เดลินิวส์ 5/10/2542
'ไชยบูลย์'ยึกยัก อัยการลุย สั่งฟ้อง2ข้อหา อ้างป่วยขอเลื่อนนัดแต่ไม่มีใครเชื่อ
อัยการสั่งฟ้อง"ไชยบูลย์"แล้ว 2 ข้อหา ฉ้อโกงเงินวัด เป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่รวมถึงทุจริตให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ประกาศยังชนักติดหลังคดีอื่นอีกให้กองปราบฯตามหลักฐานเพิ่ม แฉเล่ห์พระปลอม ให้ทนายวัดเอาใบรับรองแพทย์อ้างป่วย ขอเลื่อนนัดฟังผลไปถึงสิ้นเดือน แต่ไม่มีใครเชื่อ ส่ง"วาสนา"บุกถึงกุฏินอนเอกเขนกสบายใจ อ้างหน้าตาเฉย"ป่วยนะจ๊ะ ขอเลื่อนนะจ๊ะ"สุดท้ายถูกขู่ถอนประกันถึงลากออกมาได้ แต่ศิษย์เอก"ถาวร พรหมถาวร"เจอหมายจับซ้ำ ถูกส่งไปสอบที่เชียงใหม่ข้อหาบุกรุกป่างานนี้มีสิทธิได้นอนคุก ขณะที่มหาเถรฯอยู่คนละโลก กับชาวพุทธไม่ยอมถกปัญหากฎนิคหกรรม เอาแต่ประชุมเรื่องการสร้างวัด
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นวันที่สำคัญอีกครั้ง ในการสะสางปัญหาธรรมกาย โดยสำนักงาน อัยการสูงสุดจะตัดสินสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร สาวกสนิท ที่ตำรวจกองปราบปรามยื่นกล่าวโทษดำเนินคดีไว้ 3 ข้อหา ปรากฎว่าในเวลา 9.00 น.ว่ามีแต่นายถาวร พรหมถาวร ผู้ต้องหาเดินทางมารับฟังคำสั่งฟ้อง และมีนายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความวัด ,นายเพทาย มณีไพโรจน์ นายประกัน,พล.อ.อ.วีรวุทธ วลเปารยะ ประธานไวยาวัจกร เดินทางมเข้าพบนายวิเชียร วิริยประสิทธิ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ,นายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา โดยอ้างนายไชยบูลย์ป่วย
อัยการไม่เชื่อว่า"ป่วย"
นายสนธยา ทนายความวัดพระธรรมกาย นำใบรับรองแพทย์ของน.พ.พรชัย พิญญพงษ์ แพทย์ประจำมูลนิธิธรรมกาย มายืนยันว่านายไชยบูลย ์เป็นโรคเบาหวาน และหลอดลมอักเสบเนื่องจากติดเชื้อหวัด จึงมาฟังคำสั่งฟ้องไม่ได้ และขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 20 ต.ค.นี้ หากอัยการไม่เชื่อก็ต้องรับตัวมาจากวัด แถมยังบอกว่าถ้าพาตัวมาอาจถึงชั้นช็อค
อย่างไรก็ตามคณะอัยการเห็นว่าข้ออ้างการขอเลื่อนคดีไม่น่าเชื่อถือจึงติดต่อหารือกับพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีธรรมกาย และตัดสินใจต้องเอาตัว นายไชยบูลย์มาฟังคำฟ้องในวันนี้ให้ได้ และให้เชิญคณะแพทย์จากรพ.ตำรวจนำโดยพ.ต.อ.น.พ. ไพโรจน์ จันทรโมฉี เดินทางไปตรวจอาการนายไชยบูลย์ที่อ้างว่านอนรักษาตัวที่วัด
เวลา 14.00 น.พล.ต.ท.วาสนา ,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.1ป.,พ.ต.อ.ฉัตรกนก เชียวส่องแสง ผกก. 3ป. และกำลังจาก กองปราบปราม นำรถร.พ.ตำรวจ 1 คันเข้าไปในวัดธรรมกาย หลังจากนั้นอีก 30 นาที วัดได้เรียก รถตู้จากร.พ.เอกปทุม 1 คันเข้าวัด และในช่วงเวลานี้ได้มีรถของสาวกเข้าวัดอย่างไม่ขาดสายตลอดเวลา
เมื่อเดินทางไปถึงคณะนายตำรวจและคณะแพทย์พบนายไชยบูลย์นอนหราอยู่บนเสียง สวมเสื้อยึดแขนยาวสีเหลืองไว้ภายในจีวร โดยมีพระชั้นในอาทิพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสและพระสมชาย ฐานวุฑโฒ นั่งเฝ้า โดยไม่มีการให้น้ำเกลือเหมือนกับผู้ป่วยที่อ่อนเพลียและไม่เหมือนกับคำอ้างว่าวันนี้นายไชยบูลย์ป่วยหนัก
ป่วยนะจ๊ะขอเลื่อนนะจ๊ะ
ผลตรวจอาการภายในพบว่าไม่ได้ป่วย เพียงแต่มีอาการอ่อนเพลียนิดหน่อย แพทย์ลงความเห็นตรงกันว่า อาการอ่อนเพลียเกิดจากความเครียดเล็กน้อย ไม่ได้เจ็บป่วยถึงขั้นเดินทางไปไหนไม่ได้ พนักงานสอบสวนจึงตัดสินใจเชิญตัวไป และตัดสินใจจะไปส่งที่ศาลอาญาเลย โดยไม่แวะที่สำนักงานอัยการสูงสุดเพราะใกล้หมดเวลาราชการแล้ว
