เดลินิวส์ 13/2/2543
เบื้องหลังปลดพระพรหมโมลี
เผยรายละเอียดการประชุมมหาเถรฯเจ้าคณะใหญ่หนกลางเสนอปลดทีเดียวทั้งคณะ แต่มติออกมาปลด "พระพรหมโมลี" รูปเดียว กรมการศาสนาหวั่นเกิดปัญหาภายหลัง เตรียมเขียนรายงานการประชุม อย่างละเอียดก่อนให้มหาเถรฯ รับรองอีกครั้ง ระบุถ้าเจ้าคณะภาค 1 ใหม่ไร้ประสิทธิภาพดำเนินการนิคหกรรม "ไชยบูลย์-ทัตตชีโว" ไม่ได้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ต้องรับผิดชอบ ชี้มติมหาเถรฯ ตอกย้ำตัวบุคคลสร้างปัญหา
ที่วัดสามพระยา เมื่อวันที่ 12 ก.พ. เวลา 13.00 น. นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ ได้เปิดเผยภายหลังมาบรรยายเรื่องนโยบายกระทรวงศึกษาธิการที่มีต่อพระอุปัชฌาย์ว่า ขณะนี้กรมการศาสนากำลังร่างรายงานการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจะต้องทำอย่างรอบคอบและให้ถูกต้อง และเมื่อมีการร่างเสร็จแล้วคงต้องนำไปให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่ หนกลางตรวจทานก่อนจากนั้นจึงนำขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชทรงลงพระนาม
นายวิชัยกล่าวว่า ในที่ประชุมมหาเถรฯนั้น เจ้าคณะใหญ่หนกลางเสนอให้มีการปลด คณะผู้พิจารณาชั้นต้นทั้งคณะคือ เจ้าคณะภาค 1 รองเจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่มติของมหาเถรฯ กลับให้มีการปลดเพียงเจ้าคณะภาค 1 เนื่องจากว่าการไม่ดำเนินการตามกระบวน การนิคหกรรมนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายและพระเผด็จทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากเจ้าคณะภาค 1 เพียงรูปเดียวที่ขัดมติมหาเถรฯ ส่วนอีก 2 รูปนั้นเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา
ต่อข้อถามที่ว่า เมื่อประธานคณะผู้พิจารณา ชั้นต้นถูกปลดไป คณะผู้พิจารณาอื่น ๆ จะต้องพ้นไปด้วยหรือไม่นั้น นายวิชัยชี้แจงว่า เป็นเรื่องจริยาส่วนบุคคล มหาเถรฯ ใช้หลักเมตตาในการพิจารณา และถือว่าคณะผู้พิจารณาที่เหลืออีก 2 รูปนั้นจะต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ส่วนเจ้าคณะภาค 1 รูปใหม่นั้นเชื่อว่าขณะนี้อยู่ในใจของสมเด็จพระมหาธีราจารย์แล้ว กระทรวงศึกษาฯจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนี้
"โดยส่วนตัวคิดว่าเจ้าคณะใหญ่หนกลางท่านคงหนักใจพอสมควร เพราะผู้ที่จะมารับตำแหน่งรูปใหม่นั้น จะต้องรับภาระการดำเนินการตามกระบวนการนิคหกรรมให้เกิดความคืบหน้า พระเถระย่อมรู้เรื่องในหมู่สงฆ์ดีกว่า ผู้อื่น ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้นมีหลักการและระเบียบอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องเป็นรองเจ้าคณะภาค หรือเจ้าคณะจังหวัดที่มีพรรษาตั้งแต่ 20 พรรษาขึ้นไป และต้องเป็นที่เชื่อถือในหมู่สงฆ์ด้วย"
นายวิชัยกล่าวด้วยว่า หากเจ้าคณะภาค 1 รูปใหม่ที่มาทำหน้าที่แล้วกระบวนการนิคหกรรม ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ดังนั้นเจ้า คณะใหญ่หนกลางจึงต้องพิจารณาให้ดีไม่ให้เกิดความผิดพลาด กระทรวงศึกษาฯจะทำทุกอย่างให้เป็นไป ตามมติมหาเถรฯ และจะต้องนำเข้ารับรองรายงานการประชุมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตัดปัญหาทั้งหมด
ด้านนายสุทธิวงศ์ ตัยตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า แม้ว่าที่ประชุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้เสนอที่ประชุมปลดคณะผู้พิจารณาทั้ง 3 รูป แต่มติออกมาให้ปลดเพียงรูปเดียวถือว่าไม่ได้เป็นไปตามที่เสนอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเขียนมติให้ละเอียดแล้วให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ตรวจสอบ เพราะต้องมีการรับรองมติมหาเถรฯ ก่อน อย่างไรก็ตามคงไม่มีผลต่อความล่าช้าแน่นอน
นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส.สงขลา พรรค ประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมา ธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมกล่าวว่า มติมหาเถรฯที่ออกมาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะหลักการ หรือความผิดพลาดของตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค 1 รูปใหม่นั้นควรมีจริยวัตรที่น่านับถือ และต้องมีความเป็นกลางสูงไม่เอนเอียงเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อปัยหาทุกอย่างจะได้ยุติลง
ในวันเดียวกันพระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า มติมหาเถรฯ ถือเป็นการเรียกศรัทธาและความเชื่อถือของประชาชนกลับมา ที่สำคัญการตั้งตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 รูปใหม่นั้นต้องสามารถดำเนินการให้กระบวนการนิคหกรรมมีผล อย่างแท้จริง ต้องสอดคล้องต่อกระแสสังคม จากนี้คิดว่าทุกอย่างคงจะดีขึ้น และเรื่องนี้ก็จะมีความชัดเจนขึ้น เรื่อย ๆ
พระราชกวี รองอธิการมหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัยกล่าวว่า ผู้เหมาะสมที่ทำหน้าที่รักษาการเจ้าคณะภาค 1 นั้นคือเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เนื่องจากกฎหมายของคณะสงฆ์ฉบับล่าสุดกำหนดว่า พระที่เป็นกรรมการมหาเถรฯสามารถเพิ่มตำแหน่งรักษาการได้อีกตำแหน่ง
สำหรับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเจ้าคณะภาครูปใหม่นั้น ต้องเป็นการเสนอแต่งตั้งตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดำเนินการแต่งตั้ง ไม่มีการขึ้นดำรงตำแหน่งโดยอัตโนมัติ รองเจ้าคณะภาคไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าคณะภาคได้ จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อเจ้าคณะใหญ่เสนอต่อมหาเถรฯแล้วนำขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชทรงลงพระนาม ถึงจะเป็นเจ้าคณะภาคได้
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดด้วยว่า จะต้องเป็นรองภาคมาแล้วไม่ตำกว่า 2 ปี หรือกำลังดำรง ตำแหน่งพระสังฆาธิการในภาคนั้นไม่ต่ำกว่า 4 ปี หรือมีสมณศักดิ์ไม่ต่ำกว่าพระราชาคณะชั้นเทพ หรือเป็นพระราชาคณะซึ่งเป็นพระคณาจารย์เอกหรือจบเปรียญธรรม 9 ประโยค มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย ต้องเป็นผู้ฉลาดในการปกครองคณะสงฆ์ ไม่มีร่างกายทุพพลภาพ ไม่ต้องคำวินิจฉัยหรือลงโทษในอธิกรณ์ที่พึงน่ารังเกียจมาก่อน ไม่เคยถูกถอดถอนหรือถูกปลดจากตำแหน่งใดมาก่อนด้วย.