page4

เดลินิวส์ 10/9/2542

ฟ้อง'ไชยบูลย์'สำนวนถึงอัยการแจ้งข้อหาเพิ่ม ใช้ผู้อื่นปลอม
เอกสารที่ดิน 4 ต.ค.ฟังคำพิจารณา

ตะลึง!!!หลักฐาน ตำรวจส่งถึง อัยการฟ้อง"ไชยบูลย์"5,918 แผ่น แฉสิ้นไส้พระปลอมรวยจริงๆ นะจ๊ะ มีเงินฝาก 10 แบงก์ กระจายอยู่ถึง 61 บัญชี มีสิทธิขาดเบิกถอนคนเดียว แถมขนเงินไปฝากไฟแนนซ์อีก 4 แห่ง 1,783 ล้าน ยักย้ายถ่ายโอนซื้อเหมืองทอง เจอ 2 ข้อหาเดิมยักยอก ทรัพย์-ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ พร้อมเพิ่มข้อหาใหม่ 1 กระทง ฐานใช้ผู้อื่นกระทำผิดปลอมเอกสารที่ดิน ชลบุรีอัยการตั้งคณะใหญ่ 9 คน พิจารณา นัด 4 ต.ค. ฟังคำตัดสินส่งฟ้องศาลหรือไม่ "วาสนา" สั่งสอบต่ออีก 5 ประเด็น งานนี้เหงื่อตกอีกทยอยเล่นงานทีละคดี

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. เวลา 08.30 น. ที่วัดพระธรรมกาย ได้มีสาวกแกนนำขับรถยนต์ส่วนตัว ทยอยเดินทางมาในวัดพร้อมรถบัสขนาดใหญ่ 6 คัน เข้าไปจอดหน้า มูลนิธิธรรมกาย เพื่อ เตรียมพร้อมสำหรับการที่นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกายจะเดินทางมามอบตัวกับอัยการสูงสุด บริเวณหน้าวัดมีตำรวจ สภ.อ.คลองหลวง และตำรวจ ตชด. 30 นายรักษาความสงบอยู่

ต่อมา 09.00 น. นายแพทย์พรชัย ภิญญ พงษ์ หัวหน้าศูนย์พยาบาลมูลนิธิธรรมกาย ออกมาเดินแจกเอกสารหน้าวัดเกี่ยวกับ เหตุการณ์วันที่นายไชยบูลย์ไปมอบตัว และให้ปากคำกับตำรวจครั้งแรกที่วัดชนะสงคราม เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา รวมถึงแจกเอกสารอื่น ๆ

นายวีระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกายกล่าวว่าตนจะเป็นผู้นำคณะวัดไปศาลอาญากรุงเทพฯ และวันนี้ไม่มีการเรียกผู้นำบุญมารวมตัวเพราะเกรงว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย แต่จะไม่ไปที่กองปราบปรามเนื่องจากได้ตกลงกันแล้ว

ส่วนบรรยากาศบริเวณคลองแอน 2 และ 3 ที่เป็นประตูทางเข้าวัดได้มีรถบัส 2 คัน จอดเพื่อขนคนไปให้กำลังใจนายไชยบูลย์มีนายวีระศักดิ์คอยดูแล ขณะที่บริเวณสำนักงานใหญ่มูลนิธิธรรมกายมีนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ คอยจัดคนอีกจุด ปรากฏ ว่าได้มีรถบัสมาสมทบอีก 3 คัน ด้วยความหวังว่าจะมีคนมาก แต่ปรากฏว่าจนถึงเวลา 12.45 น. มีคนมาขึ้นรถบัสเพียง 2 คัน และมีรถตู้ 2 คัน รถเก๋ง 3 คัน และรถแวนอีก 1 คัน จอดรถเป็นขบวนท่ามกลางความหงอยเหงาและสีหน้าที่เป็นกังวลของสาวกผู้ศรัทธา

ระหว่างที่วัดพระธรรมกายเดินทางไปศาลอาญา นายหริ คดทอง แกนนำชาวบ้านที่เคยเกิดข้อพิพาทกับวัด ได้นำคณะเดินทางเกือบ 30 คนไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ อัยการสูงสุด ให้เร่งดำเนิน คดีกับนายไชยบูลย์�

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี ได้มีเอกสารเป็นหนังสือมอบอำนาจ ได้นำมาฝากครูโรงเรียนให้แจกกับผู้ปกครองเด็กนักเรียนช่วยลงนาม ซึ่งทำให้ผู้ปกครองสงสัยอย่างมากวาทำไมเอาเอกสารนี้มาแจก เพราะเป็นเอกสารสนับสนุนวัดพระธรรมกายในเรื่องการยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ และแพร่หลายไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีสาวกของวัดทำงานอยู่ รวมถึงที่ทำการอำเภอคลองหลวงก็มีการเกลี้ยกล่อมให้ข้าราชการร่วมลงนามด้วย

ส่วนที่กองปราบปราม ในช่วงเวลาเดียว กัน พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย ได้มีการประชุม หารือกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะนำสำนวนเสนอต่ออัยการ โดยสำนวนมีความหนาทั้งสิ้น 5,918 หน้า ในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.จุมพล มั่นหมาย ผช.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต. วิฑูรย์ ศิริภาคย์ ผช.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อชิระ สมแก้ว ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี เป็นต้น

จากนั้น พล.ต.ท.วาสนา เปิดเผยก่อนเดินทางต่อไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำเอกสารหลักฐานและสำนวนการฟ้องเสนอต่อพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร.ว่า ได้ตรวจทานสำนวนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสรุปว่าเสนอฟ้องเพียง 2 ข้อหาคือ ยักยอกทรัพย์กับเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานนั้นยังไม่มีพยานหลักฐาน เพียงพอ

เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.วาสนา เดินทางเข้ามาพบ พล.ต.อ.ประชา โดยนำเอกสารใบปะหน้าสำนวน 1 แผ่น มาเสนอให้ลงนามก่อนเสนอสำนวนคดีกล่าวโทษนายไชยบูลย์และพวกให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณา

พล.ต.ท.วาสนากล่าว อีกครั้งว่า สำนวนคดีดังกล่าวประกอบด้วยพยาน 100 กว่าปาก ส่วนใหญ่เป็นพยานแวดล้อม ส่วนพยานที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยตรงเป็นพยานเอกสาร จึงไม่ต้องกังวลว่าสำนวนจะไม่เป็นเอกภาพ เมื่อส่งสำนวนให้อัยการแล้วยังประเด็นต้องสอบสวนเพิ่มอีก 5-6 ประเด็น เกี่ยวกับการโอนเงินจากบัญชีชื่อวัดพระธรรมกายไปยังบัญชีบุคคลและนิติบุคคล หากนายไชยบูลย์เป็นผู้โอนและรับโอนก็อธิบายได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนใด แต่หากตอบไม่ชัดต้องพิจารณาว่าจะดำเนิน คดีหรือไม่ ผู้ที่จะอยู่ในข่ายถูกเรียกมาชี้แจงในฐานะผู้รับโอนเงินประกอบด้วยสีกาสนิท, นายสอง วัชรศรีโรจน์และคนแวดล้อมอีกหลายราย

เวลา 14.30 น. ทีมพนักงานสอบสวนคดีทุจริตวัดพระธรรมกายยกทีมเข้าพบ ผบ.ตร.เพื่อนำเสนอสำนวนโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้น พล.ต.อ.ประชาเปิดเผยว่า สำนวนที่เสนอเป็นสำนวนเดิม สำหรับผู้ต้องหาอีก 2 ราย ที่ออกหมายจับเพิ่มประกอบด้วยนายเทิดชาติ ศรีนพรัตน์และนายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิชนั้น ได้มีการรายงานว่าได้ติดต่อเพื่อขอเข้าพบในวันที่ 10 ก.ย.

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวอีกด้านที่สำคัญเกิดขึ้นที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดา ภิเษก โดยเวลา 13.30 น. นายไชยบูลย์,พระทัตต ชีโว, พระสมชาย ฐานะวุฒโฑ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแพร่ และนายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความ และนายเพทาย มณีไพโรจน์ เดินทางเข้าพบนายอำพล เหมคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งพนักงานสอบสวนบางส่วนเดินทางมาสมทบ และส่งมอบสำนวนการสอบสวนนายไชยบูลย์และนายถาวร ท่ามกลางสาวกผู้เลื่อมใสเดินทางมาสมทบเกือบ 400 คน

