เดลินิวส์ 16/8/2542
ไชยบูลย์โฆษณา'พระดูดทรัพย์'เต็มที่
ปลาไหล"ไชยบูลย์"หมดความละอาย สอนญาติโยมเร่งทำบุญจะได้ถึงธรรมกาย พร้อมสั่งเหล่าสาวกโหมโฆษณาปาฏิหารย์ พระดูดทรัพย์เต็มที่ หลังผู้ศรัทธาเสื่อมถอยลง แจงเหตุจัดงานผ้าป่า 20,000 บาท อ้างวัดถิ่นทุรกันดารยากไร้ไม่มีเงิน "มาณพ"ติง เตะเรื่องเข้ามหาเถรฯไม่ถูกต้อง ยืนยันฆราวาสฟ้องสงฆ์ได้แน่นอน ระบุพระเรี่ยไรนอกวัดผิดกฎหมายแน่ พระสังฆาธิการย้ำวัด พระธรรม กายตกเขียวมหาเถรฯแน่นอน ปล่อยไว้จะเกิดสังฆเภท จี้คณะผู้ปกครองสงฆ์ต้องผ่ามะ เร็งร้ายให้หมดไป เตรียมเรียก ผู้บริหารดี.เจมส์.ฯสอบปากคำ
ที่สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย ได้ออกมาเทศน์ให้แก่ญาติโยมและสาวกที่เดินทางมานั่งสมาธิและปฏิบัติธรรมตามปกติราว 3,000 คน โดยในช่วงหนึ่ง ได้กล่าวว่า มีพ่อค้าต่างถิ่นคนหนึ่ง คิดจะทำการค้าตลอดทั้ง 3 ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว และฤดูฝน และได้ตั้งร้านปักหลักค้าขาย พอรุ่งเช้าพระบรมศาสนาได้ไปบิณฑบาตรผ่านมา พระองค์ทรงทราบมรณะใจจิตของพ่อค้า ทรงเห็นอนาคตก็เลยทรงแย้มพระโอษฐ์ ทำให้พระอานนท์สงสัย ทูลถามเหตุนั้น
"พระองค์ทรงตรัสว่า อานนท์ พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนั้นไม่รู้อันตรายจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 ยังมัวเมาอยู่กับการค้าขาย ฟังแล้วพระอานนท์ ก็เกิดความเมตตาสงสาร จึงทูลขออนุญาตไปบอกความจริงกับพ่อค้าว่า จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น พอพ่อค้าได้ฟังก็เกิด ความกลัวอย่างจับใจ ทำให้รู้สึกสลดสังเวชใจคิดว่า ที่พึ่งเรายังไม่มีเลยแต่ความตายกำลังจะมาถึงแล้ว พ่อค้าจึงได้กราบขอพระบรม ศาสดาและพระภิกษุสงฆ์มารับภัตตาหารตลอด 7 วัน พระพุทธองค์ก็ทรงเมตตามาเป็นเนื้อนาบุญให้ในวันที่ 7"
นายไชยบูลย์กล่าวต่อไปว่า พระพุทธองค์ประทานโอวาทว่า ธรรมดาบัณฑิตไม่ควรประมาท อย่าคิดว่าเรายังไม่ตายก็มัวทำงานตลอด 3 ฤดู ผู้ประมาทเปรียบเหมือนคนที่ตายแล้ว เมื่อสิ้นสุดกระแสพระราชดำรัส พ่อค้าคนนั้นก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันต์เป็นอริยบุคคล ผู้เที่ยงแท้ต่อการนิพพาน มีชีวิตที่ประเสริฐปลอดภัยจากภายใน อบายภูมิและสังสารวัฎ หลังจาก 7 วันพ่อค้าก็ถึงแก่ความตาย
บัดนี้คือเวลาปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งยามนี้ไม่มีอักแล้ว ชีวิตพวกเราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน กำลังถูกกระแสความชรา ความเจ็บป่วย ความตายเบีดเบียนอยู่ทุกวัน ดังนั้นต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในช่วงนี้เร่งสร้างทำความดีให้เต็มที่ สร้างความเพียรให้ถึงธรรมกาย เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงวันไหน ต้องทำใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ ชีวิตก็จะปลอดภัย
นายไชยบูลย์กล่าวถึงเทศกาลธุดงค์วันแม่ ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยขอให้ญาติโยมทำร่างกาย และจิตใจบริสุทธิ์และรักษาระดับจิตใจให้อยู่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ในช่วงเทศกาลนี้ เป็น การรักษากายเนื้อเพื่อความดี จะได้ส่งผลบุญไปให้กับผู้ให้กำเนิด โดยไม่ให้มลทินผ่านเข้าไปทั้งทางกาย วาจาและใจ รักษากายเนื้อที่ท่านเลี้ยงดูมา ให้ใช้กายนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เป็นที่ครองของใจที่มีคุณภาพ ปราศจากความโลภ โกรธ หลง ให้รักษากายนี้ให้เข้าถึง พระธรรมกายภายในบุญจะบังเกิด พ่อแม่จะได้บุญมหาศาล
