เดลินิวส์ 13/8/2542
ฆราวาสไร้สิทธิฟ้องเอาผิดสงฆ์ เจ้าคณะ 1 ฮัลโหลว่า'สมศักดิ์'
ตีความกฎนิคหกรรมแล้วพระพรหมโมลีชี้ขาดฆราวาสไม่มีสิทธิ์ฟ้องพระสงฆ์ ปิดปากเจ้าคณะ จังหวัด ปทุมธานีห้ามให้สัมภาษณ์ 7 วัน "สมศักดิ์" ช็อกได้รับรายงานเจ้าคณะภาค 1 อุ้มปลาไหล "ไชยบูลย์" ต่อ สั่ง "พิภพ" สอบข้อเท็จจริงด่วน ระบุเกิดขบวนการปกป้องธรรมกาย ขนาดเจ้า คณะ ภาคบางรูป ลงทุนแจกหนังสือหนุนวัดฉาว หวั่นศาสนาพุทธเถรวาทจะพังในคราวนี้ พระสุเมธาภรณ์ เชื่อไม่จบง่ายคำตีความต้องให้มหาเถรฯ พิจารณาใหม่ ตำรวจไม่รอ สั่งรูดเมือกปลาไหล สรุปสำนวน สัปดาห์ หน้า หลังสาวกพระปลอมไม่ยอมมาให้ปากคำ วอนมหาเถรฯ ฟังเสียงประชาชนด้วย หวั่น ถูกบอยคอต เลิกใส่บาตร
ที่กองปราบปราม เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง. ก.ตร. ในฐานะหัวหน้า ทีมสอบ สวนคดีฟ้องร้องนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกาย เรียกประชุมทีมงานสอบสวน อาทิ พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัตร ผู้ช่วย ผบช.สง.ก.ตร.,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก. 1 ป., พ.ต.ท.จรุงวิทย์ ภุมมา รองผกก. 3 ป., พ.ต.ท.ศุภพล อรุณสิทธิ์ รอง ผกก. 3 ป. ที่ห้องประชุม กก. 3 ป.
ภายหลังการประชุมที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.ท.วาสนา กล่าวว่า เป็นการเรียกพนักงาน สอบสวนสรุปสำนวนเพื่อให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกินสัปดาห์หน้า เพราะไม่ได้รับความร่วมมือ จากพยานฝ่ายวัดพระธรรมกายที่ปฏิเสธจะให้ข้อมูล ทำให้ต้องเร่งสรุปสำนวนตามที่มีผู้กล่าวโทษไว้ ส่วนหลักฐานที่กรมการศาสนานำมามอบให้ถือเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก ซึ่งต้องใช้เป็นเอกสารประกอบสำนวนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานฝ่ายธรรมกายมา สอบปากคำครั้งที่ 2 คือ น.ส.จิราวัสส์ อุ่นรัว พนักงานบัญชีและการเงินของบริษัท ดีเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้เดินทางมาให้ปากคำอีกครั้ง หลังจากที่เคยออกหมายเรียกไปแล้วแต่ยังไม่ติดต่อกลับมา
แหล่งข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว. ศึกษาธิการ ได้รับรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานตามกฎนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ว่า น่าจะมีปัญหา เนื่องจากเกิด กระบวนการยื้อในระดับพระเถระชั้นสูง เนื่องจากท่าทีของพระพรหมโมลีส่อเค้าว่าจะไม่ตีความ โดยดึงเรื่องให้ยืดเยื้อออกไป ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เรียกพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัด ปทุมธานีมาพบ และไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใด ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องจะต้อง มีปัญหาและไม่มีการ ตีความกฎนิคหกรรมหรือไม่ก็จะให้ยืดเยื้อ สุดท้ายอาจออกมาในรูปฆราวาสฟ้องไม่ได้
"เรื่องนี้นายสมศักดิ์ถือเป็นเรื่องจริงจังมาก เพราะคิดว่าจะทำให้ลดความไม่พอใจของประชาชนไปได้ แต่มาพบกับ กระบวนการสงฆ์เช่นนี้ก็เลยเป็นปัญหา จึงสั่งการให้นายพิภพไปประสานกับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อกำหนด วันเรียกตัวนายไชยบูลย์มารับทราบข้อกล่าวหาตามกฎนิคหกรรมอีกครั้งให้ชัดเจนว่าจะเป็นวันไหน เพื่อที่จะได้ประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จัดกำลังมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยต่อไป"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาในหมู่คณะสงฆ์ โดยมีการเชื่อกันว่าปัญหาธรรมกายเกิดจากขบวนการต่างชาติมาจ้องทำลาย และมีพระระดับเจ้าคณะภาคลงทุนไปแจกหนังสือที่ออกมาสนับสนุนวัดพระธรรมกาย และโจมตีบุคคล ที่ชี้แจง ปัญหาธรรมกายออกมาสู่สาธารณชน อาทิ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), นายเสฐียร พงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ส่วนที่วัดมูลจินดารามในวันเดียวกัน พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเปิดเผยถึงกรณีที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ได้นัดหารือเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้มีการพิจารณา สำนวนคำฟ้องวัดพระธรรมกายโดยละเอียด ตลอดจนคุณสมบัติของผู้กล่าวหาตามกฎนิคหกรรม ปรากฏว่าเจ้าคณะภาค 1 เห็นว่า ฆราวาสไม่สามารถ ฟ้องกล่าวโทษพระภิกษุได้ ซึ่งตรงกับประเด็นที่นายไชยบูลย์และพระทัตตชีโวยื่นหนังสือทัด ทานไว้
