เดลินิวส์ 4/9/2542
'มาณพ'สารภาพธรรมกายจ่ายสินบนจริง ตัวเองไม่ได้เอาแต่เมียเก่ารับ อ้างสะอาดทำเพื่อแผนดัดหลัง
ปฏิเสธไม่ออก"มาณพ"รับหน้าชื่นได้รับการติดต่อจากวัดพระธรรมกายจริง อ้างอดีตภรรยาหวงจะตลบหลัง ซ้อนแผน เลยให้โอนเงิน เข้าบัญชีพระครูรูปหนึ่ง ที่น่านแต่ไม่รับรู้ด้วยเป็นคนละคนกัน"สมศักดิ์"ชี้ชัดฟน ไม่เลี้ยงต้องกระชาก หน้ากากคนแสวงหาผลประโยชน์ ให้ได้ ปิดฉากยื่นเรื่องศาลรธน. วินิจฉัยรอนสิทธิแล้ว ประธาน รัฐสภายืนยันไม่เข้าข่าย ม.266 ส่ง เรื่องต่อไปไม่ได้ หลวงพ่อ ปัญญานันทภิกขุเตือนสติพระผู้ใหญ่อุ้ม"ไชยบูลย์" ทำเหมือนเด็กอมมือ ตำรวจระบุชัด 9 ก.ย. ปลาไหล"ไชยบูลย์" ไม่มารับทราบสำนวนเล่นงานนายประกันแน่
หลังจากที่นายสนธยา โพธิแดง ทนาย ความของ นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายได้ยื่นหนังสือ ถอนคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าวัดพระธรรมกายเข้าใจผิดคิดว่าวัดเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยองค์กรรัฐรอนสิทธิตามมาตรา 38 นั้น
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายบูราฮานูดิน อุเซ็ง เลขานุการประธานรัฐสภาเปิดเผยว่า ทีมงานที่ปรึกษาประธานรัฐสภาได้หารือกันแล้ว ถึงการเสนอเรื่องให้ ประธานรัฐสภายื่นหนังสือให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยองค์กรรัฐรอนสิทธิแล้วเห็นว่า ประธานรัฐสภาไม่มีหน้าที่ส่งเรื่องวัดพระ ธรรมกายให้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเนื่องจากในมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ให้องค์กรนั้นหรือประธานรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย แต่วัดพระธรรมกายไม่ถือเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภาจึงไม่มีหน้าที่ดำเนินการตามร้องขอ
"แค่ดูตามกฎหมายก็เห็นชัดแล้ว ไม่จำเป็นต้องหารืออะไรมาก ดังนั้นขั้นตอนต่อไปที่ทางวัดพระธรรมกายจะมีทางหายใจก็คือต้องฟ้องร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลยุติธรรมส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่ก็แล้วแต่ศาลยุติธรรมว่าจะรับเรื่องของวัดพระธรรมกายหรือไม่"
วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเทปการตกลงราคา ล้มคดีวัดพระธรรมกายระหว่างพระของวัดกับผู้บริหารระดับสูงของกรมการศาสนาออกมาตีแผ่ว่า เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการตามกฎหมายหากพบว่ามีหลักฐานจริง หากมีการ ประสานมาก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและกระชากหน้ากากคนที่ออกมาแสวงหาผลประโยชน์ให้ได้ ทั้งนี้ต้องมีการพิสูจน์และพิจารณาก่อนว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องจริง
ในส่วนของกระทรวงจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องดูข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน เพราะกระทรวงศึกษาไม่รู้ว่าเป็นใคร จะไปสอบสวนถูกคนได้อย่างไร แต่หากมีข้อมูลที่ชัดเจนและทางตำรวจมีการ ดำเนินคดีทางอาญา กระทรวงก็ต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยด้วยเช่นกัน แต่เวลานี้ขอยืนยัน ในความบริสุทธิ์ของข้าราชการกระทรวงศึกษาฯ และมั่นใจว่าข้าราชการทุกคนไม่มีเบื้องหลังเบื้องหน้า เว้นแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงออกมา แต่ที่มีการพูดกันว่าเป็นการดิสเครดิต ยังไม่กล้ามองเช่นนั้น
