เดลินิวส์ 21/8/2542
เสนอปลดพระพรหมโมลีแหกกฎมหาเถร
รมว.ศึกษาธิการเสนอมหาเถรฯจันทร์นี้ปลดพระพรหมโมลีออกจากตำแหน่ง ฐานปฏิบัติหน้าที่ ไม่ชอบใช้อำนาจแหกกฎมหาเถรฯอุ้มไชยบูลย์ตีความชาวบ้านห้ามฟ้องพระ "เสฐียรพงษ์" สุดทนฉะไม่มีศักดิ์ศรีพระ พูดเท็จเห็นแก่พรรคพวก ลาภสักการะ เคยถูกสั่งแขวนมาแล้ว ยังพลาดอีก กรรมการมหาเถรฯย้ำพระสูตรยืนยันชัดฆราวาสฟ้องได้ ถ้าเสนออุทธรณ์ข้ามาจะจัดการ หลวงพ่อถาวรออกโรงประกาศสงฆ์ทั่วประเทศเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ปกป้องพระศาสนา ให้ชาวพุทธมั่นใจได้ทุกอย่างยุติ รองเจ้าคณะภาค 1 ออกมาปกป้อง อ้างแบบศรีธนนชัยชาวบ้านฟ้องได้แต่ต้องทำตามกฎนิคหกรรมตรวจสอบคุณสมบัติก่อน
กระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ ยังดำเนินการต่อไป แม้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 จะใช้อำนาจวินิฉัยให้คำฟ้องนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย ของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา กับนายสมพร เทพสิทธิ ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ จะตกไปโดยอ้างว่ากฎนิคหกรรมไม่เปิดช่องให้ฟ้องร้อง และให้พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เรียกนายมาณพและนายสมพรมารับคำฟ้องคืนไป
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมานายมาณพ กล่าวว่าจะทำหนังสือบันทึกสรุปการหารือกับพระสุเมธาภรณ์ กรณีที่ไม่ยอมรับคำฟ้องร้องของตนกับนายสมพร เพื่อเสนอต่อนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ เพื่อที่จะให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และมหาเถรสมาคม(มส.)พิจารณา ซึ่งล่าสุดนายสมศักดิ์จะนำบันทึกนี้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมมหาเถรฯในวันที่ 23 ส.ค.
"ขณะนี้ถือว่าคำวินิจฉัยที่ไม่รับคำฟ้องของผมและนายสมพรยังไม่เป็นผล จนกว่าจะมีการพิจารณาจากมหาเถรฯก่อน ผมเกิด ความไม่ไว้วางใจศาลสงฆ์ เพราะทั้งๆที่ยังไม่มีการไต่สวนมูลฟ้องผลก็ออกมาเช่นนี้ แล้วการพิจารณาต่อไปจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม รมว.ศึกษาฯมีอำนาจตามมติมหาเถรในการติดตามกระบวนการนิคหกรรมให้เป็นไปตามขั้นตอน"
ผู้สื่อข่าว ถามว่าเจ้าคณะภาค 1 วินิจฉัย ออกมาเช่นนี้ทางเจ้าคณะใหญ่หนกลาง สามารถลงโทษฐานขัดคำสั่งมหาเถรฯได ้หรือไม่ นายมาณพกล่าวว่า ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 พระสังฆาธิการต้องปฏิบัติตามหน้าที่ หากทำผิดก็มีสิทธิรับโทษเช่นกัน และหน้าที่ของเจ้าคณะใหญ่หนกลางก็มีระบุในกฎมหาเถรฯว่าสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของเจ้าคณะภาค 1 ได้ แต่จะมีการลงโทษการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องถึงขั้นถอดถอนหรือไม่นั้นไม่ทราบ
นายสมพร เปิดเผยว่า เป็นเรื่องประหลาดที่ศาลสงฆ์ไม่รับคำกล่าวหานายไชยบูลย์ตามกฎนิคหกรรมของตน ประชาชนคงรู้แล้วว่าแท้จริงผู้ที่มีส่วนทำให้กระบวนการต้องล่มลงก็คือพระพรหมโมลี เพราะเป็น ผู้ออกคำสั่งให้คำกล่าวหาต้องตกไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. แต่เมื่อมีการประชุมมหาเถรสมาคมในวันที่ 16 ส.ค. มติออกมาชัดเจนว่าฆาราวาสกล่าวหาพระได้ พระพรหมโมลีก็อยู่ในที่ประชุมแต่ไม่แจ้งมติให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีทราบ จนนำมาสู่การออกหนังสือยกฟ้องเมื่อวันที่ 13 ส.ค.
