เดลินิวส์ 18/12/2542
มหาเถรฯ ลงมติ ปลดพรหมโมลี ไม่ต้องไปแก้ปัญหาธรรมกาย
มหาเถรฯลงมติแล้ว มอบอำนาจสมเด็จวัดชนะฯจัดการปัญหาธรรมกาย ไม่ต้องผ่านพระพรหม โมลอีก ให้กรมการศาสนาไปถาม"มีชัย ฤชุพันธุ์"ขั้นตอนสอบสวน"ไชยบูลย์" ตามกฎนิคหกรรมของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นที่มีเจ้าคณะภาค 1 เป็นประธานทำไม่ถูกตรงไหน จากนั้นส่ง เจ้าคณะใหญ่หนกลางสั่งการทันที ตำรวจประกาศเช็คบิลต่อมีอีก 3 คดีรออัยการสั่งฟ้อง พร้อมสืบสวนเพิ่มสอบลึกถึงมูลนิธิ-สีกา สาวกใกล้ชิดกว้านซื้อที่ดิน ฮุบป่า เบี้ยวภาษี โอนเงินเข้าบัญชีผ่องถ่ายเงิน เล็งจัดการสีกาสนิทคดีแรกมีเงินปริศนารัอยล้าน
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 9.10 น.นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการเดินทาง กราบนมัสการพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พร้อมกับนายไพบูลย์ เสียงก้อง และนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ อธิบดีและรองอธิบดีกรมการศาสนา กรณีที่เกิดปัญหา ในการดำเนินการ ตามกฎนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายกับพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้า อาวาสวัดพระธรรมกาย เนื่องจากพระพรหมโมลีในฐานะหัวหน้าคณะ ผู้พิจารณาชั้นต้นสงสัยมติมหา เถรสมาคม(มส.)ที่ระบุว่า การดำเนินการของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นไม่สอดคล้อง กับกฎนิคหกรรม นั้นหมายความว่าอย่างไร และพรหมโมลีสั่งการให้พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ทำหนังสือสอบถามมหาเถรฯเพื่อขอความกระจ่าง
นายสมศักดิ์เปิดเผยภายหลังการเข้าพบว่าพระพรหมโมลียืนยันต้องปฏิบัติตามกฎนิคหกรรมให้ถูกต้อง ซึ่งต้องควบคู่ไปกับพระธรรมวินัย ส่วนกรณีอดีตพระนิกรและอดีตพระยันตระ มีผู้เสียหายชัดเจน แต่กรณีธรรมกายไม่มีผู้เสียหาย มีแต่ผู้กล่าวหา ต้องพิจารณาสิทธิของผู้กล่าวหามากน้อยเพียงใด
"ผมกราบเรียนถ้าการประชุมมส.มีข้อยุติอย่างไร ขอให้เร่งดำเนินการด้วย ซึ่งพระพรหมโมลีรับปากว่า มติมหาเถรฯออกมาอย่างไร ก็จะปฏิบัติตามโดยเร็ว พระพรหมโมลียังบอกเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ผู้ปฏิบัติต้องยึดถือกฎนิคหกรรมอย่างเคร่งครัดเป็นหลัก อาจไม่ถูกใจแต่ให้ถูกต้องตามกฎ"
ผู้สื่อข่าวรายงานกันว่าในวันเดียวกันมีการประชุมมหาเถรฯ โดยเมื่อเวลา 16.00 น.นายไพบูลย์ กล่าวภายหลังการประชุมว่าที่ประชุมยืนยันการดำเนินการตามมติเดิมครั้งที่ 37/2542 ลงวันที่ 19 ต.ค. 42 ที่ระบุว่าการดำเนินการที่ผ่านมาในกรณีปัญหาธรรมกายไม่สอดคล้องกับขั้นตอนตามกฎนิคหกรรม จึงให้ผู้พิจารณาชั้นต้นดำเนินการเสียใหม่ และให้สอดคล้องกับมติมหาเถรฯในวันที่ 16 ส.ค. 2542 โดยให้ผู้เกี่ยว ข้องทุกฝ่ายดำเนินการและให้กรมการศาสนาดำเนินการ ทันไม่ต้องรอรับรองมติการประชุมอีกครั้ง
แต่เพื่อให้การดำเนินการ เป็นไปตามมติมหาเถรฯนายไพบูลย์กล่าวว่า ที่ประชุมให้ตนในฐานะเลขานุการมหาเถรฯ ประสานงานกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภาฯในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของมหาเถรฯ ,นายประนัย วณิชชานนท์นิติกร 8 กระทรวงศึกษาธิการ และตนลงนามรับรองข้อความที่ระบุไม่สอดคล้องตามกฎนิคหกรรมคืออะไร โดยอธิบายให้ชัดเจน จากนั้นให้จัดทำเอกสารรับและนำไปกราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พิจารณาสั่งการตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องเสนอพระพรหมโมลีและไม่ต้องนำเข้ามหาเถรฯอีกต่อไป กรมการศาสนาจะเร่งดำเนินการในสัปดาห์นี้ ให้รวดเร็วสุด เพราะรมว.ศึกษาธิการต้องการนำเรื่องเข้ากระบวนการนิคหกรรมก่อนสิ้นปี
