เดลินิวส์ 15/9/2542
2 ผู้ต้องหาอมทรัพย์ธรรมกายเชิดใส่ตร.
2 ผู้ต้องหาร่วมกระบวนการยักยออกทรัพย์วัดพระธรรมกายมอบตัวแล้ว ปฏิเสธให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวน ตำรวจพบเบาะแสสาวกสนิท พัวพันโอนเงินวัดไปทำธุรกิจเพียบ เตรียมออกหมายจับแล้วเร็วๆนี้ พร้อมส่งเรื่อง ให้สรรพากรตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ปลัดมหาดไทยระบุชัดไม่ต้องออกหมายเรียกได้ พวกน ี้เบี้ยว-ไม่ให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ออกหมายจับเลย ประชุมมsาเถรฯไม่พิจารณาคำร้อง 2 ผู้กล่าวโทษไชยบูลย์ โยนเรื่องให้"สมศักดิ์"คอมเมนท์ !! มาก่อน
ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 14 ก.ย. นายสนธยา โพธิแดง ทนายความของวัดพระธรรมกายได้นำตัวนายมัยฤทธิ์ ปตวณิชและนายเทิดชาติ สรนพรัตน์ 2 ผู้ต้องหา ที่ถูกพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายออกหมายจับ ในข้อหาร่วมกับสนับสนุนให้เจ้าพนักงาน กระทำความผิดและปลอมแปลงเอกสารมามอบต่อต่อพนักงานสอบสวน โดยได้เข้ามอบตัวกับพ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวส่องแสง ผกก.3ป.และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.1ป.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาได้มีการนำ 2 นายประกันคือ น.ส.พรทิพย์-น.ส.พรรณทิพย์ พิริยะโยธิน มายื่นขอประกันตัวในวงเงินคนละ 2 ล้านบาทด้วย หลังการประกันตัวนายมัยฤทธิ์กล่าวว่า ยังไม่เคยได้รับหมายเรียกตัวมาให้ปากคำในฐานะพยานแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ได้อยู่ที่วัดตลอดเวลา ส่วนนายเทิดชาตินั้นปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ โดยระบุว่าจะขอให้ปากคำในชั้นศาล และขอปฏิเสธว่าไม่ได้ปลอมแปลงเอกสาร
ต่อมาเวลา 10.45 น. พนักงานสอบสวนได้นำผู้ต้องหาทั้งสองมาพิมพ์ลายนิ้วมือและทำทะเบียนประ วัติจากนั้นจึงนำตัวไปสอบปากคำ โดยปรากฎว่านายมัยฤทธฺ์ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ไม่ยอมตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น ทั้งยังยอกย้อนคำถาม ของพนักงานสอบสวนด้วย ส่วนนายเทิดชาตินั้น เคนมาให้ปากคำกับพนักงานอสบสวน ในฐานะพยานแล้วครั้งหนึ่ง กับพ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ศิริสุรักษ์ สว.ฝ่ายปฏิบัติการที่1 ปปป. จึงนำมาอ่านคำให้การเดิมให้ฟังเท่านั้น อย่างไรก็ตามการสอบปากคำ ครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 6 ชั่วโมง จึงได้ให้ประกันตัว พร้อมทั้งนัดส่งตัวอัยการในวันที่ 23 ก.ย.ด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่านายมัยฤทธิ์นั้นได้ให้ปากคำกับพ.ต.อ.ทวีว่า ไม่มีอาชีพที่แน่นอน โดยจบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะเข้าไปประจำอยู่ที่วัดเคยอยู่ที่ร้านเภสัชกรรม ปราจีนบุรี ส่วนนายเทิดชาตินั้น มีรายชื่อ เป็นกรรมการบริษัทในคเรือวัดพระธรรมกาย ซึ่งกรรมการส่วนใหญ่เป็นคนนอกวัดที่ศรัทธานายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย แต่เมื่อใดที่กรรมการเหล่านี้มีใจเอนเอียงออกห่างก็จะถูกปลดออกในทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ นายเทิดชาตินั้นเป็นกรรมการบริษัท 20 กว่าแห่ง ซึ่งนายเทิดชาติเองก็ยอมรับแต่ปฏิเสธเรื่องชื่อบริษัทอ้างว่าจำไม่ได้
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวอีกกระแสหนึ่งระบุว่า พนักงานสอบสวนพบความไม่ชอบมาพากล ในการยักยอกเงินวัดไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย โดยมีสาวกคนสนิท ซึ่งเป็นฆราวาส ที่ออกหน้าแทนนายไชยบูลย์บ่อยๆ นำเงินของวัดไปลงสร้างคอนโดมีเนียมร่วมกับสีกา คนหนึ่งโดยให้วัดถือหุ้นด้วย และยังโอนเงินให้แก่สีกาอีกคนหนึ่งราว 73 ล้านบาท สั่งจ่ายโดยเช็คของวัด ทั้งนี้ถือว่าเป็นการทำผิดวัตถุประสงค์ ของการตั้งมูลนิธิเพื่อบำรุงวัดและสาธารณประโยชน์ แต่กลับนำเงินดังกล่าวมาลงทุนเพื่อผลกำไร
