เดลินิวส์ 17/10/2542
สาวก'ธรรมกาย' ไม่ยอมหยุดป้ายสี
ตำรวจสรุปแล้วสิ่งพิมพ์โจมตีพระธรรมปิฎก เกี่ยวกับกับธรรมกายอย่างลึกซึ้ง แถม"ดร.เบญจ์ บาระกุล"ก็ไม่มีตัวตนจริง เป็นนามปากกาที่ตั้งขึ้นมาใช้เขียนป้ายสีปกป้องลัทธิสูบบุญ สุมหัวกันเป็นก๊กมีพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวข้องด้วย สาวกวัดฉาวไม่หยุด ปลุกระดมทั่วประเทศมี"กิตติวุฑโฒ"เป็นโต้โผใหญ่ อ้าง"ไชยบูลยฺ"ตกเป็นเหยื่อถูกเชือด หวังสร้างกระแสให้คนเลิกนับถือพระจะได้ออกกฎหมายใหม่ให้ชาวบ้านปกครองสงฆ์ กระทรวงศึกษาฯเต้นจี้เร่งสางปัญหา เสนอเร่งตีความในมหาเถรฯชาวบ้านฟ้องตามกฎนิหคกรรมได้
เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมารายงานข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่า กระทรวงจะผลักดัน ให้มีการตีความกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ในการประชุมมหาเถรฯ วันที่ 19 ต.ค.นี้อีกครั้งเพื่อขอให้ชี้ชัด ประเด็นฆราวาสสามารถฟ้องร้องกล่าวโทษพระสงฆ์ โดยจะมีการนำตัวแทนภาครัฐบาลได้แก่นายวิษณุ เครืองาม เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปร่วมชี้แจง เดิมทีกระทรวงศึกษาธิการต้องการผลักดันให้มีการตีความกฎมหาเถรฯตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถบรรจุวาระได้ทัน จึงทำให้ต้องเลื่อนออกไปอีก การตีความกฎ นิคหกรรมครั้งนี้เพื่อแก้ปัญหา กระบวนการสงฆ์ให้ชัดเจนจากที่มีปัญหาพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ตีความว่าฆราวาสไม่สิทธิฟ้อง ทำให้การฟ้องร้องกล่าวโทษดำเนินคดีทางสงฆ์กับนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกายต้องชะงักไป และทุกอย่างยังค้างเติ่งอยู่กับที่
อย่างไรก็ตาม การนำเรื่องเข้าตีความในมหาเถรฯ อาจประสบปัญหาการขัดขวางจากพระเถระที่มีความสนิทสนม กับธรรมกายในมหาเถรฯ เพราะเรื่องดังกล่าวสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เคยเสนอวาระจรเกี่ยวกับปัญหาการตีความของพระพรหมโมลีเข้ามหาเถรฯไปแล้ว และต้องการให้ชี้ชัดว่าฆราวาสฟ้องได้ แต่ถูกพระเถระที่ยืดหลัก"แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน"ขัดขวาง และจะทำถึงขั้นการส่งให้กฤษฎีกาตีความ สุดท้ายก็มาลงเอยที่การให้ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายของรัฐบาลเข้ามาเป็นที่ปรึกษา
รายงานข่าว กล่าวอีกว่าขณะนี้ปัญหาธรรมกาย จะบานปลายทำให้เกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ในวงการสงฆ์ เนื่องจากสาวกธรรมกายได้ออกเดินสายปลุกระดมพระทั่วประเทศ โดยยกประเด็นว่าการที่นายไชยบูลย์ถูกดำเนินคดีนั้นเป็นเพียงแพะ เพื่อให้สื่อมวลชนโจมตีและให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ จากนั้นจะมีการแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ โดยมีการใส่ความว่าจะให้ฆราวาสมาปกครองพระ การปลุกระดมครั้งนี้ได้เดินสายไปทั่วประเทศ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จัดที่จ.ปราจีนบุรี และเมื่อวันเสาร์ที่ 16 ต.ค.ก็ไปจัดที่เชียงใหม่ โดยวิทยากรก็หน้าซ้ำๆ เดิม โดยเฉพาะโต้โผหลักก็คือพระเทพกิตติปัญญาคุณหรือกิตติวุฑโฒ ผู้อำนวยการจิตตภาวันวิทยาลัย
นอกจากนั้นยังมีการบิดเบือน ข้อมูลอีกว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่ยกร่างขึ้นเป็นร่างของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากการยกร่างมาจากนักวิชาการของกรรมาธิการการศาสนาฯ และกระทรวงได้จัดประชุมเตรียมการเพื่อเสนอความคิดเห็น
ความเคลื่อนไหวทั้งหมด ที่ดำเนินการก็เพื่อแสวงหากลุ่มพันธมิตรให้ธรรมกาย โดยเฉพาะในกลุ่มพระสงฆ์ ที่ต้องการให้ออกมาคัดค้านร่างพ.ร.บ.สงฆ์ และเบี่ยงประเด็นความสนใจของคดีธรรมกายออกไป จากที่กำลังถูกเล่นงาน เนื่องจากการฉ้อโกงประชาชน การบิดเบือนพระธรรมวินัย เพื่อหลอกลวงเงินก็ต้องการสร้างภาพว่าธรรมกายเป็นแพะ และมีต่างชาติให้เงินมาเคลื่อนไหว ซึ่งได้มีการออกเอกสารเผยแพร่จากกระบอกเสียงธรรมกายมาตลอด โดยเฉพาะได้ใช้การตัดต่อข้อมูล บิดเบือนข่าวสาร
