เดลินิวส์ 20/8/2542
สงฆ์พลิ้ว กะเตง'ไชยบูลย์'สั่งห้ามฟ้องพระ
ปลุกชาวพุทธสู้อิทธิพลมืดแฝงตัว ห่มจีวรครอบงำวงการสงฆ์ พลิ้วกัน ตั้งแต่ระดับ เจ้าคณะจังหวัดถึงเจ้าคณะภาค 1 บอก ตอนเช้าคำฟ้อง"ไชยบูลย์"ยังอยู่ พอตกบ่าย เรียก"สมพร-มาณพ"ไปรับข้อกล่าวหาคืน อ้างตีความแล้วชาวบ้านห้าม แตะต้องพระ แต่ถูก รู้ทันไม่ยอมรับคืนขืนหลวมตัวคดียุติสิ้นเชิง คาไว้หวังชี้ขาดพระพรหมโมลี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ซัดดำน้ำกันอย่างนี้ถ้าเห็นพระเสพเมถุนต่อหน้ากล่าวหาไม่ได้บรรลัยแน่ "สมศักดิ์" พบสมเด็จวัดชนะฯหาทางออก สงฆ์ระดับล่าง รวมตัวสู้แฉเถระผู้ใหญ่ สั่งปิดปากห้าม วิจารณ์ธรรมกายเลยเงียบกันหมดกลัวไม่ได้เลื่อนสมณ ศักดิ์-พัดยศ อุ้มกระเตงซากพระ ตั้งคำถามจะยอมให้ปล้นศาสนาต่อไปหรือ
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยถึง กรณีที่ส่งคำฟ้อง นิคหกรรมนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย คืนให้แก่นายมาณพ พลไพรินทร์และนายสมพร เทพสิทธาว่า ไม่ทราบว่าข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร เพราะคำฟ้องทั้งหมดยังคงอยู่ ส่วนการเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 นั้นก็เป็นการดำเนินการ ก่อนที่มหาเถรสมาคม จะมีมติออกมาว่าฆราวาสฟ้องพระได้ จึงทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เป็นการเรียกมาเพื่อคืนคำฟ้อง อย่างไรก็ตามเมื่อมหาเถรฯมีมติชัดเจนอออกมาแล้ว ดังนั้นการเรียกตัวผู้กล่าวหาทั้ง 2 รายมาก็เพื่อให้รับทราบว่า คำฟ้องดังกล่าวยังคงมีผลอยู่ และเพื่อปรึกษาเท่านั้น
"เมื่อคำฟ้องมีผลก็จะเริ่มเข้าสู่ กระบวนการกฎนิคหกรรมทันที แต่ขณะนี้เพียงแต่รอหนังสือ คำสั่งอย่างเป็นทางการจากพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ส่งมาให้อาตมาเท่านั้น ก็จะเรียกตัว นายไชยบูลย์ และพระทัตตชีโวมารับข้อกล่าวหา ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับ คำสั่งจากพระพรหมโมลี ถึงแม้ว่าอธิบดี กรมการศาสนาจะมาประสานงานแล้วว่า พระพรหมโมล ีสั่งให้ดำเนินการ ได้ทันทีแต่ก็ต้องรอคำสั่งก่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้พระพรหมโมลีกำชับว่าให้รอหนังสือ คำสั่งเท่านั้นจึงจะดำเนินการต่อได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะถือเป็นการข้ามขั้นตอน"
พระสุเมธาภรณ์กล่าวด้วยว่า ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจในเรื่องนี้ เพราะรู้อยู่ว่า อย่างไรเสียก็ต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการนิคหกรรม แต่รอรับ หนังสือคำสั่งจากพระพรหมโมลีเท่านั้น พระพรหมโมทลีเองคงไม่กล้าขัดคำสั่งมหาเถรฯ อาตมาเองก็คงไม่ยอมให้ใครมาบังคับ ผิดก็ต้องว่า ไปตามผิดตอนนี้ที่ล่าช้าเพราะพระพรหมโมลีไม่ส่งหนังสือคำสั่งมาเท่านั้น ส่วนเรื่องนัดหมายมารับทราบ ข้อกล่าวหานั้นต้องรอดูอีกทีว่าจะเป็นเมื่อใด
พระราชปริยัติบดี รองเจ้าคณะภาค 1 ในฐานะคณะผู้พิจารณาชั้นต้นกรณีธรรมกายทางกระบวนการสงฆ์เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มี ใครเห็นคำวินิจฉัยของพระพรหมโมลี ข่าวที่ได้รับสับสน โดยในการประชุมวันที่ 11 ส.ค.พระพรหมโมลีจะสรุปมติ เป็นหนังสือไปยัง พระสุเมธาภรณ์เอง ไม่รู้ว่าพระพรหมโมลีพูดกับใครอย่างไร ถ้าให้ชัดต้องดูหนังสือยืนยันกัน และต้องมีเหตุผลในการสั่งการ