"หากพระพรหมโมลี ยังนั่งในตำแหน่งประธานคณะผู้พิจารณาชั้นต้นต่อไปผู้ที่ยื่นฟ้องทั้งหมด คงไม่ได้รับความเป็นธรรม การลงนิคหกรรมคงจะไม่เป็นผล วันนี้ผมจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงรมว.ศึกษาฯ โดยระบุไปว่าการที่พระพรหมโมลีทำเช่นนี้ถือว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดจริยาสังฆาธิการตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 และกระทำการขัดต่อมติมหาเถรฯ จึงขอให้ รมว.ศึกษาฯเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรฯเพื่อพิจารณาความผิด และขอให้เปลี่ยนประธานคณะผู้พิจารณาชั้นต้นในกรณีนี้"
นายสมพรกล่าวต่อไปว่า รมว.ศึกษาฯจะเสนอเรื่องที่ตนยื่นฟ้องต่อที่ประชุมมหาเถรฯในวันที่ 23 ส.ค. ซึ่งหากมหาเถรฯรับพิจารณาก็ต้องส่งเรื่องให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลางรับไว้เป็นผู้พิจารณา ฝากความหวังไว้ที่ท่าน และโดยส่วนตัวก็เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของท่าน
นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาฯ กล่าวว่า มติมหาเถรฯออกมาเมื่อวันที่ 16 ส.ค. รับรองว่า การดำเนินการตากฎนิคหกรรมกรณีธรรมกายไม่มีล่ม กระทรวงศึกษาฯจะดำเนินการต่อไปในทางที่ถูกต้อง ห็นใจความรู้สึกของประชาชนที่สับสนเพราะข้อวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 กลับไปกลับมา พวกตนก็วิตกเช่นกันแต่ก็จะทำให้กระจ่างและนำเสนอมหาเถรฯใน 2-3 วันนี้
ด้าน นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต กล่าวว่า ตามกฎนิคหกรรมการกล่าวหานายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตต ชีโว ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นแรกคือรับข้อกล่าวหา ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีมีสิทธิ์เต็มที่ในการดำเนินการ และที่ผ่านมา ก็ได้รับคำกล่าวหาของนายมาณพและนายสมพรไว้แล้ว จนมีการเรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาครั้งที่ 1 อยู่ๆจะมา คืนคำกล่าวหาโดยอ้างว่าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นหารือกันแล้วมีมติไม่รับคำกล่าวหา เพราะฆราวาส กล่าวหาพระไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากยังไม่ถึงขั้นตอนของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เจ้าคณะภาค 1 เข้ามาล้วงลูกก่อน อยากเรียกร้องให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯทำตามขั้นตอนที่เรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาครั้งที่ 2 โดยไม่ต้องเกรงกลัวคำสั่งของเจ้าคณะภาค 1
"มหาเถรฯยืนยันแล้วว่าฆราวาสกล่าวหาพระได้ กระบวนการตามกฎนิคหกรรมต้องดำเนินการต่อไป เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาอีกครั้ง ถ้าไม่มาก็ลงโทษไป สั่งพักความเป็นเจ้าอาวาส ถ้าเจ้าคณะจังหวัดไม่ทำผมว่าเจ้าคณะจังหวัดเองจะต้องพบกับปัญหาใหม่ว่าละเลยปฏิบัติหน้าที่ ควรทำให้ถูกต้อง ประชาชนจะได้สรรเสริญว่าทำถูกต้อง ถ้าทำสิ่งไม่ถูกต้องจะอยู่ไม่รอดขณะนี้ประชาชนสาปแช่งไปทั่วแล้ว"