"เวลานี้กระทรวง คงยังไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่ระบุตัวตน ที่ชัดเจนว่าเป็นใคร ซึ่งข้าราชการ ระดับสูงของกรมการศาสนาเองก็มีตั้งเยอะตั้งแต่ผู้อำนวยการกองขึ้นไป จนถึงรองอธิบดีกรมและอธิบดีกรม เรื่องนี้หากเป็นเรื่องจริงผม คงไม่ปล่อยไว้แน่ ขอให้มั่นใจในความโปร่งใส"
นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบเรื่อง แต่โดยส่วนตัวไม่เคยติดต่อกับวัดพระธรรมกายเลย ส่วนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนั้น เวลานี้ยังเป็นเพียงข่าวยังไม่มีหลักฐานใดปรากฏ แต่หากมีการยื่นฟ้องขึ้นมีต้นเรื่องก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ด้านนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนากล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ขอยอมรับ ว่าได้รับการติดต่อจากวัดพระธรรมกาย โดยพระครูสุวรรณวชิรธรรม เจ้าอาวาสวัดสกุลปักษี จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อให้ช่วยเหลือวัดพระธรรมกาย แต่ก็ได้บอกกลับไปว่าไม่สามารถทำได้ จากนั้นก็ได้รับการติดต่อเช่นนี้อีกหลายครั้ง จึงได้บอกว่าจะให้ช่วยเหลือทางวัดจะต้องปฏิบัติตามคำสั่ง รับสารภาพความผิด โทษหนักจะได้เป็นเบา เพราะความผิดของวัดพระธรรมกายนั้นชัดเจน ส่วนกรณีที่ทางวัดพระธรรมกายติดต่อไปยังนางจารุวรรณ ซึ่งเป็นภรรยาเก่านั้นคงคิดว่ายังเป็นสามีภรรยากันอยู่และอาจจะเกลี้ยกล่อมให้ได้มากกว่า
"ก่อนหน้าที่จะมีข่าวเกิดขึ้นทางวัดพระธรรมกายเคยปล่อยข่าวว่าผมรับเงินมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ไปสอบถามนางจารุวรรณ จึงทราบว่าทางวัดส่งผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ป้อม โทรศัพท์ติดต่อนางจารุวรรณให้ช่วยพูดเรื่องนี้กับผม พร้อมกับเสนอเงินให้ก้อนหนึ่งซึ่งนางจารุวรรณก็นำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษากับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้รับคำแนะนำว่าให้ย้อนแผนวัดพระธรรมกาย โดยทำทีให้วัดพระธรรมกายโอนเงินเข้ามา เพื่อที่จะนำไปเป็นหลักฐานเล่นงานวัดทีหลัง"
นายมาณพยืนยันว่า ทำงานที่กรมการศาสนามากว่า 30 ปีไม่เคยเรียกรับเงินใคร ไม่เคยให้ใครโอนเงินเข้าบัญชี ส่วนที่ไปติดต่อนางจารุวรรณนั้นก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เพราะรู้อยู่แล้วว่าวัดนี้ให้เงินใครก็ต้องกลับมาแบล็กเมล์ในภายหลัง ไม่ทราบว่าผู้หญิงชื่อป้อมติดต่อกับนางจารุวรรณอย่างไร ขณะนี้ทราบแล้วว่าพระครูสุวรรณวชิรธรรมหักหลัง โดยโทรมาหาพร้อมทั้งขอให้ช่วยเหลือวัดพระธรรมกายและอัดเทปเอาไว้เพื่อแบล็กเมล์