พระสุเมธาภรณ์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในรายการเพื่อบ้านเมืองเช้าวันเดียวกัน โดยปฏิเสธยังไม่ยกคำฟ้องผู้กล่าวหาทั้ง 2 ราย แต่ที่ทำ หนังสือเรียกตัวมาก็เพื่อหารือถึงมติคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเมื่อวเันที่ 11 ส.ค. ว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ โดยพระพรหมดมลี วินิจฉัยว่าตามกฎนคิหกรรมให้พระวัดเดียวกันหรือเคยอาศัยอยู่วัดเดียวกันเป็นผู้กล่าวหา หนังสือที่เรียกตัวไปทำก่อนที่มหาเถรฯจะมีมติเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ว่าฆราวาสฟ้องได้
พระอาจารย์วัลลภ ชวนปัญโญ วัดสุวรรณประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาวัดพระธรรมกายนี้ที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะฝ่ายผู้กระทำ ผิดอิงพระผู้ปกครอง ผู้ประพฤติมิชอบธรรมอิงแอบอาศัยกันเอง ข่มขี่ใจชาวพุทธ ทำลายภาพพจน์พระศาสนา เรื่องนี้ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
"เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการเรียกประชุม พระสังฆาธิการระดับรองเจ้าอาวาสวัดขึ้นไปทั่วประเทศ มีเจ้าคณะภาคทุกระดับไปประชุม ทุกรูปรับทราบ เป็นนัยว่าห้ามเอ่ยถึงกรณีธรรมกาย เนื่องจาก ได้รับแรงกดดันจากเบื้องบน เป็นอิทธิพลของการปกครองที่ไม่เป็นธรรม แพร่กระจายไปทั่วประเทศ การปกครองแบบมหาเถรฯเพิ่งเกิดไม่นาน พระศาสนาดำเนินการมาหลายพันปีแล้ว เมื่อระบบ ที่สร้างมาดูแลเกิดปัญหาต้องปรับปรุงกันใหม่ พระส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดออกมา เพราะอยู่ในช่วงพิจารณาสมณศักดิ์ ใครพูดจะคัดชื่อออก แล้วชาวพุทธจะยอมให้เป็นเช่นนี้หรือ คนเหล่านี้กำลังปล้นศาสนา ขอให้ทุกคนไปคิดดูเอง"
ที่กระทรวงศึกษาธิการ เวลา 9.45 น. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ เรียกนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา,นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา,นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ เข้าพบเพื่อหารือกรณีจะมีการยกคำกล่าวหาตามกระบวนการนิคหกรรมให้ตกไป นายสมศักดิ์เปิดเผยภายหลังการหารือว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งที่พระพรหมโมลีวินิจฉัยไปกับสิ่งที่เจัาคณะจังหวัดปทุมธานียึดถือถูกต้องหรือไม่ แม้แต่นายมาณพ ก็เคลือบแคลง เพราะคราวไปยื่นข้อกล่าวหาเจ้าคณะจังหวัดก็รับและตรวจสอบ คุณสมบัติพร้อมกับบอกว่ารับคำกล่าวหาได้ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการขั้นต้นจบแล้ว คฤหัสถ์ฟ้องร้องได้แม้จะไม่ใช่ผู้เสียหายก็ตาม ในอดีตก็เคยมีกรณีกล่าวหาพระมาแล้ว
"ผมยืนยันในมติมหาเถรฯที่ออกมา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องทำตาม น่าจะดำเนินการไปตามกระบวนการ และจะให้นายมาณพ ไปพบเจ้าคณะจังหวัด แต่ไม่รับข้อกล่าวหาคืน เพราะทุกอย่างถุกต้องแล้ว จากนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามมติมหาเถรฯ คือให้เจ้าคณะจังหวัดส่งเรื่องไปให้เจ้าคณะภาคเลย และจะดำเนินการอย่างไรสุดแล้วแต่พระพรหมโมลี"
ที่ผ่านมานายสมศักดิ์กล่าว่า มหาเถรฯเคยใช้กฎนิคหกรรมกับพระรูปอื่นหลายกรณี หากกรณีธรรมกายใช้ไม่ได้คงยากทำความเข้าใจกับสังคม
นายพิภพ กล่าวว่าตนเข้าพบเจ้าคณะจังหวัดและได้รับการแจ้งให้ทราบว่าได้รับมอบหมาย ให้ดำเนินการอย่างนั้น แต่ทุกอย่างเลยขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้กล่าวหาแล้ว เพราะเจ้าคณะจังหวัด รับข้อกล่าวหาแล้ว และมีการเชิญนายไชยบูลย์มารับฟังข้อกล่าวหาแล้วครั้งหนึ่ง