ในวันเดียวกันเวลา 11.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผบ.ตร. และพล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัตร ผช.ผบช.ก. แถลงสรุปผลการดำเนินคดีวัดพระธรรมกายว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2542 โดยมีพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร.สมัยนั้นเป็นหัวหน้า และสืบสวนเสนอความเห็นสั่งฟ้องต่อ พนักงานอัยการไปแล้ว 5 คดี คือ 1.การยักยอกเงินวัด 10 ล้านบาท ไปจัดซื้อที่ดินจ.พิจิตร 7 แปลง 158 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา โดยเห็นควรฟ้องนายไชยบูลย์และศิษย์ใกล้ชิด 3 คน ได้แก่นายถาวร พรหมถาวร,นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค และนายเทิดชาติ ศรีนพรัตน์ ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือสนับสนุนให้พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและยักยอกทรัพย์
2.คดียักยอกเงินวัด 22 ล้านบาทไปซื้อที่ดินที่เขตบ้านเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร 57 แปลง 343 ไร่ 3 งาน 57 ตารางวา ,3.คดียักยอกเงินวัดซื้อที่อ.ภูเรือ จ.เลย จำนวน 11 แปลง 134 ไร่ ,4.การยักยอกเงินวัดไปซื้อที่ดินที่อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี 1 แปลง 5 ไร่เศษและ 5. การยักยอกเงินวัด 45 ล้านบาทเศษ ซื้อที่ดินเขตท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ จำนวน 200 ไร่เศษ โดยคดีที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วคือคดีที่ 2 และคดีที่ 5
พนักงานสอบสวนยังหาหลักฐานคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกเรื่อง ได้แก่1.กรณีเรี่ยไร ที่พบว่ามีการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร ซึ่งมอบให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เจ้าของท้องที่รับไปดำเนินการ ,2.การบุกรุกถือครองที่ดินของมูลนิธิธรรมกาย และบุคคล ใกล้ชิดในเขตเกาะยาว จ.พังงา ให้กองปราบปรามดำเนินการและ 3.การถือครองที่ดินเขตป่าสงวนของวัดพระธรรมกายในจ.สระบุรี ,เลย ,เชียงใหม่ และเชียงราย โดยมอบให้กองบังคับการตำรวจป่าไม้สืบสวน
นอกจากนั้นยังติดตามการถือครองของผู้ใกล้ชิดหลายคนโดยมีรายชื่อทั้งหมดแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผย ถ้าหลักฐานเพียงพอจะดำเนินคดี และยังมีกรณีการถือครองที่ดินของมูลนิธิธรรมกายในจ.ปทุมธานีและอีก หลายจังหวัดจำนวนหลายร้อยไร่ที่กำลังติดตาม ส่วนกรณีการเสียภาษีของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัธรรมกาย หลายสิบคนทั้งการรับเหมาก่อสร้าง หรือเรื่องอื่น ๆ นั้น ได้มอบหมายให้ทีมงานจากกองบัญชาการ สืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ รับผิดชอบสอบสวนว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ หากพบมูลความผิดจะดำเนินการทันที ที่เหลือยังมีการโอนเงินวัดเข้าบัญชีบุคคลหลายสิบคน 20 ล้านบาทบ้าง 70 ล้านบาทบ้าง โดยไม่ปรากฎไปใช้จ่ายในเรื่องใด หรือบางรายมีการโอนเข้าไปหลายร้อยล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินคดีกับรายสุดท้ายนี้ได้
พล.ต.อ.พรศักดิ์กล่าวอีกว่าขณะนี้ได้เปลี่ยนหัวหน้าทีมสอบสวนจากพล.ต.ท.วาสนาเป็นพล.ต.ท.ล้วน ปานรศทิพ ผบช.ก. และตั้งพล.ต.ต.วันชัย ศรีนวลนัด รองผบช.ก.เป็นรองหัวหน้าทีม แต่จะใช้ทีมสอบสวนชุดเดิมหากมีหลักฐาน พร้อมออกหมายจับได้จะอนุมัติให้ทันทีและทยอยส่งอัยการ โดยตนจะลงมาดูแลอย่างใกล้ชิด
รายงานข่าวจากทีมงานสอบสวนเปิดเผยว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.ต.ท.ล้วนจะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนทั้งหมด เบื้องต้นคาดว่าจะสอบสวนกรณีเงินจากบัญชีวัดโอนไปให้สีกาส.กว่า 400 ล้านบาท และจากการสอบสวนสีกาส.ไม่ สามารถตอบที่มาที่ไปของเงินได้ชัดเจนอาจจับกุมเป็นรายแรกหากมีการยักยอกทรัพย์