เดลินิวส์ 20/1/2543
พระพรหมโมลีลาออก
พระพรหมโมลี"ลาออกจาก หัวหน้าคณะผู้พิจารณานิคหกรรม"ไชยบูลย์" เหตุกรรมการมหาเถรฯระบุชัดเจ้าคณะภาค 1 ฝืนมติมหาเถรฯ หลังถกใหญ่กลางที่ประชุม เผยหัวหน้าคณะผู้พิจารณาใหม่รอเจ้าคณะใหญ่หนกลางพิจารณา "สมศักดิ์"แฉสิ้น หวิดไม่มีการประชุม พระเถระใหญ่ 7 รูปลา องค์ประชุมเกือบไม่ครบ ส่ง"ไพบูลย์"ล็อบบี้ทัน ศาลนัดสอบพยานโจทก์เพิ่มเติม 26 ม.ค. หลัง"สนธยา"ซักค้าน ศิษย์ธรรมกายห้าวร้องศาล ขอให้สั่งกระจายเสียงการสืบพยาน อ้างสาวกจะได้รับรู้ข้อเท็จจริง
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย ในช่วงเช้าวันที่ 19 ม.ค.ว่า ได้รับรายงานจากนายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนาว่า การประชุมมหาเถรสมาคมในช่วงบ่ายอาจมีกรรมการมาไม่ครบองค์ประชุม เพราะพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการลาป่วยและลาปฎิบัติศาสนกิจแล้ว 7 รูป จาก 19 รูป ซึ่งถ้าจะให้ครบองค์ประชุมจะต้อง มีไม่น้อยกว่า 10 รูปขึ้นไป แต่ก็ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการศาสนาพยายามติดต่อ กรรมการรูปอื่นๆให้เข้าร่วมประชุมให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้การพิจารณากรณีที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นยุติการดำเนินการสอบนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องเลื่อนออกไปอีก
"ถ้ามีการประชุมกันตามปกติก็เชื่อว่าความคืบหน้า ของการดำเนินการตามกฏนิคหกรรมจะดำเนินต่อไปจนเกิดความชัดเจนกันเสียที แต่หากการประชุมต้องล้มลงผมก็มีทางออกของเรื่องนี้แล้ว เพราะได้หารือกับคณะที่ปรึกษาถึงแนวทางการดำเนินการต่อไปได้แล้ว แต่ขอปิดเอาไว้ก่อน"
รมว.ศึกษาฯกล่าวอีกว่า อธิบดีกรมการศาสนาในฐานะเลขานุการมหาเถรฯยังไม่ได้รับหนังสือการลาออก จากกรรมการมหาเถรฯของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม แต่หากพระพรหมโมลีลาออกจริง การเป็นผู้พิจารณาชั้นต้นก็ยังคงทำหน้าที่อยู่ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกับนายไชยบูลย์
อย่างไรก็ตามคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ได้เชิญไปสอบถามนโยบายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และปัญหาอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย ซึ่งชี้แจงไปว่าการดำเนินการเรื่องวัดพระธรรมกาย ที่ล่าช้าไม่ได้เกิดจาก กระบวนการนิคหกรรม แต่เกิดจากคณะผู้พิจารณาและไม่มีหน้าที่ตอบสังคม เพียงทำหน้าที่เป็นผู้ประสาน อำนาจในการดำเนินการอยู่ที่มหาเถรฯ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ตอบ
ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 14.00 น. ได้มีการประชุมมหาเถรฯ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเป็นประธาน การประชุม มีกรรมการฯเข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 12 รูป ส่วนที่ไม่เข้าประชุมประกอบด้วย สมเด็จพระพุฒาจารย์ สมเด็จพระวันรัต สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี พระญาณวโรดม พระธรรมปัญญาจารย์และพระธรรมเมธาภรณ์ โดยใช้เวลาในการประชุมถึง 3 ขั่วโมงเพื่อพิจารณากรณีของนายไชยบูลย์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาฯ ซึ่งเข้าร่วมการประชุมด้วยกล่าวหลังการประชุมว่า ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกรณีพระพรหมโมลี รายงานที่ประชุมว่า การพิจารณาตามกฏนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ ของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้สิ้นสุดแล้วตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค. 2542 จากนั้นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางได้ราย งานโดยมีความเห็นว่าข้อเท็จจริงการ ดำเนินการตามกฏนิคหกรรมยังไม่สิ้นสุด ต้องดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วมีความเห็นตามเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