นายเสฐียรพงษ์กล่าวอีกว่า ถึงขั้นตอนนี้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดในสายนี้ควรจะลงมาดูข้อติดขัดในการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ถ้าพบว่ามีการกระทำไม่ถูกต้องก็มีกฎมหาเถรฯว่าด้วยจริยาพระสังฆาธิการ หากพระรูป ใดละเลยการปฏิบัติหน้าที่จะต้องถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ที่ผ่านพระพรหมโมลีเคยถูกสั่งพักการเป็นเจ้าคณะภาค 1 มาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะย่อหย่อน ไม่สามารถ ปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรูปก่อนได้ จนเจ้าคณะใหญ่หนกลางต้องสั่งพักการเป็นเจ้าคณะภาค 1 และสั่งปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ ไม่แน่ว่าครั้งนี้พระพรหมโมลีจะประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยอีกหรือไม่
"พระพรหมโมลีเหลาะแหละกลับไปกลับมา ไม่มีความเป็นพระผู้ใหญ่ พูดเท็จมาตลอด ไม่ดูแลศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่มองชาวโลกบ้างว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ยื้อกันอยู่ตลอดเวลา มีเจตนาช่วยกัน ไม่ได้ทำตามพระธรรมวินัย ถ้าจะช่วยกันให้ดูไม่น่าเกลียดก็ทำได้ ให้ถึงขั้นสั่งฟ้องในขั้นไต่สวนมูลฟ้องก่อน แล้วอาจตัดสินมาว่าความผิดอ่อน ก็จะดูน่าเกลียดน้อยหน่อย แต่นี่กลับเห็นแก่พรรคพวก ลาภสักการะที่มีมหาศาลมากกว่า"
พระสุธรรมาธิบดี เจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส กรรมการมหาเถรสมาคม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีสั่งยกฟ้องนายไชยบูลย์ว่า ปัญหาฆราวาส ฟ้องร้องพระสงฆ์ได้หรือไม่นั้นเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีไม่เห็นจำเป็นต้องส่งหนังสือหารือเจ้าคณะภาค 1 ในพระสูตรก็ระบุไว้ว่าฆราวาสฟ้องร้องสงฆ์ได้ คนที่บอกว่าฟ้องไม่ได้เป็นเพราะต้องการช่วยเหลือกัน นายสมพรเป็นประธานสภายุวพุทธิกสมาคมฯก็ประกาศตัวชัดแจ้งแล้วว่าเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับชาวพุทธทั้งหลาย จึงนับเป็นผู้เสียหายด้วยคนหนึ่ง เมื่อมีคนทำให้ศาสนาเสื่อมก็ต้องออกมาปกป้อง ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหมอกันจัง
"ขอฝากถึงนายสมพรว่าอย่าท้อถอยท้อแท้ ขอให้เชื่อมั่นคณะสงฆ์ คำสั่งของคณะสงฆ์ใหญ่ที่สุด หากมหาเถรฯไม่มีอำนาจ ไม่มีประโยชน์ อนาคตก็จะมีคนเขียนกฎหมายยกเลิก แต่ขณะนี้ยืนยันว่าคณะสงฆ์ยังมีอำนาจอยู่ ขอให้อุทธรณ์มาตามขั้นตอนถึงเจ้าคณะภาค 1 จากนั้นอุทธรณ์ต่อเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และที่สุดหากถึงมหาเถรฯยืนยันว่าเรียบร้อยแน่นอน ส่วนคดีทางโลกก็ต้องให้ตำรวจจัดการไปตามกฎหมายบ้านเมือง"
พระเถระชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอีกรูปหนึ่ง เปิดเผยว่า เป็นไปได้ที่เจ้าคณะใหญ่หนกลางจะสั่งพักตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ของพระพรหมโมลีไว้ก่อน เพราะทำผิดพลาดทางการปกครองสงฆ์หลายเรื่องแล้ว ก่อนหน้านี้ ก็เคยไม่ได้รับการต่ออายุการดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 โดยถูกสั่งแขวนไว้เกือบ 1 ปี จากกรณีวัดแสงมณี จ.