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวได้รายงานบรรยากาศในสภาธรรมกายสากล ด้านปีกขวาว่า ได้มีการนำโครงการใหม่ขึ้นมาบอกบุญ อาทิ มีกล่องรูปธรรมกายเจดีย์ ซึ่งได้มีการเจาะด้านบนเป็นช่องไว้หยอดเงินบริจาค มีเจ้าหน้าที่มาคอยสังเกตการณ์และคอยกัน ไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปในบริเวณดังกล่าว ส่วนการธุดงค์วันแม่นั้น ปรากฎว่ามีญาติโยมมาร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมาถึงครึ่งหนึ่ง ทั้งที่ทางวัดมีการคาดการณ์ ก่อนหน้านี้ว่า น่าจะมีญาติโยมมาร่วมโครงการราว 1 แสนคน ถึงแม้ว่าจะมีการให้ผู้นำบุญไปเกณฑ์คนมาร่วมอย่างเต็มที่ก็ตาม
"ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็คือ เด็กจากบ้านดงน้อย อ.ศรีขจรภูมิ สุรินทร์และจากศรีสะเกษ โดยผู้นำบุญบอกกับเด็ก เหล่านี้ว่าจะพามาทัศนาจรที่กรุงเทพฯ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น มีอาหาร ขนมไว้บริการเต็มที่ แต่ปรากฎว่าเมื่อรถทัศนาจร เดินทางมาถึงกลับมีการนำนักเรียนและเด็กเหล่านี้ไปที่วัดพระธรรมกายแทน และบอกว่านี่คือกรุงเทพมหานคร"
พิธีกรรมส่วนในช่วงบ่ายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนำเทปการบรรยายของนายไชยบูลย์เมื่อครั้งที่กล่าว กับนักเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยคมาเปิดทางโทรทัศน์วงจรปิด นอกจากนี้พิธีกร ของวัดได้มีการโฆษณาสรรพคุณพระมหาสิริราชธาตุ โดยเฉพาะในเรื่องปาฏิหารย์อภินิหารย์มาเผยแพร่กแ่ญาติโยม ยืนยันว่าพระมหาสิริราชธาตุช่วยเรื่องรอดตาย หายป่วยและทำให้ร่ำรวย เนื่องจากที่ผ่านมาญาติโยม และผู้มีจิตศรัทธาวัดพระธรรมกายลดจำนวนลงอย่างมากมาย สังเกตได้จากการจัดงานของวัด ในช่วงที่ผ่านมาที่มีญาติโยมเดินทางมาร่วมงานน้อยลงเรื่อยๆ
ด้านนายวีระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้ามูลนิธิธรรมกายกล่าวว่า ในวันที่ 22 ส.ค.วัดพระธรรมกายจะมีการจัดงานทอดผ้าป่าทั่วประเทศกว่า 10,000 วัด เนื่องจากเห็นว่าวัดต่างๆโดยเฉพาะวัดที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารขาดแคลนปัจจัย 4 เหมือนกับที่นายไชยบูลย์ได้เทศน์แก่ญาติโยมว่า เป็นการดำเนินการเพื่อพระพุทธศาสนา จึงอยากให้ประชา่ชนทั่วไปได้ทราบว่า จากจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อให้สามเณรมีกำลังใจในการเล่าเรียน นำคุณธรรมต่างๆไปพัฒนาประชาชน เงินทุกบาทนั้นสำคัญแก่วัดต่างจังหวัดมาก 100-200 บาทก็สามารถทำให้วัดอยู่ได้
ต่อข้อถามที่ว่า ในวันที่ 22 ส.ค.เป็นการระดมคนมาเพื่อสร้างำาพนั้น นายวีระศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ความจริง ขณะนี้มีวัดต่างๆได้ยื่นความจำนงค์มา 10,000 วัดแล้ว จึงขอความร่วมมือทุกคนมาร่วมงาน จาการสอบถามประชาชนในพื้นที่ก็เห็น ความสำคัญว่า วัดใกล้เคียงก็มีความต้องการช่วยเหลือพระพุทธศาสนา แต่ยังขาดแคลนปัจจัยอยู่ ใครมีเท่าไหร่ก็ทำบุญเท่านั้น ไม่ใช่การเรี่ยไรเงินมากมายมกาศาลอย่างที่เป็นข่าว
ส่วนกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการยืนยันว่า ฆราวาสสามารถฟ้องร้องภิกษุสงฆ์ได้นั้น ไม่ขอแสดงความคิดเห็น เพราะอยู่เหนืออำนาจหน้าท ี่และเกินความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ขอศึกษากระบวนการนิคหกรรมก่อน
นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา เปิดเผยถึงความสับสนที่เกิดขึ้นจากการตีความของเจ้าคณะภาค 1 ว่า ความจริงแล้วฆราวาสฟ้องพระสงฆ์ได้แน่นอน เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่มานานแล้ว แต่ไม่อยากไปทะเลาะกับใคร เพราะถ้าฆราวาสฟ้องพระไม่ได้ พระจะกลายเป็นบุคคลพิเศษไป พระพุทธเจ้ายังทรงอนุญาตอนุญาตให้ฆราวาสฟ้องสงฆ์ แต่ไม่อนุญาตให้สงฆ์ฟ้อง ฆราวาสเป็นหลักในพระธรรมวินัยอยู่แล้ว คิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเข้าที่ประชุม มหาเถรฯเพราะตามมติมหาเถรฯนั้น สั่งให้มีการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมก็ต้องทำตามนั้น ไม่ต้องกังวลหรือสอบถามใครให้เสียเวลาอีก
"ขั้นตอนตามกฎหมายนั้นใช้ได้แล้ว และเข้าคณะสงฆ์ผู้พิจารณชั้นต้นได้แล้ว ปัญหาขณะนี้อยู่ที่ว่าพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 จะโลเลอีกหรือไม่ ถ้าฆราวาสฟ้องสงฆ์ไม่ได้ก็เจ๊ง เมื่อพระสุเมธาภรณ์นัดนายไชยบูล์กับพระทัตตชีโวมารับฟังคำฟ้องให้เรียบร้อยแล้ว ศาลสงฆ์ก็จะเกิดขึ้นโดยทันที ขั้นตอนนี้คณะสงฆ์ผู้พิจารณาจะต้องตั้งพระที่เป็นกลางไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มาเป็นโจทก์ฟ้อง ผมในฐานะที่เป็นผู้กลาวหาต้องนำหลักฐานไปพูดคุยกับโจทก์ที่เป็นพระ"
ส่วนกรณีพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายสอบถามมายังกรมการศาสนา กรณีที่วัดเชิญชวนให้ประ ชาชนเช่าพระมหาสิริราชธาตุหรือพระดูดทรัพย์ โดยมีการโฆษณาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ต่างๆนั้นขัดต่อหลักศาสนาหรือไม่ นายมาณพกล่าวว่า พ.ร.บ.เรี่ยไรได้ห้ามไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ให้เรี่ยไรนอกวัด ยกเว้นกรณีเดียวคือผ้าป่าช่วยชาติเช่น กรณีของหลวงตามหาบัว ดังนั้นถ้า วัดพระธรรมกายมีการเชิญชวนให้เช่าพระนอกวัดถือว่ามีความผิดแน่นอน เต่เรื่องนี้ต้องให้คณะสงฆ์ผู้พิจารณาชี้ชัด กรมการศาสนา คงทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีการออกกฎระเบียบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามในสมัยที่นายปราโมทย์ สุขุม ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งคณะทำงานยกร่างพ.ร.บ.เรื่องการเช่า การสร้าง การโฆษณาพระพุทธรูป แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยและคัดค้านจนเรื่องเงียบหายไป
ในวันเดียวกันพระดุษฎี เมธฺงกุโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ ได้กล่าวในรายการตามหาแก่นธรรมว่า กรณีปัญหา วัดพระธรรมกายนั้นเปรียบเสมือนมะเร็งร้าย ที่ขยายตัวได้รวดเร็วมาก หากปล่อยเอาไว้นาน เท่าใดร่างกาย ก็จะอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น หากคณะปกครองสงฆ์มีประสิทธิภาพกล้าผ่าตัดมะเร็งร้ายนี้ปัญหาทุกอย่างก็จะจบ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงปฏิบัติแล้วด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แต่คณะปกครองสงฆ์กลับไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นจะต้องตอบสังคมให้ได้ว่าทำไม
