เดลินิวส์ 4/2/2543
พิพากษายกฟ้อง'เดลินิวส์' ธรรมกาย เล่นงานไม่สำเร็จ
ศาลพิพากษายกฟ้องพระวัดธรรมกายเล่นงาน"เดลินิวส์" 53 กระทง ระบุโจทก์ไม่มีอำนาจ รวมถึงคำที่ใช้รายงานข่าวไม่ทำให้เสียชื่อเสียงทั้ง"วัดฉาว-สำนัก" แปลความชัดว่าไม่ก่อให้เกิด การถูกดูหมิ่น-ถูกเกลียดชัง เจ้าคณะตำบลระบุการดำเนินการตามกฎนิคหกรรม ต้องรอคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางก่อน เกิดมือมืดแจกใบปลิวสนับสนุน"ไชยบูลย์"อีก ขนาดให้ลงขันฆ่าคนที่ออกมาต่อต้าน
วันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 803 ศาลอาญา เมื่อเวลา 13.30 น. นายประคอง เตกฉัตรและนายอรรธน์ โกมุท ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีที่วัดพระธรรมกายโดยพระภานุมาศ ภาณุปาโณ ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำเลยที่ 1 นายประชา เหตระกูล ที่ 2 นายวรพจน์ แสนประเสริฐ ที่ 3 และน.ส.เชาวลี ชุมขำ ที่ 4 ฐานหมิ่นประมาท กระทำการโดยการโฆษณา คดีดังกล่าวโจทก์บรรยายฟ้องยาว 8 หน้ากระดาษ
ความโดยสรุปว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้มอบอำนาจ ให้พระภานุมาศ ภาณุปาโณ เป็นผู้รับมอบอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ โดยระหว่างวันที่ 9-14,17,19-20,22-23,25-27,29 ก.ย. วันที่ 1-2,4-8,10,16,20-21,23-26,28-31 ต.ค.และวันที่ 1-3,5-6,9-12 พ.ย.2542 ทั้งเวลากลางวันแล ะกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 หมิ่นประมาท มีการใส่ความโดยการตีพิมพ์โฆษณา จำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันและสนับสนุนกันใส่ความโจทก์ คณะสงฆ์และคนในวัด จำนวน 53 ครั้ง (กรรม) อันถือว่าเป็นการใส่ความโจทก์ คณะสงฆ์ในวัดโจทก์ คนในวัดโจทก์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเรียกคณะสงฆ์ซึ่งมีตำแหน่งเจ้าอาวาสว่า นายบ้าง ปลาไหลบ้าง พระปลอมบ้าง ดูหมิ่นการปฏิบัติศาสนกิจภายในวัดโจทก์ อันก่อให้เกิดความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และทำให้เกิดความแตกแยก
การกระทำของจำเลยถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83-84-91-326-328 และมาตรา 332 และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 44 ตรี ขอให้ศาลสั่งและบังคับจำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด ในหนังสือพิมพ์ของจำเลย ไทยรัฐ มติชน พิมพ์ไทย ข่าวสด สยามรัฐ เป็นเวลา 7 วันโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา และขอให้ศาลลงโทษจำเลยเรียงกระทงความผิด ทุกกระทงไป
ศาลพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า ที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จำเลยที่ 1 ตีพิมพ์ข้อความว่า ปลาไหลไชยบูลย์ก็ดี พระปลอมก็ดี เรียกเจ้าอาวาสว่านายไชยบูลย์ สุทธิผลก็ดี เจ้าลัทธิธรรมกายก็ดี ปลาไหลก็ดี ล้วนแต่เป็นข้อความที่กล่าวหาพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ไม่ได้กล่าวหาโจทก์ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้รับความ เสียหายอย่างไรเป็นเรื่องของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่จะว่ากล่าวเองกับจำเลยทั้ง 4 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแทนพระราชภาวนาวิสุทธิ์
ส่วนที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้ง 4 หมิ่นประมาทพระในวัด ผู้ไปปฏิบัติศาสนกิจในวัด ก็เป็นเรื่องของพระภิกษุรูปนั้นๆ และผู้ไปปฏิบัติศาสนกิจนั้นๆ ว่าได้รับความเสียหายเพียงใดที่จะว่ากล่าวฟ้องเอากับจำเลยทั้ง 4 โจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนพระภิกษุรูปนั้นๆและผู้ไปปฏิบัติศาสนกิจนั้นๆได้
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ตีพิมพ์เรียกวัดโจทก์ว่า "วัดฉาว" นั้นเห็นว่า ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายไว้ว่า อื้ออึง เอิกเกริก เกรียวกราว ซึ่งไม่ได้ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ถ้าความหมายของคำว่า "ฉาว" มีความหมายพิเศษหรือจำเลยทั้ง 4 ประสงค์ให้มีความหมายพิเศษอย่างใด โจทก์ก็ต้องบรรยายในคำฟ้องให้ชัดแจ้ง
