เดลินิวส์ 31/8/2542
ตร.บุกธรรมกายสะเดาะเซฟหลักฐานดูดทรัพย์
ตำรวจกองปราบฯ ยกพล กว่า 150 บุกค้นวัดพระธรรมกาย เจอกฎเหล็กสาวก เข้าเขตสังฆวาสได้แค่ 20 นาย ประกาศก้องมีสิทธิ์ถอนถอนประกันปลาไหล"ไชยบูลย์"ฐานให้สาวกขัดขวาง เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หลังตำรวจระ ดมพลกว่า 150 นายบุก เจอสารพัดเล่ห์วิชามาร กีดกันพนักงานสอบสวนเข้าวัด ส่งพระเณรประกบทุกฝีก้าว ไฟฟ้าดับตรวจสอบรายการในเครื่องคอมฯไม่ได้ ท้ายสุดยังแกล้งไม่มีกุญแจเปิดตู้เซฟต้องเรียกช่างกุญแจเข้าไปช่วย "พล.ต.ท.วาสนา" ปลื้มผลการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ได้เอกสารทางบัญชีเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี สอบปากคำเครียด"ทัตตชีโว-พระปลัดสุธรรม" ส่วนพระปลอมอ้างป่วยไม่ให้ปากคำ
ที่บช.น. เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญว่า กระทรวงศึกษาธิการ คงไม่เข้าไปตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะเป็นสิทธิที่สามารถจะกระทำได้ การล่ารายชื่อ 5 หมื่นคน ทำได้ เพราะทุกอย่างมันเป็นกระบวนการ ผู้ตัดสินจะใช้วิจารณญาณว่าข้อกล่าวหากับการปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไร คงต้องรอให้วัดพระธรรมกายหารายชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อก่อน ต่อจากนั้นก็ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เมื่อมีคำพิพากษาใดออกมาก็จะดำเนินการตามนั้น
เลิกเป็นเสือกระดาษ
นายสมศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงศึกษาฯไม่เคยมีการห้ามใครหรือลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเข้าไปในวัด ทุกอย่างได้ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาไม่เคยปิดกั้นโอกาสใคร ไม่เคยคิดว่าวัดพระธรรมกายเป็นศัตรูของกระทรวงศึกษาฯหรือเป็นสัตรูกับพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าแยากจะให้วัดพระธรรมกายมาพิสูจน์ตัวเอง จากข้อกล่าวหาข้อเคลือบแคลงของสังคมที่มีอยู่ รัฐธรรมนูญใหม่ไม่ปิดกั้นโอกาสและสิทธิเสรีภาพของประชาชนแม้แต่น้อย
"ในส่วนของพระดูดทรัพย์หรือพระมหาสิริราชธาตุนั้น ได้มีการทำรายงาน เสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว มีการวิเคราะห์คำโฆษณาทั้งหมดของวัดพระธรรมกาย ให้แล้วซึ่งเข้าข่าย หลอกลวงประชาชน กระ ทรวงศึกษาฯ อาจจะเคยเป็นเสือกระดาษมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ต้องไม่ใช่แล้ว ผมมานั่งสั่งการทุกอย่างต้องขับเคลื่อนให้เร็ว ทันกระแสสังคม"
เตรียมสังคายนากม.สงฆ์
นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาฯกล่าวถึงกรณีที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานวุฒิสภา ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนานั้น เรื่องนี้ยังไม่ทราบ แต่เท่าที่ทราบได้มีพระเถระผู้ใหญ่หลายรูปไม่ชอบร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเช่นกัน แต่ขณะนี้ยังไม่อยากพูดอะไรมากเพราะ ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม อาจจะกลายเป็นเรื่องของการเมืองก็ได้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาฯอาจจะมีการสังคายนาพ.ร.บ.คณะสงฆ์ โดยจะดูในรายละเอียดเชิญหลายๆฝ่ายมาหารือร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นกฎหมายของใคร
ด้านนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า การประชุมมหาเถรสมาคมนัดหน้าจะมีการนำกรณีวัดพระธรรมกาย เข้าไปรายงานหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นขั้นตอนของเจ้าคณะปกครอง ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรธน.
