page4

เดลินิวส์ 22/8/2542

แจ้งป.จับ"พรหมโมลี"ไม่รับฟ้อง นิคหกรรม"ไชยบูลย์"

พบช่องโหว่มติมหาเถรฯให้พระพรหมโมลีลอยลำ ตีความไม่รับคำฟ้อง"ไชยบูลย์"ได้ แจ้งจับ3 ผู้พิจารณาชั้นต้น ตั้งแต่เจ้าคณะคณะภาค 1ถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ฐานไม่รับคำฟ้องตามกฎนิคหกรรม เป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ "พระพยอม-พระมหาบุญถึง" เชียร์ให้ปลด ระบุไม่ต้องถามกันแล้วเหมาะหรือไม่ ถ้าให้ดีปลดจากกรรมการมหาเถรฯเป็นของแถม

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 11.00 น. ที่กองปราบปราม นายประจิณ ฐานังกรณ์ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีวัดพระธรรมกาย โดย พ.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข สว.ผ.1 กก.2 ป. เป็นผู้รับแจ้งความ นายประจิณได้แจ้งให้พนักสอบสวนดำเนินคดีกับพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1, พระราชปริยัติบดี รองเจ้าคณะภาค 1 และพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ทั้งนี้เนื่องมาจากพระที่ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ไม่รับพิจารณาคำกล่าวหานายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกายตามกฏนิคหกรรม ที่ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยในหลายเรื่อง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าวไว้ เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป

ทางด้าน พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนการกล่าวโทษนายไชยบูลย์ กล่าวว่า กรณีที่นายประจิณแจ้งความไว้นี้ ทางพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้แล้ว และจะได้พิจารณาถึงการดำเนินคดี โดยต้องดูว่าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง

ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ทางโลกนั้นนั้น ขณะนี้ก็ใกล้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว คาดว่าไม่น่าที่จะเกินเดือนนี้ ก็สามารถสรุปผลการสอบสวนได้ทั้งหมด พร้อมทั้งรายงานให้ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รอง ผบ.ตร.ทราบได้

สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับพยานหลักฐานนั้น พนักงานสอบสวนมีข้อมูลและหลักฐานมากอยู่พอสมควร สามารถที่จะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด รายละเอียดต่างๆไม่สามารถเปิดเผยได้ และกรณีที่นายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ยื่นฟ้องพนักงานสอบสวน ก็ต้องปล่อยให้เป็นเดุลยพินิจของศาลในการวินิฉัย ทางพนักงานสอบสวนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับการแจ้งความจับพระ 3 รูปดังกล่าว จะต้องพิจารณาว่าพระทั้ง 3 รูปเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.�2535 หรือไม่ ถึงจะพิจารณาว่าทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ว่าด้วยการเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

พระพิศาลธรรมพาที หรือ พระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอเรื่องให้ปลดพระพรหมโมลี พ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอซึ่งจะเข้าสู่การพจิารณาของมหาเถรฯในวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.นี้ ว่า คงไม่ต้องตอบกันอีกแล้วว่าสมควรปลดออกจากตำแหน่งหรือไม่

ทั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ปรากฏชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนจะปลดได้สำเร็จหรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะสงฆ์ ก่อนหน้านี้เจ้าคณะภาค 1 ก็เคยถูกแขวนจากตำแหน่งมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าหากต้องการจะปลดอีกครั้ง ก็มองไม่เห็นว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้ปลดไม่ได้ ยกเว้นแต่มหาเถรสมาคม(มส.)ยังคิดกะเตงพระพรหมโมลีเข้าเอวไปด้วยอีกรูป

ขณะเดียวกันพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ประธานศูนย์รวมสงฆ์ชาวอีสาน 19 จังหวัด ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันนี้ว่า การปลดพระพรหมโมลีพ้นจากหน้าที่ในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ต้องถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม อย่างยิ่ง แต่คงไม่ต้องถึงกับใช้อำนาจมหาเถรฯปลดให้ยุ่งยาก ลำพังสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม ก็สามารถสั่งปลดออกได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งอำนาจคณะสงฆ์

ส่วนจะปลดได้หรือไม่นั้นคิดว่าน่าจะปลดออกได้ ทั้งนี้เป็นเพราะมีกรรมการมหาเถรสมาคม 15 รูป จะร่วมกันผลักดันให้มีการสั่งปลดเจ้าคณะภาค 1 ค่อนข้างแน่นอน แต่ถ้าจะให้ดีก็น่าที่จะปลดออกจากกรรมการมหาเถรฯด้วยอีกตำแหน่งเป็นของแถม

อย่างไรก็ตามรายงานข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่าถึงแม้นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ จะเสนอให้มีการปลดพระพรหมโมลีจากเจ้าคณะภาค 1 ตามคำร้องเรียนของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา และนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ฐานที่พระพรหมโมลีไม่ยอมปฏิบัติตามมติมหาเถรฯเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ระบุให้ฆราวาสฟ้องกล่าวหาได้ตามกฎนิหกรรมนั้น ในการประชุมมหาเถรฯ อาจเกิดการถกเถียงและเอาช่องโหว่มติมหาเถรฯมาทำให้พระพรหมโมลีไม่มีความผิดได้

สาเหตุเพราะมติมหาเถรฯครั้งก่อนมี 5 ข้อ แต่ที่สำคัญคือมี 2 ข้อคือ 1.คฤหัสถ์เป็นผู้กล่าวหาได้ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ที่ระบุไว้ในข้อ 4(8) และ2.ผู้พิจารณาหรือคณะผู้พิจารณาให้พิจารณาตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ซึ่งมติดังกล่าวกำกวม เพราะถึงแม้มติข้อแรกที่ให้คฤหัสถ์ฟ้องได้ แต่ในข้อที่ 2 ได้ขมวดปมว่าต้องปฏิบัติตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ซึ่งกฎดังกล่าวในข้อ 15 ระบุให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้กล่าวหาเฉพาะที่เป็นพระ แต่ไม่ได้ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เป็นคฤหัสถ์ จึงถือว่าคำฟ้องร้องทั้งหมดตกไป และพระพรหมโมลีปฏิบัติตามกฎมหาเถรฯ "ถ้าจะให้รัดกุมมหาเถรฯต้องมีมติว่า คฤหัสถ์สามารถเป็นผู้กล่าวหาได้ตามกฎมหาเถรฉบับที่ 11 ข้อ 4(8) และเมื่อมีคุณสมบัติตามข้อ 4(8)ให้ประทับรับฟ้องส่งเข้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้เลย แทนที่จะออกมาว่าให้ปฏิบัติตามกฎนิคหกรรม ซึ่งทำให้มีช่องโหว่ไปอ้างได้ว่า ต้องพิจารณาคุณสมบัติกันอีกตามข้อ 15"

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดต้องรอผลการประชุมมหาเถรฯที่จะถึงเสียก่อน จะตีความอย่างไร แต่พระราชปริยัติบดี รองเจ้าคณะภาค 1 ก็ให้สัมภาษณ์แล้วว่า พระพรหมโมลีตีความตามมติมหาเถรฯ ที่ให้ฆราวาสฟ้องกล่าวหาได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎนิคหกรรมคือ จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้กล่าวหา ให้เฉพาะที่เป็นพระ ส่วนที่เป็นคฤหัสถ์ไม่มีการระบุให้ตรวจสอบคุณสมบัติ