ส่วนกรณีที่มีข่าวการปลอมปริญญาของมหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ซึ่งเป็น 1 ใน 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ เมืองไทย รวมถึงการที่มีพระ บางรูปใช้หลักฐานปลอมการจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เพื่อเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหามกุฏฯวิทยาเขตล้านนา จ.เชียงใหม่ นั้น
ผู้สื่อข่าวเชียงใหม่รายงานว่า นอกจากปัญหา การปลอมเอกสารแล้วมีการทุจริตในงบประมาณของมมร.ด้วยที่เงินอุดหนุน อยู่ 4 แหล่ง เงินก้อนใหญ่สุดได้จากกรมการศาสนาในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ,จากกองศาสนา ให้ใช้ในกิจการของโรงเรียนปริยัติธรรม หรือสามัคคีวิทยา,ได้จากเงินมูลนิธิมหามกุฏ ราชวิทยาลัยวิทยาเขตล้านนา สุดท้ายได้จากการบริจาคต่างๆ
การโกงเงินของมมร.เชียงใหม่นั้น มีพฤติกรรมจะมีผู้ใกล้ชิดของพระ อดีตผู้บริหารมมร. ชียงใหม่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง โดยที่พระอดีตผู้บริหารไม่ทราบเรื่อง คือการปลอมลายมือใช้ตรายาง ที่มีลายเซ็นปั้มลงไปในรายการ เบิกเงินและนำไปใช้จ่ายที่ทางอื่น, จัดทำบัญชีเงินเดือนที่ซ้ำซ้อนของบุคคลากรประจำ บางคนรับเงินเดือน 2 แห่ง บางคน 3 แห่ง ,บุคคลากรบางคนก็ไม่ได้รับเงินเดือนเต็ม จาก 8 พันบาท ได้รับเพียง 2 พันบาทเท่านั้น และมีการตั้งคนเข้ามากินตำแหน่ง อาจารย์พิเศษ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ อาจารย์พิเศษประจำ โดยให้ค่าตอบแทน ทั้งที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
ในวันเดียวกันที่หอประชุมคุรุสภา ได้มีการสัมมนาเรื่อง วิสัยทัศน์การศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 พระราชวรมุนี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า จุดอ่อนของการศึกษาสงฆ์คือ ขาดความเป็นเอกภาพในเรื่องของนโยบายเห็นได้จากการศึกษาสงฆ์ในร.ร.พระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรม บาลี สามัญ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งจะเทียบโอนกันไม่ได้เลย นอกจากนี้อยากให้คณะสงฆ์ตื่นตัวกับการปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ปัญหายาเสพติด ที่ผ่านมาโรงเรียนสอนศาสนาเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้ดี ผู้ปกครองจำนวนมากอยากส่งลูกหลานเข้ามาบวชเรียนในร.ร.พระปริยัติธรรมมากขึ้น
ดร.เบญจ์ บารกุล ในทะเบียน ไม่มีตัวตน เป็นนามปกากกา รื่องสมบัต ส่งให้อ.ตร.แล้ว บอกไม่ได้ รออ.ตร.สั่ง สว่นคดีรวบรวมหลักฐานตรงไหนถ้าส่งฟ้องได้ส่งเลย ที่อัยการขอมาทยอยส่งเรื่อย ๆ เป็นทีม2-3 คน ดร.บุญถี่ ธรรมกิตติวงศ์ บุญถิ่น จันทมนตรี เป็นเปรียญ 9 วัดเบญจมพบิตร รุ่นเก่า 50-60 ปี ลงสมครชิงนายกปเปรียญธรรมกับอาจารย์สังเวียน กับอ.จำรัส 2 สมัย รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า คณะกรรมการ สอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีการออกเอกสารโจมตีพระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) ที่มีพล.ต.ท.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นประธาน ได้สรุปการสอบสวนแล้ว โดยพบว่าข้อเขียนของผู้ที่ใช้นามปากกว่าดร.เบญจ์ บาระกุล ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ รวมถึงได้ออกเป็นหนังสือเล่มนั้น ตัวดร.เบญจ์ไม่มีตัวตนอยู่จริงในโลก และเป็นเพียงนามปากกาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามข้อเขียนทั้งหมดมีความเกี่ยวพันกับธรรมกายอย่างลึงซึ้ง โดยเฉพาะนามปากกาดร.เบญจ์นั้นไม่ใช่เป็นของบุคคลเพียงคนเดียว แต่มีบุคคลหลายคนเกี่ยวข้อง และมีพระเถระบางรูปเข้ามาเกี่ยวพันด้วย