ด้านนายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความของวัดพระธรรมกายกล่าวว่า เป็นต้นคิด ในการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสิทธิในการนับถือศาสนาของญาติโยมของวัด ว่าตรง กับศาสนบัญญัติของศาสนาพุทธหรือไม่ จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงจะมีการวินิจฉัยว่าวัดพระธรรมกาย ตลอดจนญาติโยมถูกหน่วยงาน ต่างๆของรัฐละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 38 หรือไม่ หากศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการละเมิด ญาติโยมวัดทั้งหมดจะเป็นผู้เสียหายทันที และสามารถยื่นฟ้องร้องต่อศาลโลกได้
ส่วนคดีที่เจ้าสำนักธรรมกายยื่นฟ้องต่อกระทรวงศึกษาฯจะถอนฟ้อง ต่อไปจะให้ลูกศิษย์วัดฟ้องร้องแทน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตีความเสร็จ ส่วนการที่ผู้มอบ อำนาจได้ขอให้ตัวแทนคือนายผ่อง เล่งอี้ ร้องเรียนต่อการละเมิดสิทธิของหน่วยงานต่างๆ ก็เช่นการที่กรมการศาสนาอ้างเรื่องอวดอุตริมนุสธรรม เพื่อให้มีอำนาจ เข้าไปวินิจฉัยชี้ถูกชี้ผิด อยากถามคนเหล่านี้ถือศีลกี่ข้อ และกระบวนการ ต้องเป็นไปตามกฎคือคณะสงฆ์ ไม่ใช่กรมการศาสนา เอามติมหาเถรฯมาล้วงลูกกิจกรรมของวัด สำหรับการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแม้เป็นหน้าที่ แต่ทำไปเพราะกรมการศาสนาแจ้งความ เมื่อกรมล่วงแล้วแล้วพนักงานสอบสวนปฏิบัติตาม ทุกอย่างต้องถือว่าเป็นโมฆะ
"หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยหรือตีความว่าไม่มีการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของญาติโยมวัดเรา เราจะหยุด การร้องขอหรือ อาจจะแยกตัวออกไปเป็นลัทธิใหม่ซึ่งเรื่องนี้ เราตกลงกันแล้วว่าเป็นเป้าหมายในอนาคต และต้องมีการสึกไปตั้งนิกาจใหม่ ก็คงต้องยอมรับ เพราะที่ผ่านมาต้องการ ให้ธรรมกายแยกลัทธิอยู่ตลอด ส่วนรายชื่อทั้งหมด ที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญมีญาติโยมร่วมกับลงชื่อยังไม่สามารถนับได้ แต่กำหนดไว้ในวันที่ 31 ส.ค.จะส่งตัวแทนไปยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาจากนั้นเวลา 14.00 น.จะแถลงข่าว
ลุยสอบ"พรหมโมลี"ผิดม.157
ในเวลาเดียวกันที่กองปราบปราม พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย โดยพ.ต.ท.ศุภพล อรุณสิทธิ์ รองผกก.3ป. ได้เรียกตัว พยานที่ร่วมลงชื่อแสดงเจตนาว่า บริจาคที่ดินให้กับนายไชยบูลย์เป็นการส่วนตัว และได้นำรายชื่อเสนอต่อพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ประกอบด้วยนางสิริพร บินสมประสงค์ ซึ่งระบุว่าบริจาคเงินให้นายไชยบูลย์จำนวน 1 ล้านบาท นางวิรงรอง จันทร์วินิจ บริจาคเงิน 3 แสนบาท นางปนัดดา ฐาวร บริจาค 1 แสนบาท นางวารุณี ศรีลาปัง บริจาค 1 แสนบาท โดยพยานทั้งหมดระบุว่าได้รวบรวมเงินนี้ให้นายผ่อง เล่งอี้ คนสนิทนายไชยบูลย์เพื่อนำเงินไปซื้อที่ดินที่จังหวัดเพชรบูรณ์มาให้การแก่พนักงานสอบสวน