"ความจริงแล้วหลังจากที่ทางวัดพระธรรมกายไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา อาตมาพิจารณาแล้วเห็นว่าเรียกไปอีกก็คงไม่มา จึงให้พระปริยัติวโรปการ สรุปสำนวนฟ้องทั้งหมดแล้วเสนอไปยังเจ้าคณะภาค 1 เมื่อวันที่ 8 ส.ค. พร้อมกับให้เหตุผลในหนังสือว่า ได้เรียกบุคคลทั้ง 2 มาแล้วแต่ไม่ยอมมา เมื่อหนังสือถึงมือเจ้าคณะภาค 1 ก็ได้มีการนัดหมาย คณะสงฆ์ผู้พิจารณาหารือกัน เมื่อสรุปว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ คำฟ้องก็ต้องตกไป อาตมาได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะภาค 1 ว่าห้ามไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน 7 วัน"
ต่อข้อถามที่ว่าจากนี้ไปถือว่ากระบวนการสงฆ์ยุติลงใช่หรือไม่ พระสุเมธาภรณ์กล่าวว่า เจ้าคณะภาค 1 มีความเห็นตามข้อกฎหมายที่ระบุในกฎนิคหกรรมมาตรา 4 (8) ก. ซึ่งพระเท่านั้นที่จะฟ้องพระได้ แต่หากว่าตามธรรมวินัยแล้วการที่สงฆ์ไปกล่าวโทษสงฆ์ดวยกันนั้นเป็นการไม่สมควร และหากมีสีกาที่มีสัมพันธ์กับพระมาฟ้องตามกฎนิคหกรรมก็เท่ากับฟ้องไม่ได้ ยังเชื่อว่าการตีความครั้งนี้จะเป็นปัญหาต้องนำเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคมอีกครั้ง
พระสุเมธาภรณ์กล่าวต่อไปว่า จากนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้น แต่ว่าไปแล้วก็ยังไม่พ้นหน้าที่เพราะต่อไป หากเข้าสู่การพิจารณาคณะสงฆ์ผู้พิจารณาชั้นต้นก็ต้องเข้าร่วมอยู่ดี ต่อจากนี้ก็รอว่าเจ้าคณะภาค 1 จะให้ดำเนินการอย่างไร แต่เมื่อเช้าวันที่ 12 ส.ค. ไดให้พระปริยัติวโปการนำหนังสือปะหน้า และสำนวนคำฟ้องฉบับใหม่ไปยื่นให้แก่เจ้าคณะภาค 1 เพราะฉบับก่อนหน้านี้จ่าหน้าซองผิด
ขณะเดียวกันที่วัดพระธรรมกาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีญาติโยมที่ศรัทธาในตัวนายไชยบูลย์กว่า 1,000 คน เดินทางมาปักกลดที่บริเวณสภาธรรมกายสากล เพื่อปฏิบัติธรรมให้ครบ 1 ล้านชั่วโมงตามคำชักชวนของนายไชยบูลย์ แต่กลับมีการเลื่อนการปฏิบัติธรรมเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ ออกไป โดยไม่ได้มีการแจ้งเหตุผลให้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรมทราบ ผู้มาปฏิบัติธรรมรายหนึ่งระบุว่า ทางวัดเลื่อนงานวันแม่ออกไปเป็นวันที่ 13 ส.ค. โดยไม่ได้แจ้งสาเหตุ ส่วนการตีความของเจ้าคณะภาค 1 นั้นถือว่าได้ให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย และจะได้เลิกใส่ร้ายนายไชยบูลย์เสียที
นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ยังไม่อยากให้กระบวนการสงฆ์จบลงตรงนี้ ซึ่งหลังจากเข้านมัสการพระพรหมโมลีในวันที่ 13 ส.ค. แล้วจะหาโอกาสไปนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลางและสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศเพื่อหารือในเรื่องนี้ รวมทั้งจะปรึกษากับนายจรวย หนูคง เพราะเป็นผู้ร่างกฎหมาย โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าการวินิจฉัยตีความของเจ้าคณะภาค 1 ยังต้องนำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯ อีกครั้ง อยากให้ พระสังฆาธิการ เป็นที่พึ่งของประชาชน พระควรอยู่ร่วมกับฆราวาส จะต้องหาทางเจรจาในเรื่องนี้อีกครั้ง