ด้านนางจารุวรรณกล่าวว่า ได้รับการติดต่อ จากวัดพระธรรมกายเมื่อหลายเดือนก่อน ขณะนั้นอยู่ระหว่างที่นายมาณพกำลังยื่นกล่าวหาวัดพระธรรมกาย ซึ่งคนที่ชื่อป้อมได้โทรมาหลายครั้ง พร้อมบอกว่าได้รับคำแนะนำจากพระครูสุวรรณวชิรธรรม ซึ่งระหว่างการพูดคุยกันนั้นถูกข่มขู่ตลอดเช่น หากใครมีเรื่องกับวัดพระธรรมกายจะไม่ได้ผุดได้เกิด ต้องเดือดร้อน แต่หากทำดีกับวัดพระธรรมกายจะได้ดิบได้ดี ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นได้เล่าให้นายมาณพฟังโดยตลอดหลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็ติดต่อกลับมาอีก โดยที่ไม่ทราบว่ามีการแอบบันทึกเทปการสนทนาเอาไว้
"หลังจากที่ดิฉันนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่แล้วก็ได้รับคำแนะนำว่า ให้วัดพระธรรมกายโอนเงินเข้าบัญชีพระรูปหนึ่งที่จังหวัดน่าน เพื่อนำเป็นหลักฐานเปิดเผยให้ประชาชนรู้ว่าวัดพระธรรมกายมีวิธีการสกปรกอย่างไร คิดว่าหากนำเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผยในตอนแรกคงไม่แปลกนัก แต่เมื่อนำมาเปิดเผยตอนนี้คิดว่าเป็นการดิสเครดิตนายมาณพมากกว่า"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดพระธรรมกายได้เปิดเผยถึงเทปการสนทนาระหว่างพระรูปหนึ่งที่จังหวัดน่าน ที่อ้างว่าสนิทสนมกับนางจารุวรรณ เป็นพี่เป็นพ่อเป็นเจ้าชีวิต กับพระครูตัวแทนวัดพระธรรมกายและผู้หญิงที่ชื่อป้อม เกี่ยวกับเรื่องการโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อวิ่งเต้นล้มคดีนายไชยบูลย์ โดยมีใจความบางส่วนพอสรุปได้ว่า
พระครูวัดพระธรรมกาย : ท่านพระคร ูจะเปิดบัญชีใช่ไหม เดี๋ยวนี้มัน จดกันมั่วอย่างว่าแหละ ไหนลองบอกใหม่ซิ พระจ.น่าน : โอ.เค.456 พระครูวัดพระธรรมกายทวนกลับว่า 456 พระ จ.น่าน จึงบอกว่า ธนาคาร กสิกรไทย พระครูวัดพระธรรมกายถามว่า สาขาไหนครับ พระ จ.น่านบอกว่า เชียงกลาง พระครูวัดพระธรรมกายถามว่า ครับ ชื่อบัญชีอะไร พระ จ.น่านบอกว่า วัด..... พระครูวัดพระธรรมกายบอกว่า อ๋อ ชื่อวัดหรือ พระ จ.น่าน กล่าวว่า ใช้ชื่อวัดแล้วก็โดยผม
พระครูวัดพระธรรมกายกล่าวว่า แล้วยังไงคือผมโอนให้ท่านพระครู และพระครูโอนให้จารุวรรณใช่ไหมพระ จ.น่าน บอกว่าครับผม พระครูวัดพระธรรมกายกล่าวว่า พระครู รับ ประกันหรือเปล่า พระจ.น่านกล่าวว่า พระคร ูจะให้ผม รับประกันแบบไหนน่ะ พระครูวัดพระ ธรรมกายบอกว่า เขากลัวว่าจะไม่ถึงเขาอยากได้หลักฐานจะได้ไหม พระ จ.น่าน ถ้าโอ.เค.ชื่อผมก็โอ.เค.ตามนี้น่ะ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อหรอก ผมบอกแล้วเป็นทั้งพี่ทั้งพ่อ เป็นเจ้าชีวิตเขาอย่างไรก็ได้
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยในส่วนที่พระ จ.น่าน พูดคุยกับผู้หญิงที่ชื่อ"ป้อม" ด้วย ผู้หญิงชื่อ"ป้อม" บอกว่า เพราะว่าคืออย่างนี้ เออ...คุณจารุวรรณกับคุณ....บอกว่าให้ทางลูกศิษย์วัด เราน่ะนะคะลูกศิษย์หลวงพ่อธัมมะให้โอนเงินให้ 1.5 ล้านบาท ทีนี้เขาให้หนูคุยกับท่านพระครูด้วย รอจนค่ำนี่แหละค่ะ ถึงได้พูดคุย พระ จ.น่านกล่าวว่า ก็ติดต่อยากน่ะ ตกลงเรื่องนี้ก็ตามที่คุณจารุวรรณนั้นติดต่ออย่างไรก็คงตามนั้น ผู้หญิงชื่อ"ป้อม" บอกว่า เหรอคะ แล้วหลวงพ่อจะต้องโอนเงินจำนวนนี้ให้คุณจารุวรรณอีกทอดหนึ่งใชไหมคะ พระ จ.น่านกล่าวว่า ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