ต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกันนายประจิณ ฐานังกูร พร้อมคณะ ได้เดินทางมาให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนอีกครั้ง หลังจากที่ฟ้องร้องให้ดำเนินคดีอาญากับพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พระราชปริยัติบดี รองเจ้าคณะภาค 1 และพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้เดินทางเข้าพบพ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รองผบก.ป. เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว โดยนายประจิณกล่าวว่า การที่รองเจ้าคณะภาค 1 ระบุว่าตำรวจ ไม่สามารถเอาผิดต่อกรณีนี้ได้นั้น รองเจ้าคณะภาค 1 ต้องไม่ลืมว่ามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หากละเว้น ปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องมีความผิดตามกม.เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานอื่นๆ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำพระปริยัติวโรปการ พระเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดด้วย
ส่งคดีให้"วาสนา"คุมเพิ่ม
พ.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม รองผกก.3ป.กล่าวถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีอาญากับศาลทางสงฆ์ได้แน่นอน หากมีการสอบสวนพบความผิดตามกฎหมายสงฆ์ อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนจะต้องดูข้อเท็จจริงด้วย แต่ก็ต้องเรียกพยานมาสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนพระปริยัติวโรปการที่ต้องถูกเรียกมาสอบด้วย เพราะเป็นผู้อ่านคำสั่งไม่รับฟ้องของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
ในวันเดียวกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีที่พ.ต.อ.บรรจบ สุดใจ อดีตผกก.สน.ท่าข้าม ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ พระเผด็จ ทัตตชีโวและพระปลัดสุธรรม สุธัมโม ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนว่า จากที่ได้มีการประชุมกันที่กองปราบปรามฯ ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า ข้อหาของ พ.ต.อ.บรรจบนั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. เป็นหัวหน้าคณะสอบสวนดำเนินการอยู่
"เพื่อไม่ให้กระจัดกระจาย จึงได้มีการสั่งการให้พิจารณาเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะได้มีการแจ้งความไว้แล้วที่กองปราบฯ โดยให้โอนคดีดังกล่าวนี้มาอยู่ในความรับผิดชอบของพล.ต.ท.วาสนา เพื่อให้ทิศทางการสอบสวนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเพื่อไม่ให้เกิดการกระจัดกระจายของข้อมูล
ฉ้อโกงสรุป 2 ก.ย.ไม่ทัน
ต่อข้อถามที่ว่า จะสามารถตั้งข้อหาเพิ่มเติมได้หรือไม่นั้น รองผบ.ตร.กล่าวว่า เมื่อมีการแจ้งความ ก็ต้องทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆพอที่จะมีมูลในการตั้งข้อกล่าวหาหรือไม่ ถ้ามีมูลก็ดำเนินคดีต่อไป เพราะเป็นขั้นตอน ในการดำเนินการของกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่มีประชาชนจำนวนมากถูกหลอกลวงจะสามารถรวมเป็นคดีเดียวนั้น ขึ้นอยู่กับว่าหลักฐานข้อมูลเป็นอย่างไร ขณะนี้ต้องให้พนักงานสอบสวนทำงานก่อน แต่จะสรุปทันวันที่ 2 ก.ย.นี้หรือไม่ ยังไม่ทราบแต่พนักงานสอบสวนกำลังเร่งทำกันอยู่
สำหรับเรื่องคำสอนนั้น ทางพนักงานสอบสวนคงจะไม่เข้าไปยุ่งในรายละเอียด แต่ถ้ามีอะไรเข้าข่ายในการกระทำผิดของกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ดำเนินการไปตามข้อกฎหมาย
ตำรวจ150นายบุกค้นวัดฉาว