อย่างไรก็ตามนายไชยบูลย์พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเดินทางไปที่ศาล โดยพ.ต.อ.ทวี และพ.ต.ท.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ รองผกก.สศก.,พ.ต.ท.ปกรณ์ สุธีรกุล เข้าไปชี้แจง ให้นายไชยบูลย์ไปพบอัยการแต่ก็ถูกปฏฺเสธและยืนยันจะเลื่อนนัด ออกไป โดยกล่าวว่า"ป่วยนะจ๊ะ ขอเลื่อนไปก่อนนะจ๊ะ ขอรับผิดชอบเองนะจ๊ะ" ทำให้พนักงานสอบสวนถึงกับส่ายหัว สุดท้ายพล.ต.ท.วาสนาลงทุนไปเจรจาเอง โดยกล่าวว่าถ้าไม่ไป อาจถูกจับสึกได้ ที่สำคัญจะถูกถอนประกันและไม่มีสิทธิได้ประกันอีก
จากนั้นนายไชยบูลย์ได้แต่อมยิ้ม ก่อนตัดสินใจเดินทางไปพบอัยการแต่นายแพทย์พรชัย เจรจาเกลี่ยกล่อมให้รู้ถึงผลดีเสียในการไม่ยอมไปฟังการสั่งคดี จนในที่สุดนายไชยบูย์ยอมเดินทางไปจากวัด แต่น.พ.พรชัยแพทย์ประจำมูลนิธิธีรมการคัดค้นของให้เลื่อนนัดไปก่อน รวมถึงพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสของร้องให้เลื่อนออกไป โดยใช้เวลาต่อรองนานถึง 1 ชั่วโมง
การเดินทางออกจากวัด นายไชยบูลย์ยังไม่ยอม นั่งรตำรวจ โดยอ้างว่าไม่เคยชิน และมีรถของบรรดาศิาย์ติดตามมาด้วย ก่อน นายไชยบูลย์จะออกจากวัด ก็มีการส่งสาวกล่วงหน้าไปก่อน โดยเวลา 14.45 น.มีรถบัส2 ชั้น ทยอยขนพระเณรออกจากวัดรวม 4 คัน สุดท้ายเป็นรถกองปราบที่ขับนำรถรพ.เอกปทุม ที่นายไชยบูลย์นั่งอยู่ภายใน
ก่อนหน้าที่ตำรวจไปถึงนายวิระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่วัดพระธรรมกายว่า นายไชยบูลย์ขอเลื่อนการฟังคำสั่งฟ้อง เนื่องจากเป็นไข้หวัดมา 4-5 วันแล้วคิดว่าอัยการจะรับฟังเหตุผล และในวันที่ 5 ต.ค. ศาลธัญบุรี นัดฟัง คำพิพากษาคดีนายอรรถพล ขาวศักดิ์ ที่อ้างตัวเป็นพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาเรียกร้องเงินจากวัด 5 ล้านบาทเพื่อล้มคดี สั่งฟ้อง2ข้อหาแรก
ระหว่างที่ตำรวจพาตัวนายไชยบูลย์เดินทางออกจากวัด ในเวลา 15.15 น. อัยการสูงสุดจัดแถลงข่าวการตัดสินใจสั่งฟ้องนายไชยบูลย์และนายถาวร โดยนายพันธ์ สุริยพร รองอัยการสูงสุด ในฐานะประธานคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนคำฟ้อง แถลงว่าคณะทำงาน สรุปชั้นแรกได้มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ในข้อหาการยักยอกเงินของวัดพระธรรมกายจำนวน 6.8 ล้านบาทเป็นข้อหาแรก ส่วนข้อหาที่ 2 คือการเป็นเจ้าพนักงานและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ให้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบและทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
การยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นเพียงความผิดคดีแรกที่พบในสำนวนการสอบสวนอย่างชัดเจน และอัยการยังมีคำสั่ง ให้พนักงานสอบสวนหาพยาน หลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงินจากบัญชีต่าง ๆ มากมายหลายธนาคาร เมื่อได้รับข้อมูลครบถ้วนอัยการจะสั่งฟ้องต่อไปอีก เชื่อว่าจะสร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมากกว่าคดีที่ยื่นฟ้อง
ระหว่างการแถลงของอัยการสูงสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.วาสนานำนายไชยบูลย์ไปถึงศาลอาญา เมื่อเวลา 15.30 น. ขณะเดียวกันให้พนักงานสอบสวนนำตัวนายถาวรมาสมทบ โดยเมื่อรถนายไชยบูลย์มาถึงเกิดความวั่นวาย บริเวณหน้าศาลเพราะมีพระใกล้ชิดล้อมหน้าล้อมหลังนายไชยบูลย์ เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนเข้าใกล้ รวมถึงมีศิษย์ใกล้ชิดติดตัวมาตลอดได้แก่นายวิรศักดิ์,นายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ฯลฯ
จากนั้นนายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไชยบูลย์เป็นจำเลยที่ 1และนายถาวรเป็นจำเลยที่ 2