ปทุมธานี ซึ่งพระที่ชาวบ้านให้การสนับสนุนมีคะแนนโหวตสูงสุดแต่ไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส พระที่ได้คะแนนรองกลับได้เป็น มีการร้องเรียนเรื่องนี้ไปที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรูปก่อน แต่เจ้าคณะจังหวัดรูปนี้ก็กลับไปเข้าข้างอีกฝ่ายจนมีการร้องไปที่เจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะภาค 1 ได้สั่งให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯไปแก้ไข แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ ในที่สุดปัญหาขัดแย้งบานปลายจนเกิดการฆ่ากันตายขึ้น
"เจ้าคณะใหญ่หนกลางเห็นว่าพระพรหมโมลีแก้ปัญหาไม่ได้จึงไม่ต่ออายุเจ้าคณะภาค 1 ให้หลังจากหมดวาระ 4 ปี และลงมาแก้ปัญหาเองโดยนำเรื่องเข้าที่ประชุมมหาเถรฯขอพักตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯรูปก่อน และตั้งพระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม ทำหน้าที่แทน"
พระพิสาลพัฒนาทร (ถาวร จิตตฺถาวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหารกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ชาวพุทธตื่นตัวกันมากขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ อีกทั้งขณะนี้คนทั่วโลกก็เริ่มที่จะรับรู้และสนใจเรื่องนี้ คิดว่าจิตสำนึกคนไทยไม่มีวันทอดทิ้งพระศาสนา ไม่ยึดติด กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เมื่อพุทธบริษัททราบถึงหลักการ เหตุผล และคำสอนที่บริสุทธิ์ ชาวพุทธจะลุกขึ้นมาจัดการ เวลานี้อาจจะดูคล้ายกับเงียบสงบ แต่พลังเงียบน่ากลัวที่สุด จากนี้ไป ไม่นานพระสงฆ์ทั่วประเทศจะออกมารวมตัวกันเคลื่อนไหวเรียกร้อง แสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ และร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา จะจบลงในระยะเวลาอันใกล้
ชาวพุทธจะไม่ผิดหวัง แต่ถึงสมหวังก็จำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และ กฏหมาย อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพระศาสนาที่จะออกมามีผลบังคับใช้ต้องรักษาผลประโยชน์ของพระศาสนาได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมกันอย่าเพิกเฉย แม้ว่าจะต้องเจ็บตัวบ้างก็ต้องยอม เพื่อให้สถาบันอยู่ได้ ชาวพุทธ ต้องมองพระศาสนาเป็นหัวใจสำคัญของชีวิต เป็นจิตวิญญาณ เรื่องตัวบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องยกไว้
"บ้านเมืองเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองอยู่ ขอให้มั่นใจว่าศาสนาพุทธจะไม่มีวันเสื่อมในประเทศไทย ทุกสิ่งทุกอย่างสังคมจะเป็นผู้ตัดสินเอง อะไรก็ตามขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วในที่สุดก็จะร่วงหล่นลงมา ชาวบ้านจะชี้ถูกชี้ผิดและตัดสินเอง ไม่นานก็จะตกกระป๋องไปเอง ชื่อเสียงก็จะลบไปด้วย"
ทางด้านพระราชปริยัติบดี เจ้าอาวาสวัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 เรียกร้องให้เข้าใจบทบาทของพระพรหมโมลี โดยระบุว่า ต้องตีความกฎนิคหกรรมตามข้อความที่กำหนดไว้ และกฎดังกล่าวฆาราวาสเป็นผู้เขียนขึ้นมาเอง หากบอกว่าเขียนผิดเจตนารมณ์ทำไมไม่แก้ไขก่อนที่จะมีการใช้กฎนี้ เพราะเคยมีกรณีตัวอย่างที่ต้องใช้กฎนิคหกรรมมาแล้วทั้งกรณีอดีตพระยันตระและอดีตพระนิกร แต่ครั้งนั้นไม่มีคนทักท้วงเพราะมีสีกาผู้เสียหายร่วมฟ้อง แตกต่างกับเรื่องที่กำลังเกิดอยู่ที่มีผู้ทักท้วงคุณสมบัติของผู้กล่าวหาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยไปตามที่กฎหมายเอื้อไว้