ส่วนที่สภ.อ.คลองหลวง ปทุมธานี พล.ต.ต.อชิระ สมแก้ว ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี ได้ระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจและชุดคุมฝูงชน จากสถานีตำรวจภูธรต่างๆกว่า 150 นายมารวมพลที่สภ.อ.คลองหลวง กระทั่งเวลา 13.00 น. นายตำรวจชุดสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายอาทิ พล.ต.ท.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.วาสนา พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัติ ผช.ผบช.สง.ก.ตร. พล.ต.ต.จุมพล มั่นหมาย ผช.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อชิระ พ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รองผบก.ภ.จ.ปทุมฯ พ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข ผกก.สภ.อ.คลองหลวง พ.ต.ท.นันทชาติ ศุภมงคล รองผกก.สส.สภ.อ.คลองหลวง ได้ประชุมวางแผนการตรวจค้นและเพื่อจัดวางกำลังในการตรวจค้น โดยแบ่งออกเป็น 16 ชุด และเข้าตรวจจุดต่างๆทั้งสิ้น 10 จุด
ต่อมาเวลา 14.00 น. พนักงานสอบสวนและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พร้อมกำลังได้เดินทางไปที่วัดพระธรรมกาย เพื่อตรวจค้น เอกสารข้อมูลพยานหลักฐาน โดยมีสื่อมวลชนที่สนใจติดตามข่าวนี้ตามไปข่าวรวมทั้งหมดกว่า 30 คัน เมื่อขบวนเดินทางมาถึงบริเวณประตูทางเข้าวัด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้หยุดขบวนรถ ไว้ที่บริเวณดังกล่าว พร้อมตรวจสอบบุคคลที่อยู่ในรถทุกคัน ที่สุดก้อนุญาตให้พนักงานสอบสวน และคณะของ กรมการศาสนาเข้าไปในเขตสังฆาวาสได้จำนวนทั้งสิ้น 20 คนเท่านั้น โดยห้ามสื่อมวลชนทั้งหมดเข้าไปติดตามข่าว แจ้งเพียงว่าจะมีการแถลงการณ์เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า ภายหลังจากตำรวจได้เข้าตรวจค้นวัดประมาณ 10 นาที พระภิกษุสามเณรประมาณ 700 รูป และสาวกวัดพระธรรมกายประมาณ 200 คนที่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังพระอุโบสถได้ถูกเจ้าหน้าที่วัด กณฑ์ให้เคลื่อนย้าย มาที่บริเวณมูลนิธิธรรมกายอย่างเร่งด่วน สามเณรรูปหนึ่งกล่าวว่า กำลังนั่งฟังเทศน์อยู่ ก็ถูกสั่งให้ หยุดทันทีและให้ไปที่มูลนิธิเพราะมีตำรวจเข้าตรวจค้น เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนที่ตำรวจจะเข้าค้นมีรถบรรทุก 10 ล้อของทางวัด คันหนึ่งขับออกจากวัดไปอย่างรวดเร็วโดยมีผ้าใบคลุมอย่างมิดชิด ซึ่งทางตำรวจได้ตามไปตรวจสอบแต่ไม่สามารถตามทัน
"ไชยบูลย์"อ้างป่วยงดสอบ
กว่า 30 นาทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเข้าตรวจค้นภายในวัดต้องรอคอยการอนุญาตให้เข้าไปในวัด กระทั่งพระทัตตชีโวได้ออกมาพบ กับพนักงานสอบสวนและได้พูดคุยหารือนานกว่า 15 นาที ขบวนของพนักงานสอบสวนจึงสามารถเข้าไปได้ จากนั้นกำลัง ของพนักงานสอบสวนก็แยกย้ายกันไปตรวจค้นตามจุดต่างๆ โดยแต่ละจุดนั้นจะมีเจ้าหน้าที่และพระชั้นในเดินประกบชุดละ 4-5 คนโดยตลอด ยกเว้นจุดที่สำคัญจะมีพระแกนนำวัดคอยคุมเข้มเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.วาสนา ได้เดินทางไปยังกุฏิที่พักของนายไชยบูลย์เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม แต่เมื่อไปถึงปรากฎว่านายไชยบูลย์นอนป่วยอยู่บนเตียง โดยมีการให้น้ำเกลือ จากการสอบถามแพทย์ประจำตัวได้รับแต้งว่า นายไชยบูลย์มีอาการท้องเสียและโรคเบาหวานกำเริบ พล.ต.ท.วาสนาจึงงดการสอบปากคำ และออกมาตรวจตามจุดต่างๆที่พนักงานอสบสวนเจ้าตรวจค้น
ไฟฟ้าเป็นใจ ดับ!!
