เดลินิวส์ 23/10/2542
'ไชยบูลย์'เจอคดีที่4 ถึงขั้นไอเป็นเลือด
"ไชยบูลย์"ป่วยกระทันหัน หลังเจอหมายจับคดีที่ 4 ถึงโคม่าไอเป็นเลือด มีสิทธิ์เบี้ยวมอบตัว ธรรมกาย เล่นเล่ห์ถ่ายโอนบัญชีเงินฝากไป-มาที่สุดเข้าไปอยู่สาขาใกล้วัด พบบัญชีธนา คารบางแห่งเหลือแค่ 100 บาท บางแห่งล่องหน 200 ล้านบาท ศึกษาธิการลุยต่อเสนอมหาเถรฯชี้ขาด เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ไม่ปลดไชยบูลย์ออกจากตำแหน่ง "สมศักดิ์"ระบุหากปล่อยไว้ศาสนา-สงฆ์จะมัวหมอง "สงบ ปัญญาตรง" สาวกสำคัญกลับเมืองไทยแล้ว ตำรวจเตรียมออกหมายเรียกสอบปากคำ บิดพริ้วสั่งตะครุบตัวทันที
ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเวลา 9.00 น.วั นที่ 22 ต.ค. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่า หลังจากกรมการศาสนารับรายงานจากพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุม ธานี เรื่องที่พระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งไม่ยอมปลดนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายออกจากตำแหน่งแล้ว จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอที่ประชุมมหาเถรสมาคมต่อไป รวมถึงจะนำข้อมูลกรณีที่นายไชยบูลย์ตกเป็นผู้ต้องหาคดีล่าสุดคือ การเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้พิจารณาด้วย เพื่อจะได้ทราบว่ามหาเถรฯมีความเห็นอย่างไร จะได้นำเสนอเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งอีกครั้ง เพราะหากปล่อยไว้ไม่พักตำแหน่ง จะส่งผลเสียต่อภาพรวมพระศาสนาและพระสงฆ์เอง
"ความจริงไม่ว่าจะเป็นการฟ้องคดีแรกหรือคดีที่ 2 ก็พอเพียงจะปลดออกไปได้ ยิ่งวัน เจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มอีก คงเป็นการตอกย้ำความชอบธรรมให้มากขึ้น แต่กระทรวง คงไม่สามารถบัญชาการสั่งพักตำแหน่ง ขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าคณะตำบล ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด ดังนั้น จึงจะมีการรายงาน ไปให้มหาเถรฯในฐานะองค์กรปกครองสูงสุดของสงฆ์ มีความเห็นอย่างไรคงต้องปฏิบัติตาม"
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ได้สั่งการให้ กรมการศาสนาประสานงาน กับเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ ที่จะเรียกนายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสฯ มารับทราบข้อกล่าวหา ตามกฎนิคหกรรม โดยขอทราบวันเวลาสถานที่เพื่อจะอำนวยความสะดวกให้ รวมทั้งจะต้องมีเจ้าหน้าที่กรมร่วม รับรู้เหตุการณ์เพื่อป้องกันคำครหา นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า กรมฯ ย้ำขอให้ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ดำเนินการตามกฎนิคหกรรมในต้นเดือนจริงๆและจะมากราบ นมัสการ ขอรับทราบผลเป็นระยะ โดยการดำเนินการทั้งหมดสอดคล้องกับการที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ บอกว่าจะให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ชัดเจน จึงอยากให้ทุกระดับหารือกัน
นอกจากนั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ยังแนะนำ ให้ไปกราบนมัสการ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่ หนกลาง วัดชนะสงคราม และพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะผู้บัญชาการตามสายงาน เพื่อประสานขอคำแนะนำ โดยกรม การศาสนาจะให้นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนานำหนังสือยืนยันมติมหาเถรฯไปให้ ซึ่งมีข้อความเดียวกันกับที่นำไปมอบให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ต่างกันตรงที่เป็นการเสนอให้รับทราบเพื่อขอคำแนะนำโดยมีกรอบเวลาเป็นตัวกำหนด
"การดำเนินงานของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีอาจทำก่อนต้นเดือนพ.ย.ก็ได้ แต่หากครบกำหนดกรมก็จะประสานไปอีกครั้งเพื่อถามความคืบหน้า และการดำเนินงาน กรมบอกกับ เจ้าคณะจังหวัดด้วยว่าหากสิ่งใดติดขัดประสงค์จะให้ช่วยเหลือก็พร้อมเต็มที่ และระหว่างที่รอนั้นกรมฯ จะประสานไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอความเห็นกรณีทรัพย์สินธรรมกายจะดำเนินงานอย่างไรได้บ้าง รวมถึงที่ขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี บางธนาคารแจ้งให้ทราบว่าบัญชีวัดเคลื่อนไหวถ่ายโอนจากสาขาหนึ่งไปอีกสาขาที่อยู่ใกล้วัด การจะเข้าไปจัดการเรื่องนี้คงเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนที่มีอำนาจตามกฎหมาย กรมทำหน้าที่เพียงให้ความร่วมมือและประสานงานเท่านั้น"
ด้านนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาเปิดเผยว่า ได้มอบให้นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนาไปกราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์และพระพรหมโมลีแล้ว โดยพระพรหมโมลีต้องยกเลิก คำวินิจฉัยเดิมที่เคยตัดสินชาวบ้านฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรมไม่ได้ เพื่อให้ไปเป็นไปตามมติมหาเถรฯวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา
วันเดียวกันที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่พระพรหม โมลีย์ เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งมอบหมายให้พระครูวิศาลสรนาถ พระเลขานุการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประจิณ ฐานัง กรณ์ ในข้อหาหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานและแจ้งความเท็จเพื่อให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา โจทก์เบิกความสรุปได้ว่า จำเลยได้ยื่นหนังสือต่อพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า นายไชยบูลย์กระทำผิดต่อศาสนาพุทธ อวดอุตริมนุสธรรม สอนผิดเพี้ยน แต่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีไม่รับฟ้อง เนื่องจากจำเลยใช้คำว่า "นายไชยบูลย์" อันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และไม่ได้ระบุว่าเป็นพุทธศาสนิกชน เมื่อจำเลยอุทธรณ์ ทั้งเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะภาค 1 ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วสรุปว่าจำเลยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์
นอกจากนี้ในวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา จำเลยได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่กองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับโจทก์โดยอ้างว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทั้งที่โจทก์มิได้มีพฤติการณ์ดังกล่าว การกระทำ ของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง อย่างไรก็ตามพระครูวิศาลสรนาถเบิกความยังไม่แล้วเสร็จ ศาลจึงมีคำสั่งเลื่อนไปเบิกความต่อในวันที่ 22 ธ.ค.เวลา 13.30 น.
ในวันเดียวกันนายสนธยา โพธิแดง ทนายความของนายไชยบูลย์ได้เดินทางเข้าพบพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย เพื่อหารือเกี่ยวกับการนำผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ 4 คนมามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และรับทราบหลักทรัพย์ในการประกันตัว โดยใช้เวลากว่า 30 นาที จากนั้นเปิดเผยว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดจะมามอบตัวในวันที่ 28 ต.ค.เวลา 14.00 น.ที่กองปราบ อย่างไรก็ตามไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการออกหมายจับคดียักยอกทรัพย์อีก เนื่องจากพยานทั้ง 43 รายได้ยืนยันว่าได้รวบรวมเงินให้นายผ่อง เล่งอี้ แกนนำและศิษย์คนสนิทไปซื้อที่ดินมาให้นายไชยบูลย์ โดยมีลูกชายนายผ่องเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมเงินเพื่อโอนให้กับนายถาวร พรหมถาวรไปจัดซื้อ แต่ปัจจุบันบุตรชายนายผ่องเสียชีวิตแล้ว ซึ่งก็จะรอดูว่าพนักงานสอบสวนจะส่งมอบสำนวนนี้ให้อัยการหรือไม่