"ให้พระพรหมโมลี ทำนอกกรอบกฎเกณฑ์แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ขอให้สืบประวัติเจ้าคณะภาค 1 ดูว่ามีอะไรเสียหายบ้าง ที่ผ่านมาก็เป็นพระนักปฏิบัติมาตลอด การที่สื่อมวลชนกล่าวหาว่าพูดจาโกหกนั้นรุนแรงเกินไป มีใครบ้างที่ได้ยินคำพูดทั้งหมด ที่จริงมีการพูดว่าฆาราวาสฟ้องสงฆ์ได้จริงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎนิคหกรรม กฎว่าไว้อย่างไรก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น "
ขณะนี้ต้องถือว่ากระบวนการนิคหกรรมยุติลงแล้ว ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตกันว่าพระพรหมโมลีปฏิบัติขัดมติมหาเถรฯนั้น เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกันด้วย คำสั่งเจ้าคณะภาค 1 ออกก่อนมหาเถรฯมีมติออกมาแล้วจะบอกว่าทำผิดมติได้อย่างไร ก็ต้องรอดูว่าการประชุมมหาเถรฯในวันที่ 23 ส.ค. จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร
ต่อข้อถามที่ว่าในเมื่อมีความสับสนในด้านการสื่อสารระหว่างเจ้าคณะภาค 1 ต่อสาธารณชน เหตุใดจึงไม่ออกมาแถลงด้วยตัวเอง พระราชปริยัติบดีกล่าวว่า เรื่องนี้เจ้าคณะภาค 1 คงเตรียมที่จะทำอยู่เหมือนกัน แต่คงรอให้เรื่องต่างๆเรียบร้อยเสียก่อน อาตมาเองก็มีเรื่องต้องแถลงเช่นกัน แต่ขอเวลาอีกสักระยะ
"ขอบอกว่าปัญหาของวัดพระธรรมกายไม่ทำให้ศาสนาเสื่อมแน่นอน เพราะพระดีที่ทำประโยชน์ให้สังคมยังมีอีกมาก ขอฝากถึงชาวพุทธให้ทำบุญด้วยปัญญา อย่ามีแต่ศรัทธาเพียงอย่างเดียว ถ้ามีแต่ศรัทธา ปัญญาไม่เกิดก็ผิดหลักพระพุทธศาสนา"
พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนการกล่าวโทษนายไชยบูลย์เปิดเผยว่า ขณะนี้ข้อมูลคดีดังกล่าวเสร็จแล้ว เหลือเพียงการรวบรวมสำนวนเป็นรูปเล่ม สัปดาห์หน้าจะรายงานต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อขอนุมัติในการดำเนินการตามขั้นตอน ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดขอให้ประชาชนอดใจรออีกระยะ และเพื่อความมั่นใจ พนักงานสอบสวนได้ปรึกษากับนักกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ที่วัดพระธรรมกายจะตอบโต้กลับมาได้
รายงานข่าวจากชุดสอบสวนเปิดเผยว่า กองปราบพบการโอนเงินจากวัดธรรมกาย โดยนายไชยบูลย์ไปยังสีกาสนิทกว่า 20 ล้านบาท และโอนต่อไปให้นายชาญวิทย์ เปรมกมล เพื่อซื้อที่ดินที่พิจิตร และใส่ชื่อนายไชยบูลย์เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังพบการโอนเงินของนายไชยบูลย์ไปให้สาวกคนสนิทซื้อที่ดินที่พิจิตรและเพชรบูรณ์ และใส่ชื่อสาวกคนนี้เป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตามจากการที่สื่อมวลชนติดตามข่าวสารธรรมกายต่อเนื่อง อาจทำให้ข้อมูลที่จะมัดตัวนายไชยบูลย์บางส่วนถูกเปิดเผย และทำให้ไหวตัวทันถึงขั้นปลอมแปลงเอกสารก็เป็นได้ และถ้าทำจริง ก็จะเพิ่มข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการโดยพลการด้วย และจะนำกฎหมายฟอกเงินมาตรวจสอบอีก