การสนทนาระหว่างพระ จ.น่านกับผู้หญิงชื่อ"ป้อม" นั้นยังมีการพูดคุย ถึงประวัติของนางจารุวรรณด้วยว่าสกุลเดิมคืออะไร เป็นสามีภรรยากับคุณ...ใช่ไหม กระทั่งช่วงสุดท้าย ผู้หญิงชื่อ"ป้อม"บอกว่า จังหวัดน่านนะคะ เพราะว่าถ้าโอนแล้วไม่บอกจังหวัดนี่ มันก็ไม่เข้านะคะ เงินนี่คืองี้ค่ะ คุณจารุวรรณเรียนท่านพระครูหรือยังคะว่าคล้าย ๆ ให้หนูนี่เก็บเงิน บัญชีที่โอนไว้ หลักฐานการโอนไว้ให้คุณจารุวรรณอีกทีหนึ่ง บอกไว้ใช่ไหมคะ ก็เดี๋ยวพอหนูโอนให้ท่านพระครูแล้ว หลักฐานอันนี้ให้คุณจารุวรรณกับคุณ....นะคะ เพื่อแสดงว่าลูกศิษย์วัดพระธรรมกายได้โอนเงินตามที่ขอมาว่าเท่านี้ แล้วเดี๋ยว มันก็จะตรงกันใช่ไหมคะ แล้วส่วนท่านพระครูจะให้โอนเข้าวันไหน เราจะทราบไหมคะ พระ จ.น่านบอกว่า ก็แล้วแต่ ถ้าโอนเข้าปุ๊บ อาตมาคงจะแจ้งทันทีเลยนะ
พระธรรมโกศาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์กล่าวถึงกรณีนายไชยบูลย์ไม่ยอมเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนว่า ถ้ายอมรับว่าตัวเองผิดก็จะดีขึ้น ถ้าเป็นอาตมาหากเชิญมาก็จะไปพบ ไม่ต้องมีพรรคพวกจะเดินเข้าไปคนเดียวอย่างสง่าผ่าเผย จะสอบสวนเรื่องใดก็สอบได้ทันที จะแสดงความกล้าหาญออกมา อย่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ส่วนกรณีที่มีพระผู้ใหญ่หนุนหลังนั้น พระผู้ใหญ่ที่ แบกมันไม่ใช่ผู้ใหญ่ เป็นเด็กอมมือถึงเป็นแบกให้กับคนที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งหากเห็นแก่ลาภสักการะจึงได้ปกป้องยิ่งทำไม่ถูก พระผู้ใหญ่ต้อง ยุติธรรมไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร ต้องตรงไปตรงมา ไม่ใช่วันนี้อย่างพรุ่งนี้อย่าง เลอะเทอะเป็นไม้หลักปักขี้ควาย เสียภาพพจน์ตัวเองไปด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นอาตมาไม่หนักใจ ไม่มีใครทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ พุทธศาสนายังมั่นคงแข็งแรง คนที่ทำลายจะเดือดร้อนเอง
หลวงพ่อ ปัญญากล่าวอีกว่า ประชาชนเองก็ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง แต่ชาวพุทธไทยขอพูดเถอะว่ามีคนปัญญาอ่อนมาก เพราะพระไม่เคยสอนให้คนฉลาด มีสติปัญญา ชอบทำอะไรให้คนหลงผิดเข้าใจผิด
"ผู้ที่สอนคนให้งมงายมันผิดหลักพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาสอนให้เปิดหู เปิดตา เปิดใจ ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี พระพุทธเจ้าไม่มีกลอุบายหลอกใครให้เชื่อ แต่ชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรควรไม่ควร แต่เดี๋ยวนี้มีแต่กลอุบาย หลอกกัน"
ส่วนที่กองปราบปราม วันเดียวกัน มีรายงานข่าวแจ้งว่า หากในวันที่ 9 ก.ย. นี้ สำนวนคดีนายไชยบูลย์เสร็จสิ้นทั้งหมด พนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมเสนออัยการเฉพาะคดีที่ได้แจ้งข้อหาไปแล้วคือ ยักยอกทรัพย์ เป็นเจ้าพนัก-งานละเว้นปฏิบัติหน้าที่และแจ้งความเท็จ ส่วนคดีอื่นๆจะยังคงสอบสวนต่อไป นอก จากนี้พนักงานสอบสวนจะทำหนังสือขอข้อมูลจากกรมที่ดินและกรมป่าไม้เกี่ยวกับเรื่องการขอสัมปทาน การเช่าพื้นที่ป่าสงวนของวัด บริษัทและสำนักสงฆ์ที่มีส่วนเกี่ยวพันในเครือวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะที่บ้านบ่อหลวง อ.ฮอด เชียงใหม่ และ เขตอุทยานสวนพฤกษชาติพุแค อุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.สระบุรีด้วย โดยคาดว่าจะได้รับข้อมูลในราววันที่ 6 ก.ย.นี้