นายวิชัยกล่าวว่า กรรมการมหาเถรฯส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า พระพรหมโมลีขัดมติมหาเถรฯ แต่ยังไม่มีการพูดถึงโทษ ไม่ได้พิจารณาตัวบุคคล คงต้องรอให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางเป็นผู้พิจารณา และเสนอมหาเถรฯ สำหรับขั้นตอนที่ต้องดำเนินากรต่อหลังจากนี้ คือการดำเนินการเรียกนายไชยบูลย์และพระเผด็จ มารับฟังข้อกล่าวหาและเข้าสู่การดำเนินการตามกฎนิคหกรรม แต่จะเรียกมารับข้อกล่าวหาอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
"การพิจารณาโทษพระพรหมโมลีขอเวลาให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางได้พิจารณาอักครั้ง วันนี้เพียงแต่พิจารณาว่าใครผิดใครถูก ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์ถูกต้อง เจ้าคณะภาค 1 ผิด"
ด้านนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดี กรมการศาสนา เปิดเผยว่า หลังจากมหาเถรฯมีมติให้ดำเนินการ ตามกฎนิคหกรรมต่อ พระพรหมโมลีก็บอกว่าไม่เห็นด้วย และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ดำเนินการ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดทางให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์พิจารณาตัวบุคคลใหม่ได้ ส่วนข่าวการลาออกจากกรรมการมหาเถรฯของพระพรหมโมลีนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณหน้าตำหนักที่ประชุมได้มีกลุ่มประชาชนที่เรียกตนเองว่า กลุ่มพุทธศาสนิกชนได้แต่งกาย เลียนแบบนายไชยบูลย์ ด้วยการใส่เสื้อยึดสีเหลือง สวมหมวก นั่งเก้าอี้รถเข็น มาชุมนุมอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นายควบคุมดูแล ซึ่งภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นนั้นกลุ่มพุทธศาสนิกชนได้โห่ไล่พระพรหมโมลี พร้อมกับใช้วาจาติเตียนอย่างรุนแรง ในขระที่ปรบมือและร้องสรรเสริญสมเด็จพระมหาธีราจารย์อย่างเซ็งแซ่ ทำให้เหตุการณ์ตึงเครียดพอสมคสร แต่ก็ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
วันเดียวกัน เวลา 9.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์คดีที่นายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไชยบูลย์และพวกเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุน เจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกายจำนวน 36.7 ล้านบาทไปกว้านซื้อที่ดิน แถบจ.พิจิตรและเพชรบูรณ์ โดยใส่ชื่อนายไชยบูลย์เป็นเจ้าของ โดยนายสนธยา โพธิแดง ทนายจำเลย ได้ซักค้านนายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้าฝ่ายนิติกร กรมการศาสนา
ทั้งนี้นายเชลียงได้ให้การโดยสรุปว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของวัด พระธรรมกายและคำสอนต่างๆ ส่วนกรณีที่มีการเรียกขานนายไชยบูลย์ในลักษณะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นไอ้แว่น ปลาไหลหรือนายไชยบูลย์นั้นไม่ทราบมาก่อน ทั้งยังไม่เคยได้ยินรมว.ศึกษาฯประกาศว่าจะล้มวัดพระธรรมกาย รวมทั้งไม่เคยทราบจำนวนพระภิกษุสามเณรในวัดว่ามีเท่าใดด้วยเพราะไม่เคยให้ความสนใจ จนกระทั่งเวลา 10.30 น. ศาลจึงสั่งพักการพิจารณา และให้ดำเนินการต่อ ในช่วงบ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่ดินและประเด็นอื่นๆ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ศาลจึงนัดใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 26 ม.ค. เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนัดสืบพยานครั้งนี้มีศิษย์ธรรมกายเดินทางมาฟังการพิจารณาน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ระหว่างการพิจารณานั้นนายวุฒิชัย รัตนศูนย์ ศิษย์ธรรมกาย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งอนุญาตให้มีการถ่ายทอดเสียง การพิจารณาคดีไปยังห้องพิจารณาคดีอื่นๆ เพื่อให้ศิษย์ธรรมกายและผู้ติดตามซึ่งไม่สามารถเข้าไปในห้องพิจารณา คดีได้รับทราบข้อมูล โดยศาลพิเคราะห์แล้วให้ยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย และยากต่อการควบคุม