เดลินิวส์ 13/11/2542
'ไชยบูลย์'นะจ๊ะระรื่นอัยการให้ประกันตัว
เจ้าคณะใหญ่หนกลางแนะ พระสุเมธาภรณ์ ส่งสำนวนคำกล่าวหา "ไชยบูลย์-ทัตตชีโว" ข้ามเจ้าคณะภาค 1 ได้เลย ยืนยันทุกอย่าง เป็นไปตามขั้นตอนนิคหกรรมแล้ว มหาเถรฯ ชะลอเรื่องพิจารณาโทษพระพรหมโมลี หลังฝ่าฝืน มติมหาเถรฯ ไม่รับคำกล่าวหาตาม กฎนิคหกรรม พร้อมสั่งให้ "ไพบูลย์" เร่งเดินเรื่องโดยเร็วที่สุด "ป่วยนะจ๊ะ" สดใสหน้าระรื่นรับ ทราบข้อกล่าวหาคดียักยอกทรัพย์ที่ดินเพชรบูรณ์ หลังปล่อยตำรวจรอเก้อกว่า 2 ชั่วโมง อัย การให้ประกันตัวเหมือนเดิม นัด 16 ธ.ค. ฟังสั่งคดี เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งโดนเด้งเรียบร้อย ขณะที่พระลูกวัดพระธรรมกายอ้างโดนรังแก ไม่เป็นธรรม ปลุกม็อบชาวบ้านต่อต้านคำสั่ง
ที่กระทรวง ศึกษาธิการ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ย. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวง ศึกษาธิการโดยกรมการศาสนาขอยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ปฏิบัติ ตามมติมหาเถรสมาคม (มส.) และกฎนิคหกรรมทั้งสิ้น ไม่เคยคิดที่จะกลั่นแกล้งใคร ตรงกันข้ามเราต้องการให้โอกาสกับคนที่ถูกกล่าวหาโดยเปิดโอกาสให้มาชี้แจง เพื่อให้เรื่องนี้ ยุติโดยเร็ว ไม่อยากให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่สั่นคลอนต่อพระพุทธศาสนา ผู้เกี่ยวข้องควรออกมารับผิดชอบด้วย
"ผมอยากเห็นทั้งนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายและพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เข้าสู่กระบวนการ พิสูจน์ความจริง และหากธรรมทายาทผู้ใกล้ชิด รวมถึงพระ พรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 มั่นใจว่าวัดพระธรรมกาย ปฏิบัติถูกต้องตามหลักศาสนา โดยไม่บิด เบือนต่อพระไตรปิฎก หรืออวดอุตริมนุสธรรมตามที่ถูกกล่าวหา ก็เพียงแค่ออกมาพิสูจน์ความจริงเรื่องก็จะจบอย่างรวดเร็ว แต่หากยังไม่ยอมออกมาพิสูจน์ก็ยิ่งทำให้ประชาชน เคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อนายไชยบูลย์และเจ้าคณะภาค 1 ด้วย"
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ดร.วิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ และนายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา ไปกราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางก่อนที่จะมีการประชุมมหาเถรฯ เพื่อรายงานให้ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และให้อธิบดีกรมการศาสนานำเรื่องทั้งหมดรายงานให้ที่ประ ชุมมหาเถรฯรับทราบว่า หลังจากที่ มส.มีมติให้ดำเนินการแล้วทำอะไรไปบ้างและพบปัญหาอุปสรรคอย่างไร รวมถึงรายงานให้ทราบถึงพฤติ กรรมของเจ้าคณะภาค 1 ที่ไม่ยอมรับหนังสือของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ที่ประมวลขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อที่จะได้พิจารณาหาทางออกว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต่อมาเวลา 12.00 น. นายไพบูลย์ อธิบดีกรมการศาสนา พร้อมด้วยนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรม การศาสนา ได้เข้านมัส การสมเด็จพระมหาธีราจารย์เพื่อรายงานกรณีที่เจ้า คณะภาค 1 ปฏิเสธไม่ยอมรับ สำนวนและเอกสาร คำกล่าวหานายไชยบูลย์และพระทัตตชีโวที่กรมการศาสนานำไปมอบให้ โดยสมเด็จพระมหาธีรา จารย์ได้แนะนำว่าการนำเอกสาร-สำนวนไปให้ เจ้าคณะภาค 1 นั้นถือว่าถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว เมื่อเจ้าคณะภาค 1 ไม่รับก็ให้รายงานไปยังผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือกว่าตามลำดับชั้น
นายไพบูลย์กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้รายงานพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีให้ทราบ เพื่อจะให้เจ้าคณะจังหวัดรวบรวม เอกสารสำนวนทั้งหมดของผู้กล่าวหาไปรายงานต่อ สมเด็จพระมหาธีราจารย์พิจารณาโดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านเจ้าคณะภาค 1 อย่างไรก็ตามในการประชุมมหาเถรฯจะรายงานให้ที่ประชุมทราบกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่นายไชยบูลย์และพระทัตตชีโวไม่มารับฟังข้อกล่าวหาทั้ง 2 ครั้งด้วย