ต่อมาเวลา 15.30 น. พนักงานสอบสวนได้เชิญพระทัตตชีโวไปสอบสวนที่บริเวณสำนักงานใหญ่มูลนิธิธรรมกาย ระหว่างที่ชุดสอบสวนขอตรวจค้นในมูลนิธิและขอใช้คอมพิวเตอร์ของมูลนิธิ เพื่อค้นหาข้อมูลหลักฐานต่างๆอาทิบัญชีรับจ่ายของวัด แต่เมื่อพนักงานสอบสวนเข้ามาใช้เครื่องคอมฯ ไม่นานไฟฟ้าก็เกิดดับลงกระทันหัน จนไม่สามารถที่จะใช้เครื่องอคมฯได้ต่อไป โดยที่เจ้าหน้าที่วัดตีบทแตกอ้างไม่รู้สาเหตุทั้งนั้น
จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ตรวจค้นตู้เอกสารที่วางอยู่เรียงรายในห้อง พบว่าตู้ทุกใบล็อคตายด้วยกุญ แจพิเศษต้องใช้รหัสถึงจะเปิดออกได้ พนักงานสอบสวนจึงขอกุญแจแต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในวัด มีผู้เก็บรักษาไว้ไม่สามารถที่จะตามตัวได้ พ.ต.อ.สมชัยจึงได้วิทยุไปยังสภ.อ.คลองหลวง เพื่อประสาน ให้หาตัวช่างทำกุญแจส่งเข้าไปในวัดพระธรรมกายเพื่อเปิดตู้และลิ้นชักเอกสารทั้งของนายไชยบูลย์ พระทัตตชีโวและพระปลัดสุธรรม เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่มีปัญหาในการตรวจค้น เมื่อสามารถเปิดตู้ต่างๆได้พนักงานสอบสวนแทบตกตะลึงเมื่อพบพระมหาสิริราชธาตุจำนวนมาก ใบอนุโมทนาบัตรและเอกสารต่างๆ แต่ไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องด้านการเงินของวัดแต่อย่างใด โดยระหว่างการตรวจค้นนั้นเจ้าหน้าที่ของวัดได้พยายามบันทึกภาพพนักงานสอบสวนทุกคนไว้โดยตลอด ทำให้พล.ต.ท.วาสนาถึงกับอารมณ์เสียชี้หน้าไล่ไม่ให้ถ่ายภาพบันทึกวีดิโออีก
ดึกแค่ไหนก็รอ"ปลัดสุธรรม"
ต่อมาเวลา 18.30 น. พล.ต.ท.วาสนาและพล.ต.ท.สมบัติ ได้ร่วมกัน แถลงข่าวการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ที่สภ.อ.คลองหลวง โดยที่พนักงานสอบสวนยังคงสอบปากคำพระทัตตชีโวอยู่ต่อไป พล.ต.ท.วาสนากล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพล.ต.อ.พรศักดิ์ให้เข้าตรวจค้นและสอบปากคำพยานและผู้ต้องหาเพิ่มเติม เนื่อง จากมีบาง ประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ การตรวจค้นครั้งนี้ตรงตามเป้าหมายเป็นประโยชน์ต่อสำนวนและสามารถปิดสำนวนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารรายรับรายจ่ายของวัดที่ยึดได้