สำหรับ สาวกธรรมกายที่คาดว่าจะถูกพนักงานสอบสวนดำเนินคดีด้วยนั้นได้แก่ นายสอง วัชรศรีโรจน์ นายอนันต์ อัศวโภคิน นางกมลศิริ คลี่สุวรรณ เป็นต้น โดยเฉพาะนางกมลศิรินั้น ทำธุรกิจเพชรพลอยแต่ปรากฎว่ามีการโอนเงิน จากบัญชีวัดไปเข้าบัญชีนางกมลศิริด้วย ส่วนนายผ่อง เล่งอี้นั้นคาดว่าพนักงานสอบสวนก็คงเรียกมาดำเนินการด้วย โดยคาดว่าผู้ที่อยู่ในข่ายทั้ง 40 คนนั้น พนักงานสอบสวนจะส่งรายชื่อให้กรมสรรพากรตรวจสอบ ภาษีย้อนหลังเพื่อให้ดำเนิคดีทางกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนได้ประสานงานไปยังพ.ต.อ.พีระพันธุ์ เปรมภูติ ผอ.สถาบันตำรวจนานาชาติและพ.ต.อ.สีหนาถ ประยูรรัตน์ ผกก.อก.บก.2ปส. เพื่อขอความรู้เกี่ยวกับการฟอกเงินด้วยจะได้นำมาใช้ในคดีวัดพระธรรมกาย นอกจากนี้พนักงาน สอบสวนในคดีฉ้อโกงประชาชนยังขอให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการเช่าพระมหาสิริราชธาตุ โดยเชื่อว่าเป็นพระที่มีสรรพคุณตามที่ทางวัดพระธรรมกายโฆษณา สร้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้ ขอให้มาให้ข้อมูลกับทางพนักงานสอบสวนด้วย
ด้านพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐาะนหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนกล่าวว่า การสอบปากคำผู้ต้องหา 2 รายนี้คงต้องรอผลการตรวจสอบลายมือและลายชื่อก่อน แต่ในครั้งนี้ผู้ต้องหาก็ยอมรับในบางประเด็น โดยเฉพาะการลงนามที่เป็นลายเซ็นต์ ในเอกสารบางเรื่องว่าเป็นของเขาจริง แต่ขอให้รายละเอียดในชั้นศาล ผู้ต้องหาอ้างว่าที่ลงนามไปนั้นเป็นเพราะมีเจ้าหน้าที่ทำมาให้ แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ส่วนใหญ่ ที่ลงนามก็เป็นหนังสือมอบอำนาจแทบทั้งสิ้น รวมทั้งเอกสารการทำนิติกรรม โอนที่ดิน ซึ่งภายในสัปดาห์ นี้พนักงาน สอบสวน จะตรวจสอบเอกสารต่างๆเพื่อเตรียมออกหมายจับบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งพระและฆราวาส
"ในวันที่ 17 ก.ย.นี้พนักงานอัยการได้นัดประชุมร่วมกับพนักงานอสบสวนที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เวลา 9.00 น. เพื่อให้ พนักงานสอบสวน สรุปข้อเท็จจริง รายละเอียดของสำนวนคดีอีกครั้งเพื่อความสะดวก ในการตรวจสอบสำนวนคดีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น"
ที่กระทรวงมหาดไทย วันเดียวกัน นายชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พนักงานสอบสวน คดีวักพระธรรมกายระบุว่ามีผู้เกี่ยวข้องที่จะออกหมายจับอีก 40 คนว่า หากพนักงานสอบสวนขอนุมัติหมายจับมาไม่ว่า จะจำนวนเท่าใด ถ้ามีหลักฐาน ชัดเจนก็จะดำเนินการอนุมัติให้ออกหมายจับตามคำขอ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องออกหมายเรียก แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งก็ตามและบางคนก็เป็นพระ แต่มักจะพยาม บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวน จึงคิดว่าน่าจะออกเป็นหมายจับเลย อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็เป็นไปตามดุลยพินิจของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาด้วย
วันเดียวกัน ที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 14.00 น. ได้มีการประชุมมหาเถรสมาคม ดดยมีกรรมการ มหาเถรฯเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน หลังการประชุมนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาเปิดเผยว่า กรมการศาสนาได้นำรายงานการคัดค้านของนายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิท ธาเกี่ยวกับการยกเลิกคำกล่าวหานายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตตชีโว ให้ที่ประชุมมหาเถรฯรับทราบ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้รมว.ศึกษาธิการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาด้วย เพื่อประกอบการพิจารณาและให้นำเสนอที่ประชุมมหาเถรฯในครั้งต่อไป
ส่วนกรณีการรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเสนอต่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่ หนกลางนั้นยังไม่มีการนำเข้าที่ประชุม ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้ส่งรายงานดังกล่าวกลับไปให้พระพรหมโมลีพิจารณามาใหม่ โดยให้มีการปรับปรุงแก้ไขลำดับเหตุการณ์ให้เกิดความเข้าใจ แล้วค่อยนำเสนอกลับมาใหม่
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวระบุว่า ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการนั้น นายสมศักดิ์ได้ย้ายนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาไปเป็นรองปลัดกระทรวงฯ และให้นายไพบูลย์ เสียงก้อง รองปลัดกระทรวงฯ ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานในการแก้ไขกฎนิคหกรรมมาเป็นอธิบดีกรมการศาสนา