การเดินทางมาของนายไชยบูลย์นั้นมาโดยรถตู้หมายเลขทะเบียน 4643 สีบรอนซ์ทอง โดยมีบรรดา สาวกติดตามมาอีก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดปทุมธานีปิดท้ายขบวน เมื่อขบวนรถมาถึงนายไชยบูลย์และคณะได้เดินทางขึ้นไปยังชั้น 4 ของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยไปที่ห้องของนายอำพล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่รอพนักงานสอบสวนอยู่นั้น นายไชยบูลย์มีอาการกระสับกระส่าย กดดันพอสมควร สีหน้าเคร่งเครียด ต้องลุกเข้าห้องน้ำหลายครั้ง เมื่อพบกับกลุ่มสื่อมวลชนก็จะฝืนยิ้มและไม่ได้หลบหน้าผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด แต่ก็มีพระที่ติดตามมาคอยปิดบังช่วยเหลืออยู่ สร้างความวุ่นวายให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจพอสมควร อย่างไรก็ตาม นายเพทายได้นำหลักทรัพย์จำนวน 4 ล้านบาท มารอขอประกันผู้ต้องหาทั้ง 2 ด้วย

ต่อมาเวลา 14.45 น. พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนทั้งหมดไปมอบให้แก่นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ซึ่งนายวิเชียรได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตรวจทานและนับเอกสารทั้งหมดให้ถูกต้อง เวลา 15.30 น. พนักงาน สอบสวนชุดแรกนำโดย พ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผกก. 3 ป. พร้อมคณะ นำเอกสารมาสมทบและในเวลา 16.30 น.ได้มีการนำใบปะหน้าสำนวนการสอบสวนที่มีการลงนามโดย พล.ต.อ. ประชาก็ส่งถึงมืออัยการ

ข้อหาที่ตำรวจกล่าวโทษนายไชยบูลย์นั้นนอกจากการเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์, เป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ก็ยังเพิ่มข้อหาอีกใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งข้อหาหลังสุดเพิ่งแจ้งให้นายไชยบูลย์ทราบหลังจากได้สอบสวนพบว่านายเทิดชาติ ศรีนพรัตน์ สาวกคนสนิทไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี ในเรื่องการซื้อ-ขายที่ดิน 5 ไร่ ทั้งที่ ความจริงแล้วเจ้าของมอบให้เป็นสมบัติวัด ส่วนนายถาวรก็ถูกฟ้องในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด

เมื่อทราบข้อกล่าวหานายสนธยาแถลงต่อพนักงานอัยการว่า ผู้ต้องหา ขอปฏิเสธและขอประกันตัวไปสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งนายอำพลให้ประกัน ตัวไปใช้หลักทรัพย์คนละ 2 ล้านบาท

จากนั้น 17.30 น. นายไชยบูลย์เดินทางกลับ ท่ามกลางสาวกเรียงรายอยู่สองฝากทาง และเมื่อเห็นหน้านายไชยบูลย์ก็กระโดดกอดกันด้วยความดีใจพร้อมตะโกน "ชิตังเม" และติดตามไปส่งถึงวัดเป็นขบวนยาวเหยียดกว่า 20 คันรถ บริเวณหน้าวัดก็มีการตั้งแถวต้อนรับอย่างสงบ นายวิเชียรแถลงภายหลังว่า จะมีการตั้งคณะทำงานอัยการขึ้นพิจารณา 9 คน คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพราะต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ แม้จะรู้สึกหนักใจแต่ต้องทำให้ดีสุด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ศาสนาดีขึ้น ไม่ทำให้ศาสนาเสื่อมลง ในอดีตเคยยื่นฟ้องนายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ เจ้าอาวาสวัดสามพราน ฐานข่มขืนกระทำชำเรามาแล้ว ส่วนคดีนี้จะให้ผู้ต้องหามาฟังการสั่งคดีวันที่ 4 ต.ค. เวลา 13.30 น.

พล.ต.ท.วาสนาให้สัมภาษณ์อีกว่าในวันที่ 13 ก.ย.นี้จะมีการประชุมพนักงานสอบสวนเพื่อจัดสรรงานอีกครั้ง เพราะยังมีข้อหาอื่นยังไม่ยุติ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าสำนวน ที่พนักงานสอบสวนสรุปถึงอัยการระบุว่านายไชยบูลย์ ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ยักยอกทรัพย์ตามตามประ-มวลกฎหมายอาญามาตรา 147 นั้นก็คือพฤติกรรมที่ให้นายถาวร ไปเปิดบัญชีรอรับเงินโอนจากวัด และนายมัยฤทธิ์ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการโอนแล้วนำเงินไปซื้อที่ดินใส่ชื่อนายไชยบูลย์