นายมาณพกล่าวว่ารู้สึกงงมาก ที่พระพรหมโมลีบอกว่าตนกล่าวหาพระไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย โดยบุคคลที่กล่าวหาพระได้มี 4 ประเภทคือผู้มีส่วนได้เสีย,ผู้เสียหาย,ผู้กล่าวหาและผู้ที่พบเห็นว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น การกระทำของเจ้าคณะ จังหวัดปทุมฯแสดงให้เห็นการกลับไปกลับมา ถ้าไม่รับข้อกล่าวหาต้องไม่รับตั้งแต่แรก จะได้อุทธรณ์ได้ แต่ขืนมาให้รับข้อกล่าวหาคืนในขณะนี้จะไม่มีสิทธิอุทธรณ์ได้
"พระที่รับผิดชอบ เรื่องนี้เล่นอะไรกันอยู่ ช่วยเหลือกันเกินไป พระผู้ปกครองสร้างปัญหาตลอดแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถแก้ปัญหาได้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งเป็นพระผู้ปกครองสูงสุดในสายนี้ สามารถสั่งการให้เจ้าคณะภาค 1 และเจัาคณะ จังหวัดปทุมธานี พ้นจากตำแหน่งได้ ฐานหย่อนความสามารถ"
นายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ กล่าวยืนยันจะไม่รับข้อกล่าวหาคืน เพราะนายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ โทรศัพท์บอกว่าถ้าไปรับคืนจะทำใหัคดีสิ้นสุดลง แต่ถ้าไม่รับคืนคดีก็ยังค้างคาอยู่ตามมติมหาเถรฯ ที่ให้ฆราวาสกล่าวหาพระได้ คำวินิจฉัยของพระพรหมโมลีถือว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขัดคำสั่งของมหาเถรฯ คงต้องอุทธรณ์ ไปที่มหาเถรฯต่อไป
"ขณะนี้ไม่ไว้ใจการแก้ปัญหาของพระพรหมโมลี เห็นชัด ๆ ว่าตะแบงช่วยเหลือมาตลอด ถ้าผู้กล่าวหาต้องเป็นผู้เสียหาย เท่านั้นต่อไปถ้าเห็นพระเสพเมถุนต่อหน้าและกล่าวหาไม่ได้พระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร"
เมื่อเวลา 15.30 น. นายสมพร และนายมาณพ ได้เดินทาง ไปที่วัดมูลจินดาราม ตามที่นัดหมายกับพระสุเมธาภรณ์ โดยพระปริยัติวโปการ พระเลขานุการเป็นผู้อ่านคำตัดสินต่อหน้าทั้งสองคนว่า เมื่อได้พิจารณาตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 โดยละเอียดไม่ปรากฎว่ามีบทบัญญัติใดให้อำนาจผู้กล่าวหาที่มีลักษณะไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติข้อที่ 15 ดังนั้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้ที่กล่าวโทษ หนังสือดังกล่าวลงนามโดยพระสุเมธาภรณ์ โดยการอ่านคำวินิจฉัยนั้นได้มีการแยกเป็นคนละฉบับด้วยข้อความเดียวกัน หลังจากที่รับฟังคำ ตัดสินแล้วนายสมพรและนายมาณพไม่ยอมลงนามรับข้อวินิจฉัย โดยกล่าวว่า จะไม่ยอมลงนามรับทราบ เพราะถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและไม่เป็นไปตามมติของมหาเถรฯที่ออกมาแต่อย่างใด
นายมาณพกล่าวว่า จะไม่ยอมถอนข้อกล่าวหาและได้ขอให้พระปริยัติวโปการบักทึกคำคัดค้านด้วย โดย ให้เหตุผลว่า 1.ได้รับคำกล่าวโทษไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ไม่สามารถลบล้างได้ตามมติมหาเถรฯฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม 2.ผู้พิจารณายังไม่ได้แจ้งให้ผู้กล่าวหาทราบจะมายกคำกล่าวหาไม่ได้ 3.ผู้พิจารณาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายที่ไม่รับคำกล่าวหาเข้าสู่กระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง ทั้งกลับมายกเลิกคำสั่งของตนเอง 4.ผู้พิจารณาจะต้องปฏิบัติตามกฎของมหาเถรฯโดยเคร่งครัด และใช้กฎ นิคหกรรมในการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย และ 5. มหาเถรฯมีมติให้ฆราวาสสามารถที่จะฟ้องสงฆ์ได้