บรรยายฟ้องยักยอก
สำหรับคำฟ้องอัยการสูงสุดบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดเบียดบังยักยอกเงินของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นนิติบุคคล โดยออกเช็คของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขารังสิต รวม 5 ฉบับ เป็นเงินจำนวน 6.8 ล้านบาท ไปเข้าบัญชีของจำเลยที่สองที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาวังทรายพูล จ.พิจิตร เพื่อใช้ซื้อที่ดินบริเวณเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน โดยใส่ชื่อนายถาวรเป็นเจ้าของ อันเป็นการกระทำผิดฐานเบียดบังยักยอกทรัพย์และสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้วัดพระธรรมกายได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 25 ส.ค. 2542 จำเลยทั้งสองได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงาน จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดและให้คืนเงินจำนวน 6.8 ล้านบาทแก่วัดพระธรรมกายด้วย
ศาลโดยนายรังสรรค์ ดวงพัตรา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำ เลยทั้ง 2 จนเป็นที่เข้าใจแล้วและได้สอบถามจำเลยว่าจะยอมรับข้อกล่าวหา ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองแถลงการภาคเสธ ขอต่อสู้คดีพร้อมเตรียมทนายความไว้แก้ต่างคดีแล้ว
ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 18 พ.ย.นี้เวลา 9.00 น. จากนั้นนายเพทาย มณีไพโรจน์ นายประกันได้ยื่คำร้องต่อศาลพร้อม หลักทรัพย์เป็นสมุดเงินฝากประจำของธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เพื่อขอประกันตัวจำเลยทั้ง 2 ศาลโดยนายพีระพล จันทร์สว่าง รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้วจึงมีคำสั่งให้ประกันจำเลยทั้งสองไป โดยตีราคาประกันคนละ 3 ล้านบาท
จับ"ถาวร"บุกรุกป่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการนำตัว นายไชยบูลย์มายื่นฟ้องศาลอาญานั้น ได้มีบรรดาสาวกของนายไชยบูลย์ เดินทางมาให้กำลังใจกว่า 1 พันคน รวมทั้งนายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล อดีตนักแสดงสาวชื่อดังด้วย
ด้านนายสนธยา ทนายความของวัดกล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมพยานหลักฐาน ไว้ต่อสู้คดีแล้วและจะขอต่อสู้จนถึงที่สุด มั่นใจว่าจะชนะคดีอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้กระทำความผิดตามที่อัยการยื่นฟ้องแต่อย่างใด
พล.ต.ท.วาสนาเปิดเผยว่าพนักงานสอบสวนพาแพทย์ไปตรวจอาการของนายไชยบูลย์ และยืนยันว่าไปไหนมาไหนได้ รวมถึงชี้แจงว่าหากไม่มาขึ้นศาลจะมีผลดี ผลเสียอย่างไร
นอกจากนั้นพนักงานสอบสวนยังได้ขอจับกุมตัวนายถาวร ผู้ต้องหา และคนสนิทนายไชยบูลย์ตามหมายจับของผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ที่ตร. 0021.93/2104 ในข้อหา บุกรุกป่าสงวน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ รวม 4 ครั้ง พื้นที่ 320 ไร่ 3 งาน แผ้วทางและยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง โดยพนักงานสอบสวน นำโดยพ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง จะส่งตัวนายถาวรให้สภ.อ.แม่แตงรับไปดำเนินการในวันที่ 5 ต.ค.นี้
พนักงานสอบสวนได้ขออนุญาตศาลจับกุมตัวนายถาวรมาสอบปากคำที่กองปราบ โดยพล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง ผบก.ป.กล่าวว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาไปดำเนินการต่อ ในส่วนพนักงานสอบสวนถือว่าหมดหน้าที่แล้ว แต่ถ้าพบพยานหลักฐานเพิ่มจะแจ้งข้อหากับพนักงานอัยการต่อไปอีก