ข้อสรุปทั้งหมดพล.ต.ท.สมบัติรายงานผ่านพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผบ.ตร. เพื่อเสนอพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร.แล้ว เพราะคำสั่งที่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงระบุว่าให้รายงานผลการดำเนินงานภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดตามคำสั่งไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และอยู่ที่พล.ต.อ.ประชาจะสั่งการอย่างไรต่อไป
ในวันเดียวกันนี้ เวลา 14.00 น. ที่วัดมูลจินดาราม พระชัยยะ จันทสะโร พระเลขาพระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ได้เข้าพบ พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อยื่นหนังสือยืนยันคำวินิจฉัยที่ไม่สั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายของนายไชยบูลย์ สุทธิผล โดยได้ชี้แจ้งถึงเหตุผลที่ไม่ยอมสั่งพักนายไชยบูลย์ว่า วัดพระธรรมกายเป็นวัดที่มีพระเณรและญาติธรรมมาปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก เกรงว่าหากมีการสั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสของนายไชยบูลย์ไปแล้ว อาจเกิดปัญหาตามมามากมาย จึงไม่เห็นควรให้ นายไชยบูลย์หยุดพักจากการเป็นเจ้าอาวาส จึงได้มีหนังสือยืนยันคำวินิจฉัยเดิมอย่างเป็นทางการมาอีกครั้ง ทั้งนี้พระสุเมธาภรณ์กล่าวภายหลังรับหนังสือยืนยันจากพระชัยยะว่า หลังจากนี้ก็จะได้ดำเนินการ นำหนังสือฉบับนี้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีชาวบ้านจำนวน 4 คนเดินทางมายังวัดมูลจินดาราม เพื่อร้องเรียนความ ไม่ชอบมาพากล ในการปฏิบัติหน้าที่ของพระปทุมกิจโกศล โดยมีนายสมพงษ์ สมบัติ นายถวิล ศรีประยูร นายประพงษ์ ร้อยพดุงศักดิ์ และนางมะลิ ปิ่นรัตน์ ทั้งหมดเป็นชาวบ้านตำบลและอำเภอวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ได้แจ้งต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า พวกตนเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงบริเวณวัดสว่างภพ ที่มีพระครูปทุมกิจโกศลเป็นเจ้าอาวาส ได้กระทำการยักยอก ทรัพย์อันเป็นงบประมาณที่กรมการศาสนาจัดสรรให้ เพื่อใช้ในกิจการการเรียนการสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม
สำหรับข้อเท็จจริงของการทำการยักยอกทรัพย์นี้ เกิดจากพระครูปทุมกิโกศลได้แจ้งยอดสามเณรที่เข้ามาบวชในวัดสว่างภพไม่ตรงตามข้อเท็จจริง กล่าวคือโรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดสว่างภพ มีสามเณรมาบวชและศึกษาในโรงเรียนเพียง 85 รูป แต่เจ้าอาวาสวัดสว่างภพ กับแจ้งยอดสามเณรไปยังกรมการศาสนาทั้งสิ้น 250 รูป ทั้งๆที่ความจริงมียอดสามเณรน้อยกว่าที่ระบุมาก ทั้งนี้ก็เพื่อมุ่งหวังให้ได้เงินจากกระทรวงศึกษา ที่ให้งบประมาณสนับสนุนการเรียนของสามเณรองค์ละ 5,600 บาท โดยนำเงิน จากยอดสามเณรที่เกินอยู่ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดเป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งหมด
นอกจากนี้เจ้าอาวาสวัดสว่างภพยังยินยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าไม่ว่า วัดพระธรรมกายจะจัดกิจกรรมใดๆก็ตาม มักมีการนำรถบัสมาเกณฑ์พระเณรของวัดไปร่วมกิจกรรมด้วยไม่เคยขาด และภายหลัง จากพระปทุมกิจโกศลได้วินิจฉัยไม่สั่งพักนายไชย์จากการทำหน้าที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่วัดสว่างภพกลับมีรถวิ่งเข้าออกมากผิดปกติ โดยมีผู้แต่งกายด้วยชุดสีขาว คล้ายกับญาติธรรมของวัดพระธรรมกายนำกระเช้ามาถวาย เจ้าอาวาสวัดสว่างภพไม่ขาดสาย พร้อมกล่าวเชียร์ว่า "หลวงพ่อสู้ สู้"
ภายหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้วพระสุเมธาภรณ์ได้แจ้งกับผู้ร้องเรียนทั้ง 4 คนว่า จะรับหนังสือไว้พิจารณา พร้อมทั้งเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้กล่าวหา หากพบว่าเรื่องที่ร้องเรียนมีมูลความจริงตามที่กล่าวหามา ก็จะได้รีบลงมือดำเนินการตามกฏมหาเถรในทันทีต่อไป