ในเรื่องของสำนวนคดีนั้น ในวันที่ 9 ก.ย. นายไชยบูลย์จะต้องเดินทางมารับทราบสำนวนฟ้องด้วยตนเอง รวมทั้งนายถาวร พรหมถาวร คนสนิทที่เป็นผู้ติดต่อซื้อที่ดินที่พิจิตรและเพชรบูรณ์ และนายเพทาย มณีไพโรจน์ นาย ประกันด้วย หากว่าไม่มา พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายเคยบอกแล้วว่า นายประกันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปยังบ้านของสีกาผู้หนึ่งที่ถูกระบุว่ามีความสนิทสนมกับนายไชยบูลย์ เพื่อค้นหา หลักฐานเนื่องจากมีการแจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าวนี้มีเครื่องคอมพิวเตอร์และเอกสาร ของวัดพระธรรมกายอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะมีหลักฐานสำคัญปะปนอยู่ด้วย แต่เมื่อพนักงานสอบสวนเดินทางไปถึงบ้านหลังดังกล่าวกลับไม่มีใครอยู่ในบ้าน ทำให้ตำรวจได้แต่เฝ้าหน้าบ้านไว้ โดยระหว่างที่รายงานข่าวคือเมื่อเวลา 20.30 น. ก็ยังไม่มีเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวกลับมาแม้แต่คนเดียว สอบถามข้างบ้านคือ น.อ.อมร สุวรรณบุปผา แกนนำกลุ่มอภิรักษ์จักรีกล่าวว่า ไม่ทราบว่าเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายหรือไม่ ทราบเพียงว่าเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหา วิทยาลัยเกษตรศาสตร์เท่านั้น.
ต่อมาวันเดียวกัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 124/125 ซอยเติมบุญ ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย ซึ่งเป็นบ้านของนางอรสา สุขสว่าง อายุ 45 ปี เป็นกรรมการของมูลนิธิวัดธรรมกายและเป็นคนสนิทของ"ไชยบูลย์" แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าทำการตรวจค้นได้ เนื่องจากนางอรสาไม่อยู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องรออยู่หน้าบ้าน
จนกระทั่งเวลา 20.45 น. นางอรสา สุขสว่าง ได้นั่งรถเก๋งโอเปิลสีเทา หมายเลขทะเบียน 6ฐ-2870 กรุงเทพมหานคร เข้ามาโดยมีนายบรรพต สุขสว่าง อายุ 55 ปี สามีเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวเข้ามา พ.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร สว.ผ.5 กก.3ป.พร้อมกับพวกถือหมายศาลอาญารัชดา เลขที่ 573/42 ลงวันที่ 3 ก.ย. เข้าไปแสดงให้ดูเพื่อทำการตรวจค้น แต่นางอรสากลับไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าค้น โดยอ้างว่าเป็นเวลากลางคืนจึงไม่มีสิทธิที่จะเข้าค้น ทาง พ.ต.ท.สุรพล ได้แสดงหมายให้ดูว่าทางศาลระบุเวลาที่จะเข้าตรวจค้นได้ถึง 24.00 น.ของวันนี้ นางอรสาจึงยินยอมให้เข้ามาในบ้าน แต่อ้างว่าในหมายค้นระบุว่าให้เจ้า หน้าที่เพียง 3 นายเท่านั้นที่จะเข้าค้น จึงขอค้นตัวของเจ้าหน้าที่ทั้งสามนายที่จะเข้าไปในบ้านก่อน ทำให้ พ.ต.ท.สุรพล พร้อมกับนายตำรวจที่จะเข้าไปต้องยินยอม ให้นางอรสาตรวจค้นตัวก่อนที่เข้าค้นในบ้านหลังดังกล่าว ส่วนตำรวจที่เหลือยังคงจับกลุ่มรออยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังคงตรวจค้นอยู่ภายในบ้าน.