อย่างไรก็ตามในช่วงเย็น เมื่อมีการนำนายถาวร มาที่กองปราบปรามฯผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีสาวกธรรมกายเดินทางมาระรานต่ออีก รวมถึงก่อกวนผู้สื่อข่าว โดยค้นกระเป๋าของผู้สื่อข่าวที่วางไว้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนายถาวรตำรวจอาจไม่ยอมให้ประกัน โดยถ้าเป็นเช่นนั้นจริงต้องถูกสอบสวนกักขังที่ เชียงใหม่
โถ..มส.ถกเรื่องสร้างวัด
ในวันเดียวกัน ที่กระทรวงศึกษาธิการนายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังนายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนาคนใหม่เข้าพบว่า ได้มอบนโยบายให้ทำความเข้าใจในการปฏิรูปองค์กรสงฆ์ว่า กรมการศาสนาจะปรับตามโครงสร้างและกฎระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังจะไม่มีการร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ และให้รีบทำความจริงกรณีที่มีการโจมตีพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)ให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงโดยเร็ว
นายวิชัยกล่าวว่าตนให้นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาเสนอต่อที่ประชุม มหาเถรฯพิจารณากรณีพระใบ้หวย ซึ่งควรจะมีการออกมาเป็นมติและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนหากพระรูปใดฝ่าฝืน เมื่อตักเตือนแล้วยังไม่เชื่อฟังก็ต้องมีบทลงโทษจะดำเนินการอย่างไร รวมทั้งเรื่อง ที่จะเชิญนายวิษณุ เครืองาม เลขาธิการ คณะรัฐมนตรีและนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภามาหารือเรื่องการ ประชุมมหาเถรฯนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาการตีความกฎนิคหกรรมฆราวาสร้องทุกข์กล่าวโทษสงฆ์ได้หรือไม่
ส่วนการประชุมมหาเถรฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าไม่มีการหยิบยกเรื่องที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการได้สั่งการให้กรมการศาสนานำเข้าหารือ ซึ่งนายอุดม สุขสุวรรณ รองอธิบดีกรมการศาสนาระบุว่า ได้ประชุมกันเฉพาะเรื่องการก่อสร้างวัดเท่านั้น
ด้านนายสมศักดิ์กล่าวว่าคดีของนายไชยบูลย์ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้ง และถอดถอนเจ้าอาวาสระบุว่าพระรูปใดถูกฟ้องเป็นจำเลย ในคดีอาญา และอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ถ้าผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเห็นว่าจะให้พักจากตำแหน่งก็ได้ ถ้าต่อมาพบไม่ผิดก็ให้คืนตำแหน่งเดิม หรือถ้าพิจารณาแล้วถึงไม่ผิดแต่มีมลทินหรือมัวหมองจะปลดถาวรเลยก็ได้ และตนจะหารือกับนายวิชัยให้กรมการศาสนา ทำหนังสือถึงพระผู้ปกครองต่อไป หากมีการสั่งพักตำแหน่งต้องแจ้งมาที่กรมการศาสนาภายใน 30 วันด้วย
เวลา 16.00น.พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่าหากมีคำสั่งจากสงฆ์ปกครองก็จะพักตำแหน่งนายไชยบูลย์ได้ มจร.เพิ่งตื่นกรณีธรรมกาย
ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) ออกแถลงการณ์การขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปกป้องพระธรรมปิฏก(ป.อ.ปยุตโต) ที่ถูกหนังสือพิมพ์ กระบอกเสียงธรรมกายใส่ร้ายป้ายสีรวมถึงทำหนังสือเฉพาะกิจออกมา และขอยืนยันความ ถูกต้องของหลักการนิพพานเป็นอนัตตา ดังที่อยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา เป็นความเห็นสอดคล้อง กับที่พระธรรมปิฎกเขียนไว้ในหนังสือ"กรณีธรรมกาย" ส่วนกรณีการดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ มหาวิทยาลัยเห็นด้วยให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง และกฎมหาเถรฯ