ส่วนกรณีที่คนของวัดพระธรรมกายไม่ยอมให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวน โดยมักอ้างเหตุผลว่าป่วยนั้น เจ้าอาวาสวุดทุ่งไผ่กล่าวว่า ขอให้ป่วยจริงอย่างที่แอบอ้าง แต่เกรงว่าความเป็นพระจะหมดไป เพราะไม่รักษาความจริงไม่มีสสัจจะ จะสอนใครก็ไม่ได้ การทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะเป็นตัวอย่างให้พระอื่นๆ ทั้งที่ความจริงวัดพระธรรมกายก็ไม่เกรงกลัวกฎนิคหกรรม อีก 10 ปีก็เอาผิดไม่ได้ เนื่องจากคณะสงฆ์ผู้พิจารณาครึ่งหนึ่งยืนอยู่ฝ่ายวัดพระธรรมกาย ก็น่าจะมีการยกเลิกกระบวนการนิคหกรรมเสีย
"อาตมาเห็นว่ากฎนิคหกรรมไม่ใช่ที่พึ่งของประชาชนต่อไป อย่าไปหวังอะไรเลย เพราะเขาตกเขียวไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าไม่สามารถจัดการกรณีปัญหาวัดพระธรรมกายได้ ก็จะเกิดความแตกแยกเป็น 2 ฝ่ายอย่างที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงเตือนไว้ว่าเป็นสังฆเภท พระที่รักษาพระธรรมวินัยก็อาจจะเป็นส่วนน้อยไปแล้ว"
นายสนั่น ชุมวรถายี ทนายความกล่าวว่า ถ้าไม่สามา่รถจัดการกับนายไชยบูลย์ได้ พุทธศาสนาคงล่มสลายแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องโทษว่าเป็นความผิดทั้งพระและฆราวาส อย่างไรก็ตามประเด็นหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถจัดการกับปัญหา นี้ได้ก็เพราะกฎหมายปกครองสงฆ์ร่างขึ้นมาเลียนแบบกฎหมายปกครองฆราวาส ไม่ได้ให้อำนานจแก่สมเด็จพระสังฆราชอย่างแท้จริง จึงควรแก้ไขกฎหมายใหม่และกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการมหาเถรฯด้วย
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กล่าวว่า ไม่ทราบว่าฆราวาสฟ้องสงฆ์ไม่ได้นี้เป็นตำราของประเทศไหน เพราะพระพุทธเจ้าฝากพระศาสนาไว้กับพุทธบริษัท 4 ดังนั้นจะมาอ้างว่าคนเหล่านี้มีคุณธรรม และถือศีลน้อยกว่าจึงฟ้องไม่ได้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง การตีความเช่นนั้นถือเป็นการช่วยเหลือกันอย่างออกหน้าออกตา ถือเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ของนายไชยบูลย์มากกว่าพระพุทธศาสนา ขณะนี้มีคนเขาพูดว่ามีการตกเขียวพระ เพราะมีการจ่ายเงินกันไปส่วนหนึ่งแล้ว ต่อไปในอนาคตก็อาจจะมีการจ่ายเพิ่มเติมกันอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 16 ส.ค.นี้พนักงานสอบสวนจะเรียกผู้บริหารบริษัทดี.เจมส์. ฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนสนิท ของนายไชยบูลย์มาสอบสวน อาทินางกมลศิริ คลี่สุวรรณ นายกฤษณะพงษ์ ภู่ตระกูล นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิดา นายอารักษ์ พิพัฒน์ปัทมา นายเพชร แก่นทรัพย์ น.ส.วิชญา ไตรวิเชียร เป็นต้น รวมทั้งกรรมการมูลนิธิธรรมกายอีกส่วนหนึ่งด้วย ทั้งนี้เพื่อต้องการเร่งปิด สำนวนคดีให้เร็วที่สุด เนื่องจากได้ใช้เวลาในการสอบสวนมานานกว่า 60 วันแล้ว นอกจากนี้พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัต ผช.ผบช.สง.ก.ตร.และพ.ต.ท.สราวุฒิ บุญศิริโยธิน สวส.สน.วังทองหลางจะเข้านมัสการพระธรรมปิฎกที่วัดญาณเวสกวัน เพื่อขอคำชี้แนะด้านธรรมะด้วย
ส่วนเรื่องความล่าช้านั้นเพราะมีการมุ่งประเด็นเรื่องที่ดินมากจนเกินไป น่าจะประเด็นเรื่องเงินฝากก่อนเพราะมีหลักฐานมากมาย จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะ แต่ขอให้เชื่อสามารถดำเนินการด้วยความถูกต้อง เพราะขณะนี้ผู้บริหาร ระดับสูงทุก หน่วยร่วมกันดำเนินการในเรื่องนี้เอง สำหรับกรณีพระมหาสิริราชธาตุนั้นขณะนี้ตำรวจสามารถรวลรวมมูลความผิดได้แล้ว โดยสภ.อ.คลองหลวงพบหลักฐานการแจ้งความในเรื่องนี้หลายคดีด้วยกัน ซึ่งจะนำมาเป็นหลักฐานเพื่อ ดำเนินการกับนายไชยบูลย์ได้แน่นอนต่อไป