"ผมจะรายงานให้อธิบดีกรมการศาสนาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯทราบ เพราะท่านจะได้สานงานต่อเพราะมีมติจากทางมหาเถรฯฉบับวันที่ 16 ส.ค.พูดชัดเจนว่าให้รัฐมนตร ีว่าการกระทรวงศึกษาเป็นผู้ที่ดำเนินการอุทธรณ์ แต่จะอุทธรณ์ไปที่มหาเถรฯเพื่อพิจารณาต่อไป ผมรู้ว่าเมื่อผมมีคำกล่าวโทษแล้วต้องได้รับการพิจารณาไม่ใช่ยกเลิกอย่างนี้"
ด้านนายสมพรกล่าวถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า จะไม่มีการอุทธรณ์ในเรื่องนี้ แต่ได้ให้พระปริยัติวโรปการทำหนังสือ คัดค้านคำสั่งในลักษณะเดียวกับหนังสือคัดค้านของพระสุเมธาภรณ์ และจะรายงาน เรื่องนี้ให้แก่สมเด็จพระมหาธีราจารย์ทราบถึงความไม่ชอบมาพากลของเจ้าคณะภาค 1 ที่ไม่ปฏิบัติ ตามหน้าที่โดยไม่ยอมส่งเอกสารยืนยันการลงมติของมหาเถรฯที่จะต้องส่งมาที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาเท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
"ผมไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาที่ออกมาอย่างนี้ ซึ่งถือว่าคำสั่งของเจ้าคณะภาค 1 ไม่ชอบตามกฎหมาย และไม่ถูกต้องตาม กฎนิคหกรรมตามข้อ 4(8) การพิจารณาครั้งนี้ ถือว่าเป็นการฝืนมติของมหาเถรฯ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมให้ข่าวแต่ก็เข้าใจ ว่าท่านเจตนาอย่างไร เป็นเพราะคำสั่งของพระพรหมโมลีมากว่า ซึ่งต้องการให้เรื่องนี้ตกไปอยู่แล้ว"
ผู้สือ่ข่าว รายงานด้วยว่า พล.ต.ต.พิชัย ควรเตชะคุปต์ รองผบช.ภ. 1และพล.ต.ต.อชิระ สมแก้ว ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี ได้เดินทางมาที่วัดมูลจินดารามเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกในครั้งนี้ โดยทั้งสองระบุว่า พระพรหมโมลีเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ และได้มีการยกคำฟ้องทั้งหมด ถือเป็นคำสั่งที่ขัดต่อมติมหาเถรฯ การ ดำเนินการ ครั้งนี้ถือว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติ เป็นคำสั่งที่มิชอบและการพิจารณาไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดก้ตามต้อง พิจารณาไปตามมติมหาเถรฯ เพราะถือว่าเป็นองค์กรสงฆ์สูงสุดอยู่แล้ว
เมื่อเวลา 15.30 น. นายสมศักดิ์ พร้อมด้วยนายวิชัย นายจรวย นายพิภพและนายเริงฤทธิ์ ได้เดินทางเข้า นมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม โดยใช้เวลาในการหารือนานราว 30 นาที จึงเดินทางกลับ โดยทั้งคณะมีสีหน้าเคร่งเครีดมาก โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ซึ่งปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดใดๆ บอกเพียงว่า ได้รับแนวทางการแก้ไขปัญหาจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์แล้ว แต่ขอปิดลับไว้ก่อน เชื่อว่าปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข โดยท่านเป็นผู้มีความกรุณา มีเมตตา
นายพิภพ กล่าวว่าการเข้าพบ พระมหาธีราจารย์ไม่ได้พูดคุยกันมาก และไม่ได้ให้แนวทางอะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดอ่านกันใหม่ วันนี้มึนหมดแล้ว ตอนไปพบพระพรหมโมลีก็บอกว่าส่งเรื่องหนังสือ ทัดทานของวัดพระธรรมกาย ไปให้ เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯแล้ว พอถามว่าส่งอย่างไรก็ไม่บอก เหมือนกับจะให้เป็นความลับ เลยคิดว่าจะเป็นไปได้ดีแล้ว การดำเนินการคงเร็วขึ้น แต่เรื่องออกมาอย่างนี้ทำเอาเปลี้ยไป
