เดลินิวส์ 5/12/2542
แฉธรรมกายวางแผนพลิกฟื้นอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. รายงานข่าวจากวัดพระธรรมกายเปิดเผยว่า วัดพระธรรมกายเตรียมวางแผนที่จะพลิกฟื้นสถานะขึ้นอีกครั้ง โดยแทรกซึมลงไปในสถาบันการศึกษาระดับล่างคือระดับประถมศึกษาจนไปถึงระดับสูงคืออุดมศึกษา เนื่องจากที่ผ่านมาได้เกิดกระแสข่าวปัญหาธรรมกายการดึงสมาชิกเข้าวัดเป็นเรื่องยากขึ้น
ทางเลือกก็คือต้องดึงระดับเด็ก ๆ เข้ามาเพื่อเป็นพื้นฐานในอนาคต โดยใช้ชื่อของชมรมสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายของชมรมพุทธศาสตร์สากล เพื่อระดมคน
การปลุกระดมนักศึกษาเพื่อให้กิจกรรมและทำงานที่สำคัญ นายไชยบูลย์ มอบหมายให้พระคนโปรด เป็นผู้ดึงคนเนื่องจากมีวาทศิลปเก่งสามารถพูด ให้นักศึกษาร่วมกันชักชวนกัน ชักชวนคนมาบวชธรรมทายาทและยังเร่งเร้าให้นักศึกษาเหล่านั้นทุมเทแรงกายแรงใจแบบสุดชีวิต "เสมือน ม้าอาชาไนย"
นักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมพุทธส่วนใหญ่ ต้องทำงานอย่างหนักและบางคนก็มีผลต่อการเรียนทำให้การเรียนแย่ลง เพราะมัวแต่ทำกิจกรรม ซึ่งทางวัดพระธรรมกายถือว่าคนเหล่านี้เป็นแรงงานที่ไม่ต้องเสียค่าจ้าง ที่สำคัญงานในการชักชวนผู้มาบวชธรรมทายาทให้มาก ๆ มาเป็นของขวัญให้กับนายไชยบูลย์ที่มีรหัสเรียกกันว่า 101
นอกจากนั้นการทำงานจะมีการแบ่งหน้าที่ และลำดับความสำคัญในการทำงาน โดยวางแผนผังจัดเป็นระบบกำลังไว้ดังนี้คือ ชมรมพุทธมหา วิทยาลัยเกษตร นั้นทางวัดพระธรรมกายให้ยึดไว้เป็นแกนกลาง ทัพหน้าคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) ทัพข้างขวานั้นคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทัพข้างซ้ายเป็นมหา วิทยาลัยต่าง ๆ ที่เป็นของรัฐ ส่วนทัพหลังคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนมหาวิทยาลัยของเอกชนนั้นจัดไว้เป็นตัวประกอบ
โครงการดึงนักเรียนและนักศึกษานี้จะแบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย โดยในส่วนนักศึกษามหาวิทยาลัยจะใช้โครงการธรรมทายาทเป็นหลัก โดยเป้าหมายในปี 2543 จะดึงนิสิต-นักศึกษาเข้าเป็นธรรมทายาทรวม 2,290 คน แยกเป็นราม คำแหงมากสุด 1,000 คน รองลงมาเป็นมหาวิทยา ลัยขอนแก่น, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาแห่งละ 200 คน ที่เหลือมาจากมหาวิทยาลัยอื่น
แต่ขณะนี้การดึงนิสิต-นักศึกษาเข้าร่วมโครงการประสบความยากลำบาก บางแห่งดึงนักศึกษาได้เพียงคนเดียว หรือแม้กระทั่งรามคำแหงก็มีผู้สมัครไม่ถึง 10 คน เนื่องจากเริ่มมีการรับรู้แล้วว่าชมรมเหล่านี้ธรรมกายอยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของชมรมพุทธศาสตร์ สิ่งที่น่ากลัวคือการแทรกซึมไปในระดับมัธยมศึกษา, ประถมศึกษา โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา มองว่ายังเป็นเด็ก การล้างสมองจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ที่สำคัญเมื่อมีการสะสมไป เรื่อย ๆ ก็ยากที่จะแก้ไข ยังคงมีความเชื่อไปตลอด โดยในระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาโครง การหลักที่จัดตั้งขึ้นคือโครงการตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้าเป็นโครงการกลาง และล่าสุดคือการคิดค้นโครงการบ้านแสงสว่างขึ้นมา
ขณะนี้มีเด็กนักเรียนเขาร่วมโครงการแล้ว กว่า 3,000,000 คน ในอนาคตเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุด เพราะจะมีการสอดแทรกคำสอนเกี่ยวกับวิชา ธรรมกายที่ผิดให้กับเยาวชนเป็นการล้างสมองเด็ก
ก่อนหน้านี้มีการทำหนังสือถึงกระทรวงศึกษาฯ เพื่อขอให้โรงเรียนต่าง ๆ ในสังกัด สำนัก งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เข้าร่วมโครงการนี้ แต่ไม่ได้อนุมัติ
วิธีการนำเสนอให้โรงเรียนเข้าร่วมโครง การจะเป็นเพียงการบอกว่าเป็นโครงการที่จะได้รับโล่พระราชทาน และได้รับทุนการศึกษา ทำให้โรงเรียนหลายแห่งหลงเชื่อเพราะไม่รู้ความจริง หรืออย่างโครงการบ้านแสงสว่าง ที่ให้จัดกิจกรรมเขียนบทความสรรเสริญถึงความดีของพ่อแม่และความดีของคุณครู ซึ่งทางพ่อแม่และครูก็จะเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีจึงให้การสนับสนุน เพราะไม่ทราบ ถึงเบื้องหลังที่แท้จริงว่ามีธรรมกายอยู่เบื้องหลัง.