ในวันเดียวกันที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 13.00 น. ได้มีการประชุมมหาเถรฯโดยมีพระเถระที่เป็นกรรมการ มหาเถรฯเข้าร่วมประชุมคับคั่ง รวมทั้งอธิบดีกรมการศาสนา ซึ่งได้เข้าไปรายงานถึงการปฏิบัติตามมติมหาเถรฯ ในการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมนายไชยบูลย์ และพระเผด็จ ทัตตชีโว ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายไพบูลย์กล่าวภายหลังการประชุมมหาเถรฯ เสร็จสิ้นว่า ที่ประชุมได้รับทราบตามที่กรมการศาสนา ได้รายงาน ถึงการปฏิบัติตามมติมหาเถรฯ ในการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมนายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตตชีโว ถึง 2 ครั้ง ซึ่งไม่ ได้รับความร่วมมือทั้งหมด โดยอ้างว่าการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมนั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ดังนั้นพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีจึงได้ประ มวลเรื่องทั้งหมดเสนอส่งต่อให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะประธานคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
"มหาเถรฯมีมติรับทราบและมอบหมายให้ผมในฐานะที่เป็นเลขานุการมหาเถรฯ ประสานกับผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าคณะจัง หวัดปทุมธานี เจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะใหญ่หนกลางอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ดำเนินตามกฎนิคห กรรมและมติมหาเถรฯต่อไป"
ส่วน กรณีที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ปฏิเสธไม่รับสำนวน และเอกสารคำกล่าวหา ที่กรมการ ศาสนานำไปมอบให้เมื่อที่ 11 พ.ย.นั้น นาย ไพบูลย์กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังไม่ได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว และในฐานะเลขานุการ มหาเถรฯก็คงไม่สามารถ พิจารณาได้ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณา ของคณะสงฆ์เท่านั้น สำหรับกรณีความขัดแย้งระหว่างเจ้าคณะภาค 1 กับเจ้าคณะจังหวัดปทุม ธานีนั้น จะเดินทางไปกราบนมัสการ เจ้าคณะภาค 1 โดยเร็วเพื่อสอบถามว่าส่วนใดที่ขัดข้องบ้าง จะได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ขณะเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนการสอบสวนคดียักยอกทรัพย์กรณี นำเงินวัด ไปซื้อที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบและผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ ซึ่งผูต้อง หาประกอบด้วยนายไชยบูลย์ นายถาวร พรหมถาวร นายมัยฤทธิ์ ปิตวนิคและน.ส.อมรรัตน์ สุวิพัฒน์ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องมาส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนได้นัดหมายผู้ต้องหาทั้งหมดในเวลา 13.00 น. แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าวมีเพียงนายถาวร นายมัยฤทธิ์และน.ส.อมรรัตน์เดินทางมาเท่านั้น ส่วนนายไชยบูลย์ไม่ได้เดินทางมาตามเวลานัดหมาย กระทั่งเวลา 15.00 น. นายไชยบูลย์พร้อมพระใกล้ชิดอีก 15 รูปได้เดินทางมาถึง โดยครั้งนี้นายไชยบูลย์ไม่ได้สวมหมวกไหมพรม เสื้อยืดหรือมีผ้าคาดปิดปากแต่อย่างใด แต่ยังคงใส่ถุงเท้าสีเหลืองเช่นเดิม จากนั้นจึงพร้อมด้วยผู้ต้องหาคนอื่น ๆ เข้าพบกับนายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ราว 20 นาที ก่อนที่นายอำพลจะอนุญาตให้ประกันตัวไปคนละ 3 ล้านบาท และนัดให้มาฟังการสั่งคดีในวันที่ 16 ธ.ค. เวลา 14.00 น. จากนั้นนายไชยบูลย์กับพวกจึงเดินทางกลับ