พระราชกวี รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยกล่าวว่า ได้เตรียมใจไว้แล้วเหตุการณ์ต้องเป็นเช่นนี้ เพรายืดเยื้อไม่มีอะไรที่ชัดเจน ไม่พูดแต่แรกว่าฟ้องได้หรือไม่ แต่ยังเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ยุติลงโดยง่ายแน่นอน การกระทำ ของพระสุเมธาภรณ์ขัดต่อมติมหาเถรฯที่ต้องยึดถือเป็นแนวปฏิบัติสูงสุด ถึงแม้จะมีคำวินิจฉัยสั่งการจากพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ก็ตาม คิดว่ามหาเถรฯ จะไม่ยอมให้ใครมาลบมติ
ส่วนข้อวินิจฉัย ของพระพรหมโมลีที่ฆราวาสฟ้องสงฆ์ไม่ได้นั้น พระราชกวีกล่าวว่า แสดงว่าการวินิจฉัยนั้นไม่ได้ยึดกฎหมายจริงตามที่พูด เพราะถ้ายึดตามกฎหมายจริงๆแล้วถึงจะฟ้องร้องไม่ได้ฆราวาสก็สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ จะเป็นปัญหา ต่อคดีที่ได้มีการดำเนินการมาแล้ว อย่างกรณีอดีตพระยันตระหรืออย่างกรณีอดีตพระนิกร อาจต้องมีการ รื้อฟื้นใหม่หมดหรือมีการเรียกค่าชดเชยในส่วนที่คนเหล่านี้เสียหายไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดีนยวกันนี้ พนักงานสอบสวนได้เรียกนายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้าฝ่ายนิติกร กรมการศาสนามาสอบปากคำเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ยังขาดอยู่ อย่างไรก็ตาม พนักงาน สอบสวน ได้มีการประชมสรุปหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ต่อจากวันที่ 18 ส.ค.ด้วย โดยระหว่าง การประชุม พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีนี้กล่าวว่า การประชุมเพื่อหาข้อยุติใน 3 ข้อหาที่กรมการศาสนาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ พร้อมทบทวนรายละเอียดเล็กน้อย ซึ่งก็สามารถได้ข้อยุติในบางประเด็น
พล.ต.ท.วาสนากล่าวว่า จำเป็นต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายไปเพื่อให้สำนวนสมบูรณ ืและเป็นไปด้วยความรอบคอบ ตอนนี้พยานหลักฐาน ยังไม่สมบูรณ์แต่ให้เชื่อมั่นว่าจะสมบูรณ์เรียบร้อยภายในสิ้นเดือนนี้ จะไม่มีมวยล้มต้มคนดู ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ผลการสอบออกมาอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ข้อมูลที่ได้รับเวลานี้ดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ได้แน่ หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็สูงมาก แต่ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ในขั้นจัดพิมพ์ เตรียมเอกสารหลักฐานและทุกอย่างให้เรียบร้อย ขณะนี้คงต้องสอบปากคำพยานไปเรื่อยๆหากพบประเด็นใหม ่ก็จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทันที
ด้านนายกมล คล้ายรอด ตัวแทนสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยกล่าวว่า การยกฟ้องคำกล่าวโทษนายไชยบูลย์น่าจะเป็นผลดีต่อชาวพุทธ จะได้ทราบว่าพระเถระ ชั้นผู้ใหญ่บางรูปเป็นอย่างไรเข้าใจกฎหมายและพระวินัยแค่ไหน ขณะนี้ประชาชนคงไม่มีใครคาดหวัง เรื่องการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมแล้ว เหลือรอความหวังครั้งสุดท้ายจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น
ขณะเดียวกันมีรายงานแจ้งว่า วัดพระธรรมกายกำลังเร่งระดมทุนเพื่อมาจัดงานทอดผ้าป่า 10,000 วัดตามที่ประกาศไว้อย่างหนัก และยังจะเพิ่มเป้นหมายออกไปเป็น 30,000 วัดด้วย เพื่อสร้างภาพความยิ่งใหญ่และเรียกศรัทธาคืนมา แต่ประสบปัญ ทางด้านการเงินที่ลดลงไปทุกวัน โดยมีการ เปลี่ยนแผนใหม่ จากที่เคยวางไว้ว่าจะให้เข้ามารับผ้าป่าพร้อมกัน เป็นการทะยอยให้มารับผ้าป่าคราวละ 10-20 วัดแทน