ส่วนกรณีที่วัดพระธรรมกายไม่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนนั้น ยอมรับว่าไม่เคยเข้าไป สัมผัสวัดพระธรรมกายว่าเป็นอย่างไร แต่โดยหลักการทั่วไปแล้ววัดต้องไม่ปิดกั้นให้ ประชาชนเข้าไปที่ผ่านมาก็เคยมีคำถามจากศิษย์วัดพระธรรมกายว่าวัดพระธรรมกายผิดตรงไหน ซึ่งได้ชี้แจงไปว่า ในเรื่องของอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นั้นไม่เคยเห็น แต่เรื่องพระธรรมคำสอนนั้นจะต้องตรงกับพระไตรปิฎกเท่านั้น พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระรามเก้ากาญจนภิเษกกล่าวว่า มีปัญหาในการเล่นตัวอักษรมากเกินไป ไม่ได้คำนึงถึงเจตนาในการแก้ปัญหาของกฎนิคหกรรม ทำให้ปัญหาที่ควรจบง่ายกลับยาก สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบจิตใจของประชาชนอย่างมากจำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เด็ดขาด หากประชาชนเบื่อหน่ายและไม่ศรัทธาพระสงฆ์เลิกการใส่บาตร จะกลายเป็นปัญหาสำคัญ ความจริง ต้องดูประวัติศาสตร์ว่าทำไมถึงบอกว่าฆราวาส ฟ้องพระได้หรือไม่ได้ ศีล 227 ข้อ ที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้นั้น มีทั้งพระเป็นโจทก์และฆราวาสเป็นโจทก์พุทธบริษัทต้องรับผิดชอบศาสนาร่วมกัน ฆราวาสจึงมีสิทธิฟ้องพระได้ พระผู้ใหญ่ควรฟังกระแสประชาชนถ้ากระแสนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง ฐานเสียงของพระคือศรัทธาประชาชนซึ่งสำคัญกว่าบัตรลงคะแนนเสียอีก
ต่อข้อถามที่ว่าปัญหาของวัดพระธรรมกายยืดเยื้อมานานจะจบอย่างไรนั้น พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า กระบวนการสงฆ์คงต้องยืดเยื้ออีกนาน แต่ประชาชนอาจจะพึ่งได้ทั้ง 2 ทาง เพราะพระดียังมีอีกมาก แม้บางครั้งพระที่เราเชื่อว่าดีที่สุดยังมีปัญหาแล้วพิสูจน์ไม่ได้ ขั้นตอนการตรวจสอบ ยุ่งยากมาก อำนาจรัฐยังเข้าไปตรวจสอบไม่ถึง แสดงให้เห็นถึงความไม่ร่วมมือกันของคนในแผ่นดิน ความเกรงใจที่มีต่ออำนาจรัฐถ้าเป็นเช่นนี้ความสงบสุขก็ไม่เกิด
ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว. ศึกษาธิการ ได้เปิดเผยว่า นายสำรวจ สารัตถ์ ผู้อำนวยการ สำนักเลขานุการมหาเถรสมาคม ได้รายงานให้ทราบว่าวินิจฉัยของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เกี่ยวกับกรณีฆราวาสฟ้องร้องกล่าวโทษพระสงฆ์ตามกฎนิคหกรรม ซึ่งเจ้าคณะภาค 1 แจ้งให้ทราบว่าเป็นการหารือภายใน โดยยังไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ ทั้งนี้จะได้มีการ แถลงให้ประชาชนทราบภายใน 2 วันนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นความลับ ควรเปิดเผยให้ประชาชนทราบโดยเร็ว หากฆราวาสไม่สามารถกล่าวโทษพระสงฆ์ได้ ก็จะได้หาตัวพนักงานคนอื่นมาดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ติดต่อขอเข้าพบเจ้าคณะภาค 1 อีกครั้งหนึ่งในวันนี้ เพื่อขอทราบว่าจะดำเนินการ ในเรื่องนี้อย่างไร พร้อมกันนี้ก็ได้ให้อธิบดีกรมการศาสนาประสานกับพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อ กำหนดวันเรียกเจ้าลัทธิธรรมกาย และรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมารับข้อกล่าวหา ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 18-19 ส.ค.ที่จะถึงนี้ และจะได้ประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเตรียมความพร้อม รองรับสถานการณ์ในวันดังกล่าว
รายงานข่าวจากวัดยานนาวาแจ้งว่า เมื่อเวลา 15.40 น. พระพรหมโมลีได้โทรศัพท์ เข้าเครื่องมือถือ ของนายสมศักดิ์ โดยได้มีการพูดคุยกันถึงการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย โดยเจ้าคณะภาค 1 กล่าวยืนยันว่าจะต้องมีการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมอย่างแน่นอน พร้อมกล่าวต่อว่านายสมศักดิ์ ที่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของพระ ควรปล่อยให้พระจัดการกันเอง ที่ผ่านมาสมัยที่นายอาคม เอ่งฉ้วน อดีต รมช.ศึกษาฯ ที่กำกับดูแลงานของกรมการศาสนาก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายงานสงฆ์ และไม่เคยเร่งรัด การทำงานอีกด้วย