นายอำพลกล่าวในเวลาต่อมาว่า เท่าที่ตรวจ สำนวนพบว่า ผู้ต้องหากระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ คณะทำงานอัยการจะต้องแยกพิจารณาออกจากสำนวนคดีเดิมในเบื้องต้นได้แจ้งให้นายพันธุ์ สุริยพร รองอัยการสูงสุดและนายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาทราบแล้ว และจะแบ่งเอกสารในสำนวนให้คณะทำงานไปช่วยกันศึกษาเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งได้กำชับนายไชยบูลย์และพวกด้วยว่าต้องมาฟังการสั่งคดีในวันที่ 16 ธ.ค. ทุกคน ส่วนอาการป่วยนั้นเท่าที่พูดคุยกันก็เห็นว่าดีขึ้นแล้ว
ส่วนที่วัดสว่างพบ เมื่อเวลา 13.30 น. พระมหาปัญญา ขันติธัมโม รักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง ได้นำหนังสือถอดถอนพระครูปทุมกิจโกศล ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ซึ่งลงนามโดย พระสุเมธาภรณ์มามอบให้พระครูปทุมกิจโกศล โดยเนื้อหาในหนังสือถอด ถอนระบุว่า หย่อนความสามารถ ในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ไม่สามารถพิจารณาลงโทษตามกฎมหาเถรฯ ทั้ง ๆ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์ ของวัดหลายคดี และถูกฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งการไม่พิจารณาลงโทษก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดและศาสนา อาศัย อำนาจตามความในข้อ 41 แห่งกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ จึงสั่งให้พระครูปทุมกิจโกศลออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่วัดสว่างพบเป็นไปอย่างเคร่งเครียด มีชาวบ้านที่ศรัทธาพระครูปทุมกิจโกศลกว่า 30 คนมาโต้แย้งคำสั่งถอดถอน มีการตั้งคำถามว่าพระครูปทุมกิจโกศลทำผิดอะไร ขณะที่พระมหาชัยยะ อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย เลขาฯอดีตเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งกล่าวว่า พระครูปทุมกิจโกศลถูกเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีกลั่นแกล้ง ซึ่งจะหารือกับชาวบ้านรวมตัวไปประท้วงขอความเป็น ธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่
พระครูปทุมกิจโกศล กล่าวว่า การพิจารณา กรณีนายไชยบูลย์นั้นอยู่ในดุลพินิจของเจ้าคณะตำบล ซึ่งก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีความผิด แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการมาเช่นนี้ก็ยอมรับ ไม่มีปัญหาอะไร ด้านพระสุเมธาภรณ์ กล่าวว่า พระครูปทุมกิจโกศลวางตัวไม่เป็นกลาง จะไม่มีการทบ ทวนคำสั่งใหม่
ที่สภาสังคมสงเคราะห์ วันเดียวกันเมื่อเวลา 10.00 น. นายสมพร เทพสิทธา ประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคมฯ ในฐานะประธาน องค์กรเครือข่ายชาวพุทธเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระ พุทธศาสนาแถลงเปิดตัวองค์กรโดยกล่าวว่า งานชิ้นแรกขององค์กร นี้คือจัดทำเอกสาร "แฉกลวิธีทำลายพระพุทธศาสนา" ของกลุ่ม "ดร.เบญจ์ บาระกุล" ที่โจมตีพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พระเถระที่เข้าใจพระพุทธศาสนาดีที่สุดผู้หนึ่ง ออกแจกจ่ายเผยแพร่ให้แก่วัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ 50,000 เล่ม และอีก 20,000 เล่มจะแจกจ่ายให้ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ
"เราสู้กันด้วยนามจริงไม่ใช่นามแฝง การ กระทำของดร.เบญจ์ บาระกุลนั้นอยู่ในความมืด และคนที่อยู่ในความมืดก็คือคน ที่ไม่กล้าสู้ความจริง ขอให้ปรากฏตัวออกมา ออกทีวีด้วยกันผมท้าเลย ดร.เบญจ์แปลว่ามี 5 คนใช่หรือเปล่าผมขอถาม ผมจะได้หาเพื่อนเป็น 5 คนมาสู้กัน"
นายสมพร กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจที่ตำรวจยังไม่สามารถหาตัวดร.เบญจ์พบหรือพบแล้วแต่ยังไม่มีหลักฐานมัดตัว ขอให ้ตำรวจระงับการเผย แพร่หนังสือ "เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ" และ "พุทธศาสนาชะตาของชาติ" อย่างจริงจัง รวมถึง หนังสือ พิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ข้อความที่กระทบความมั่นคงท้าทายอำนาจของรัฐในการแก้ไขปัญหา พระพุทธศาสนาด้วย.