ส่วนวันที่ 28 ต.ค.ยืนยันได้หรือไม่ว่านายไชยบูลย์มารับข้อกล่าวหาได้นั้น นายสนธยากล่าวว่า ต้องขอรอดูอาการป่วยนายไชยบูลย์เสียก่อน เพราะมีอาการไอมากจนมีเลือดปนออกมาด้วย แพทย์กำลังพิจารณาว่า จะมีอาการแทรกซ้อนด้วยหรือไม่ สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าวัดทยอยปิดบัญชีเพื่อขนเงินหนีออกนอกประเทศนั้น ไม่เป็นความจริง การปิดบัญชี้นี้เป็นไปตามคำแนะนำของทีมกฏหมาย เพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมการใช้จ่ายเงินและให้เปิดบัญชีใหม่เพียง 3 บัญชีโดยแบ่งเป็นบัญชีค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง บัญชีโครงการต่างๆของวัด และบัญชีค่าใช้จ่ายทั่วไป
"ที่ทำเช่นนี้เพราะที่ผ่านมาเวลานายไชยบูลย์ลงนามสั่งจ่ายเช็ค มักไม่ทราบว่าเป็นค่าใช้จ่ายเป็นค่าอะไร คณะกรรมการจัดเตรียมไว้ให้ทั้งหมด การมีหลายบัญชีจะยากต่อการดูแลให้ทั่วถึง ซึ่งไม่จำเป็น ต้องแจ้งให้กรมการศาสนาทราบทันทีแต่สามารถแจ้งได้ภายหลัง ไม่ได้ทำอะไรผิดกฏกระทรวง นอก จากนี้พนักงาน สอบสวน ระบุว่าหลักฐานเกี่ยวกับการเงินของวัดมีส่วนในการพิจารณาให้ปล่อยตัว ผู้ต้องหาชั่วคราว จึงต้องรวบรวมไว้ชี้แจง"
ทางด้านพล.ต.ท.วาสนากล่าวกับนายสนธยาว่า ขอร้องให้ชี้แจงกับทางวัดพระธรรมกายและนายไชยบูลย์ด้วยว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดหากสามารถชี้แจงได้ก็ให้รีบชี้แจงเข้ามา รวมถึงสาวกที่ที่วัดโอนเงินไปให้ด้วย เพราะหาก พนักงาน สอบสวนตรวจสอบพบในภายหลังอาจใีความผิดได้ และการออกหมายจับครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งวัด ทุกอย่างพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนเพิ่มเติมและแจ้งข้อกล่าวหาในคดีใหม่อีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงาน สอบสวนทราบว่านางสงบ ปัญญาตรงหรือสีกาสงบ เดินทางกลับ จากอังกฤษแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. ซึ่งจะได้ออกหมายเรียกมาให้ปากคำเพื่อชี้แจงถึงเงิน ที่วัดพระธรรมกายโอนเข้าบัญชีให้กว่า 500 ล้านบาท หากไม่ยอมมาก็จะออกหมายจับ เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเงินดังกล่าวได้ และหากข้อมูล ในส่วนของนางสงบสมบูรณ์แล้วจะมีผู้เข้าข่ายกระทำความผิดร่วมด้วยอีก 3 ราย ทั้งพระและฆราวาส ซึ่งจะได้ออกหมายจับระลอกต่อไป นอกจากนี้พนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวนที่ได้ไปรวบรวมพยานหลักฐานการกว้านซื้อที่ดินที่ จ.ตราด ซึ่งมีผู้เข้าข่ายกระทำความผิด 2 คนคือ นางจิรวัฒน์ ศรีสัตนา หรือสีกาอี๊ด และน.ส.นวลนิตย์ หงษ์วิวัฒน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ขณะนี้วัดพระธรรมกายจะถูกระงับการเบิกจ่ายบัญชีธนาคาร แต่ก็ยังมีการถอนเงิน ออกไปจำนวนมาก บางบัญชีจะเหลือติดไว้แค่ 100-200 บาท ยอดเงินที่มีการถอนไปขณะนี้สูงถึง 200 ล้านบาท ดังนั้นในบัญชีจึงมียอดเงินคงเหลือประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกระแสการเงินของวัดพระธรรมกายให้กับพนักงานอัยการเพิ่มเติม และจะนำรายงานผลการสอบสวนเสนอต่อพล.ต.ท.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ต่อไป