่วนตัวของพระส่วนใหญ่ ไม่ทราบว่ามีกฎกระทรวงศึกษาแนะนำว่าควรทำอย่างไร
ช่วงบ่ายมีการเบิกความนางวชิรา น่วมเจริญ เจ้าหน้าที่กองศาสนาสมบัติ กรมการศาสนาถึงกรณีที่ไม่มีการโอนที่ดินเป็นของวัดตามที่ตกลงกันไว้ และเลิกการสืบพยานเวลา 17.00น. ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกกรรมาธิการการศาสนาฯเปิดเผยว่าการที่กรรมาธิการ เข้าเยี่ยมชมวัดพระธรรมกายก็มีข้อสรุป 4 ข้อคือ1.การบริหารวัดให้ฆราวาสปกครองสงฆ์ เพราะกรรมการวัดมีบทบาทสูงกว่า พระไม่เหมาะสมสำหรับพระศาสนา,2.วัดมีเป้าหมายดีในการสร้าง คนดีแต่เนื้อหาไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก การอธิบายคำสอน ไม่ลึกซึ้งเพียงพอ,3.วัดระดมเงินบริจาคกว่าหมื่นล้านบาทแต่การใช้จ่ายไม่ชัดเจนและ4.การสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์มีเงื่อนงำ ปิดฐานไม่ให้ตรวจสอบจนสงสัยเป็นอะไรวัดอ้างว่าเป็นพระซึ่งกรรมาธิการไม่เชื่อ
พระเทพสุธี รองเจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดสามพระยากล่าวว่ายังไม่ได้รับหนังสือแต่งตั้ง แต่ไม่มีปัญหา เมื่อได้รับมอบหมายก็ต้องทำตามหน้าที่ และต้องปรึกษาเจ้าคณะใหญ่หนกลางว่ามีนโยบายอย่างไร และถึงแม้อาตมาจะเป็นเลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวงก็แบ่งเวลาได้ แต่หากการฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรมในขั้นตอนของเจ้าคณะปทุมธานีทำเรียบร้อย ทั้งตรวจสอบคุณสมบัติผู้กล่าวหาและข้อกล่าวหาจะเข้าสู่กระบวนการง่าย ส่วน กระแสวิพากษ์ วิจารณ์ว่าเกรงจะเข้าข้างวัดพระธรรมกายและยกฟ้องนายไชยบูลย์ตามกฎนิคหกรรมนั้น พระเทพสุธีกล่าวว่าก็ทราบเช่นกันจากสื่อมวลชน แต่ไม่คิดตอบโต้ ขอให้เรื่องมาถึงก่อนแล้ว จะรู้ว่าอาตมาดำเนินการอย่างไร เขาอาตัวเองมาเปรียบกับอาตมาทั้งที่ไม่รู้จักอาตมา ไม่คุ้นเคยหรือรู้จักนิสัยกัน