กรณีที่ หนังสือพิมพ์เรียกโจทก์ว่า "สำนักธรรมกาย" นั้น เห็นว่าโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายความหมายคำว่า "สำนัก" มาว่าจำเลยทั้ง 4 มีความมุ่งหมายให้หมายความว่าอย่างไร คำว่า"สำนัก"ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 เป็น ความหมายแปลว่า ที่อยู่อาศัย หรือที่ทำการ ตามที่หนังสือพิมพ์เรียกโจทก์ว่าสำนักธรรมกายจึงไม่ทำให้โจทก์เสียงชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังแต่อย่างใด สำหรับกรณีที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 44 ตรีนั้น เห็นว่ามาตราดังกล่าวนั้นมุ่งหมายที่จะปกป้องคณะสงฆ์ไทยซึ่งประกอบด้วย คณะธรรมยุติและมหานิกาย ไม่ให้ผู้ใดใส่ความเพื่อที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยกในนิกายทั้ง 2 มิได้มุ่งหมายที่จะคุ้มครองพระรูปใดรูปหนึ่ง การหมิ่นประมาทพระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดในคณะสงฆ์ไทย ไม่ใช่การหมิ่นประมาทเพื่อใส่ความคณะสงฆ์ไทย
ที่โจทก์บรรยายฟ้องรวมๆกันว่า นอกจากนี้จำเลยทั้ง 4 ยังร่วมกันใส่ความโจทก์อีก โดยตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 9-14,17,19-20,22-23,25-27,29 ก.ย. 2542 วันที่ 1-2,4-8, 10,16,20-21,23-26,28-31 ต.ค. 2542 และวันที่ 1-3,5-6,9-12 พ.ย. 2542 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันและแนบหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆมาท้ายฟ้อง เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) มาตรา 160 วรรค 1 บัญญัติว่าความผิดหลายกระทงจะรวมในฟ้องเดียวก็ได้ แต่ให้แยกกระทงเรียงสำคัญกันไป ตามวรรค 2 มาตราดังกล่าวให้ถือว่าแต่ละกระทงจะถือว่าเป็นข้อหาแยกจากข้อหาอื่นก็ได้ ถ้าศาลเห็นสมควร ศาลจะสั่งเช่นนี้ก่อนพิพากษาหรือในระหว่างพิพากษาก็ได้
การที่โจทก์แนบสำเนาหนังสือพิมพ์รวมกันมาท้ายฟ้องแล้วบรรยายฟ้องรวมกันมาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์นั้นยังถือไม่ได้ว่า โจทก์บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริง และบรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้นๆ อ้างตัวบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยทั้ง 4 เข้าใจข้อหาได้ดี ตามป.วิอาญามาตรา 158 (5) โจทก์ต้องบรรยายฟ้องแยกเรียงกระทงกันมาเป็นลำดับ กับบรรยายฟ้องกับกระทงแรกในคดีนี้ทั้งโจทก์ก็ไม่รวมฟ้องเป็นฟ้องควบคุม ศาลพิพากษายกฟ้อง
ด้านพระปริยัติวโรปการ รักษาการณ์เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งกล่วว่า ได้รับทราบมติมหาเถรสมาคม(มส.) ที่ให้ดำเนินการตามกฎนิคหกรรม ซึ่งแนวทางจะเรียกนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกายและพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมารับฟังข้อกล่าวหา แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติคงต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คือสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพื่อความมั่นใจ หากมีคำสั่งให้เรียกมารับฟังข้อกล่าวหา หากไม่มาก็จะทำบันทึกถึงพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 และจะไม่ให้โอกาสอีก
ส่วนที่ทนายความของนายไชยบูลย์กล่าวว่าพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กับพระปริยัติวโรปการ ลงนาม รับรองผลสรุปของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นว่ากฎนิคหกรรมยุติไปแล้วนั้น พระปริยัติวโรปการกล่าวว่าอาตมาไม่ได้ลงนาม แต่ไม่มีผล เพราะเป็น ความเห็นที่ขัดกับมิตมหาเถรฯซึ่งวินิจฉัยแล้วว่าการดำเนินการที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องกับกฎนิคหกรรมให้ทำเสียใหม่
"หากให้คาดการณ์ถ้าเรียกมาฟังข้อกล่าวหา ธรรมกายจะเตรียมฟ้องร้องอีกโดยยืนยันกฎนิคหกรรมจบไปแล้วเหมือน ที่เคยฟ้องร้อง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หากธรรมกายเห็นว่าเรื่องนี้ผิดต้องไปฟ้องมส.เอาเองจะมาฟ้องเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีไม่ได้"
ขณะเดียวกันที่ศาลจังหวัดธัญญบุรี จ.ปทุมธานี ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่พระทัตตชีโว กล่าวหาพระสุเมธาภรณ์ พร้อมพวกอีก 5 คน ร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยนายธีรพงษ์ อุ่นชัย ผู้พิพากษา เบิกความพระภานุมาศ ภานุปาโน พระนักกฎหมายของวัดพระธรรมกายที่ได้รับมอบอำนาจจากพระทัตตชีโว โดยพระภานุมาศระบุว่าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้พิจารณาว่ากระบวนการนิคหกรรมจบแล้ว แต่เจ้าคณะ จังหวัดปทุมธานีกลับรื้อฟื้นใหม่ จึงฟ้องร้องจำเลยทั้ง 6 ที่ขัดพ.ร.บ.สงฆ์และมติมส. และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องอีกครั้งในวันที่ 3 มี.ค.และวันที่ 30 มี.ค.ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีใบปลิวโจมตี บุคคลที่ออกมาชี้แจงความไม่ชอบมาพากลของธรรมกายอีก โดยขนาดให้ลงขันกันฆ่าทิ้ง นอกจากนั้นเนื้อหาในใบปลิวยังจาบจ้วงสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ด้วย