นอกจากนี้แล้วพนักงานสอบสวนตั้งใจจะสอบปากคำพระปลัดสุธรรม สุธัมโม พระวิษณุ ปัญญาทีโปและพระสุวิทย์ ชาโท ซึ่งทั้ง 3 เป็นผู้ดูแลบัญชีทั้งหมด แต่ปรากฎว่าพระทั้ง 3 ไม่ได้อยู่ในวัดแจ้งว่ามีภารกิจภายนอก ทำให้พนักงานสอบสวนต้องรอไม่ว่าจะกลับมาในเวลาใดก็ตาม คงสอบปากคำได้แต่พระทัตตชีโวเพียงรูปเดียวเท่านั้น ส่วนกรณี ที่ต้องเรียกช่าง ทำกุญแจ มานั้นได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าหากว่าเกิดอุปสรรคในการเปิดตู้เอกสาร หรือประตูต่างๆ ครั้งแรก เจ้าหน้าที่วัดอ้างว่าไม่มีกุญแจ แต่เมื่อให้ช่างกุญแจเข้าไปเพื่อทำกุญแจไม่ว่าจะเป็นจุดไหน เจ้าหน้าที่วัดก็จะเจอกุญแจทุกครั้งไป คิดว่าการตรวจค้นครั้งนี้เพียงพอแล้ว และจะเร่งสรุปสำนวนโดยเร็ว ขอให้ประชาชนมั่นใจพนักงานสอบสวนว่าจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา
เชื่อพระไม่โกหก
ต่อข้อถามที่ว่า ทราบได้อย่างไรว่านายไชยบูลย์ป่วย เพราะเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมายังออกมา เทศน์ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลย พล.ต.ท.วาสนากล่าวว่า ไม่เชื่อพระแล้วจะไปเชื่อใคร ส่วนสำนวนการสอบสวนจะเสร็จทันเสนออัยการในวันที่ 2 ก.ย.นี้หรือไม่ คงไม่สามารถยืนยันได้ แต่พยายามเร่งให้ทันกำหนดอยู่
มีรายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนที่เข้าไปตรวจค้นวัดพระธรรมกายว่า ประสบผลสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งที่ผ่านมานั้นเจ้าหน้าที่ของวัดและผู้เกี่ยวข้องที่เคยมาให้ปากคำต่างระบุว่า บัญชีรับจ่ายของวัดนั้นมีเอกสารประกอบมากมาย และยังตรวจสอบ ไม่เสร็จจึงไม่สามารถนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบได้ การตรวจสอบครั้งนี้ ก็เช่นกันพนักงานสอบสวนไม่สามารถตรวจสอบบัญชีต่างๆได้ เพราะทางวัดไม่ได้ทำบัญชีไว้
"ตรงนี้สามารถ ประเมินได้ 3 ประเด็นคือ 1. ไม่ทำเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบภาษีอากร 2.ไม่ทำเพื่อให้ง่าย ต่อการยักยอกทรัพย์ และ 3.ไปจัดทำ บัญชีที่อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เนื่องจากพระที่ดูแลบัญชีทั้ง 3 รูปไม่อยู่ในวัดให้พนักงานสอบสวนได้สอบถามได้ อย่างไรก็ดี ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก และเป็นไปตามวัตถุประสงค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รู้กันว่าวัดมีบัญชีรายรับรายจ่ายหรือไม่
รายงานระบุว่า การตรวจค้นครั้งนี้นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบแล้ว ยังมีจากสศก.และเจ้าหน้าที่ ที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ร่วมตรวจค้นอยู่ด้วย โดยเฉพาะการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น พนักงานสอบสวนได้ก็อปปี้โปรแกรมรายการทุกรายการที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ทั้งหมด ก่อนที่ไฟฟ้าในวัดจะดับและเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้อีกก็ตาม