ส่วนผู้ต้องหารายที่ 4 คือนายเทิดชาติได้ให้ น.ส.ลำดวน กรอกข้อความในใบมอบอำนาจโอนที่ดิน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่ผู้มอบที่ดินต้องการให้ดำเนินการ และใช้ใบมอบอำนาจ ดังกล่าวไปแสดงต่อ เจ้าหน้าที่ที่ดิน พร้อมให้ปากคำไม่ตรงกับความจริง การกระทำของ น.ส.ลำดวน และ น.ส.เอมอร ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินเสียหาย และนายเทิดชาติเข้าข่ายทำผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 137, 86, 264และ 267

ความผิดตามมาตรา 157 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบก็คือตั้งแต่ปี 2520 นาย ไชยบูลย์มีทรัพย์ถือครองคือที่ดินบริจาค, ที่ดิน ที่ใช้เงินบริจาคไปซื้อ, อาคารสถานที่, รถยนต์, ครุ ภัณฑ์, วัสดุภัณฑ์, เงินสด, สื่อและพระพุทธรูป แต่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ต้องใส่ชื่อ วัดอาทิ บัญชีเงินฝากที่ต้องเปิดบัญชีนามวัด และมีผู้มีอำนาจถอนเงินอย่างน้อย 3 คน คือนายไชยบูลย์ ไวยาวัจกร หรือผู้จัดการผลประโยชน์ แต่นายไชยบูลย์กลับเปิดบัญชีโดยให้ตัวเองมีอำนาจในการถอนเงิน คนเดียว

ธนาคารที่นายไชยบูลย์มีเงินฝาก มีมากมายถึง 10 ธนาคาร กระจายออกไป 15 สาขา รวม 61 บัญชี ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขารังสิต 6 บัญชี สาขาสุขาภิบาล 1 เปิด 4 บัญชี, ธนาคารทหารไทย สาขาธรรมศาสตร์ รังสิต 5 บัญชี, ธนาคารกรุงไทย สาขาคลองหลวง 3 บัญชี สาขารังสิต 6 บัญชี

ธนาคารกสิกรไทยสาขาคลองหลวง 3 บัญชี สาขารังสิต 1 บัญชี, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคลองหลวง 8 บัญชี สาขารังสิต 1 บัญชี, ธนาคารไทยทนุสาขารังสิต 4 บัญชี, ธนาคารนครหลวงไทย สาขาคลองหลวง 3 บัญชี, ธนาคารกรุงเทพ สาขาคลองหลวง 7 บัญชี สาขาหนอง แขม 7 บัญชี

ธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขารังสิต 1 บัญชี และธนาคารเอเชีย สาขาพิษณุโลก 2 บัญชี

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปิดบัญช ีในสถาบันการเงินโดยเฉพาะบริษัทไฟแนนซ์ไม่ได้ เสนอ ความเห็นชอบจากกรมการศาสนา เพราะเกรงว่าจะถูกตรวจสอบจำนวนเงินอีก 4 แห่ง วง เงิน 1,783 ล้านบาท คือบริษัทเงินทุนนิธิภัทร 210 ล้านบาท, บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล 555 ล้านบาท, บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ 470 ล้านบาท, บริษัทเงินทุนไทยธำรง 548 ล้านบาท

ตำรวจยังพบการโอนเงินให้นายถาวร ไปยังธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา ประตูช้างผือก จ.เชียง ใหม่ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2534 จำนวน 2 ครั้ง ๆ ละ 3 ล้านบาท, ใน วันที่ 18 มี.ค. 2534 จำนวน 2.5 ล้านบาท, วันที่ 30 พ.ค. 2534 อีก 3 ล้านบาท, วันที่ 21 พ.ค. 2534 จำนวน 1 ล้านบาท, วันที่ 13 มิ.ย. 2534 จำนวน 5 ล้านบาท และวันที่ 21 มิ.ย. 2534 จำนวน 5 ล้านบาท

นายถาวร เมื่อได้รับการโอนเงินก็ส่งต่อไปให้ นางสงบ ปัญญาตรง และนางสงบโอนให้นายชาญวิทย์ เปรมกมล เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. จำนวน 5 ล้านบาท, วันที่ 4 ก.ค. จำนวน 3 ล้านบาท และวันที่ 16 ก.ค. อีก 3 ล้านบาท เป็นค่าที่ดิน จ.พิจิตร.