เดลินิวส์ 8/8/2542
รมช.วิชัย รับข้องใจ ไชยบูลย์ เบี้ยวนัด
รมช.ศึกษาธิการสุดแสนจะข้องใจจะบุกไปกราบมหาเถรฯถามเรื่องการไม่ตีความกฎนิคหกรรม ชี้ขาดชาวบ้านฟ้องได้ ลั่นคำธรรมกายต้องจบ รุมสวดมหาเถรฯ ไม่ใช่ที่พึ่ง ของชาวพุทธคาดเกมนี้จะยื้อกันอีกอีกหลายปีให้คนเบื่อไปเอง ผลสุดท้ายก็ฟอกตัวให้"ไชยบูลย์"ขาวบริสุทธผุดผ่อง ยืนยันข้อมูลมีบิ๊กมส. 5 รูปหนุนหลัง ยิ่งเห็นภาพอสุรกายในศาสนา "วาสนา"นำทีมลุยพิจิตร สอบปากคำพยานมัดคอพระปลอมกว้านซื้อที่ดินทำเหมืองทอง ซ้ำชาวบ้านให้ปากคำถูกข่มขู่จากคนมีสี
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงปัญหาธรรมกายว่าอย่างไรก็ต้องจบเพราะได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว แม้นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกาย จะไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาที่วัดมูลจินดารามก็ตาม แต่ยืนยันจบแน่ และรู้สึกผิดหวังเช่นกันที่ไม่มีการเดินทางไปรับข้อกล่าวหา
"ความเห็นส่วนตัวก็คือพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี น่าจะประมวลเรื่องส่งคณะผู้พิจารณาชั้นต้นไปเลย และสำหรับหนังสือปฏิเสธไม่มาฟัง ข้อกล่าวหาที่ยื่นต่อเจ้าคณะปทุมธานีจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปคัดลอกไว้ ในสัปดาห์หน้าผมจะไปกราบนมัสการพระสุเมธาภรณ์ด้วย ส่วนเรื่องจะเป็น เล่นเกมประวิงเวลาหรือไม่น่าจะให้เกียรติกัน ไม่น่าจะเล่มเกม และควรทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา วัฒนธรรมคนไทยสอนกันมา"
ส่วนการที่มหาเถรสมาคม(มส.)ไม่ยอมตีความกฎมหาเถรฯฉบับ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม นายวิชัยกล่าวว่าจากการหารือกับผู้รู้ก็ชัดเจนว่าคฤหัสถ์ฟ้องรอ้งได้ แต่เมื่อไม่ยอม พิจารณาโดยให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา ก็ไม่เข้าใจ แต่คิดว่าจะต้องหาโอกาสไปกราบสมันการในเรื่องนี้ และขอยืนยันจะช่วย อำนวย ความสะดวกสนองงานพระสงฆ์อย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นในกระบวนการสงฆ์ ประชาชนอย่างเบื่อหน่าย จะพยายามทำอย่างดีที่สุด
ด้านพระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย กล่าวว่า ถ้าผ่านศาลสงฆ์คงใช้เวลา 3-4 ปี และผลอาจไม่เป็นอย่างที่ ประชาชนหวังได้เลย ที่ผ่านมากระบวนการทางสงฆ์ไม่ได้ให้ความหวังต่อไคนไทยและสถาบันศาสนา ที่พึ่งได้คือกระบวนการทางโลก ประการสำคัญคือ มีพระผู้ใหญ่อุ้มคนที่ถูกกล่าวหาอยู่ โดยไปมาหาสู่กับเป็นประจำกับมหาเถรฯ 4-5 รูป และก็มีการประกาศว่าจะแพ้ไม่ได้ ต้องรักษาธรรมกายไว้สุดชีวิต
"ฟังแล้วรู้สึกท้อแท้หมดหวังสำหคับพุทธศาสนิกชนไทย ที่จริงทางลึกทราบว่าเดิมทีจะมีการไปรับฟังข้อกล่าวหา แต่ได้มีการชี้นำปรึกษาจากพระผู้ใหญ่บางรูป ตอนนี้ธรรมกายคงถึงทางตัน จึงใช้ทุกทางให้ตัวเองรอด แต่ขอให้เชื่อว่าบาปกรรมีจริง ตอนนี้เอาสีข้างเข้าถูอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายก็ต้องจนแต้มเหมือนกัน"
พระอิสระมุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี จ.เพชรบุรี กล่าวว่าใครก็เอาออกว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ โดยไม่มีการไปรับข้อกล่าวหาเป็นธรรมชาติของคนที่มีทิฐิ ไม่กล้าสู้กับความจริงตั้งแต่เกิดเรื่องมาทีแรก ไม่ออกมาอธิบายหรือชี้แจง เชื่อทิฐิของตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิดหมด
"ในพุทธศาสนามีอสุรกาย เป็นสัตว์นรกชนิดหนึ่งที่อยู่ขุมต่ำสุด หน้าตาน่าเกลียดสุด ไม่กล้าสู่กับปัญหา มีนิสัย ขี้ขลาดตาขาว "
พระอิสระมุนีกล่าวอีกว่าไม่เชื่อปัญหาธรรมกายจะยุติด้วยกระบวนการนิคหกรรม โดยเจ้าคณะปทุมธานีบอกว่าจะให้โอกาสอีก 2 ครั้ง เรื่องมาถึงขาดนี้แล้ว ยังจะให้โอกาสอีก อย่างนี้แก้กฎใหม่ให้โอกาสไปเลย 20 ครั้งดีกว่าสะใจดี เพราะการดำเนินงานขัดกับความรู้สึกของประชาชน กระวนการต่าง ๆ ยืดเยื้อ ขัดข้องไปหมด ถ่วงเวลาไปมาก เชื่อว่ามหาเถรฯไม่มีปัญหาเข้าไปจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอิทธิผลต่อกัน และพระผู้ใหญ่บางรูปให้การสนับสนุนที่ชัดเจน
ปัญหาทั้งหมดจะยุติได้เมื่อตำรวจแจ้งข้อหาจับกุม และดำเนินคดี เพราะเป็นคดีฉ้อโกง และตำรวจน่าจะตั้งขัอหาหลอกลวงประชาชนทั้งประเทศ และยักยอกทรัพย์ เพราะอ้างนำเงินไปสร้างอะไรใหญ่ดตในพระพุทธศาสนา แต่กลับเอาไปซื้อที่ดินมากมาย
"อยากฝากชาวพุทธ เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ไม่มีมาก่อน โดยชาวพุทธสูญเสียมากสุด พุทธศาสนาที่แท้จริงถูกทำลายย่อยยับ ต่อไปนี้อย่านับถือศาสนาด้วยความงมงาย"
ขณะที่นายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ กล่าวว่าข้ออ้างที่นายไชยบูลย์ไม่ยอมารับ ข้อกล่าวหา ของตน เป็นเรื่องไร้สาระ ที่บอกว่าชาวบ้านฟ้องไม่ได้ โดยกฎนิคหกรรมบอกชัดชาวบ้านเป็นผู้กล่าวหาได้ แต่โจทก์จะเป็นพระ และการ ที่ไม่ยอมมา รับข้อกล่าวหา ทำให้ยิ่งสงสัยว่า มีพระผู้ใหญ่หนุนหลังหรือไม่ และไม่ให้เกียรติเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเลย ความจริงแล้วการเดินทาง ไปรับขอ้กล่าวหา และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก็จะได้หมดเรื่อง เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีจะได้ส่งเรื่องต่อไปให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้น การที่ไม่มาเป็นการท้าทาย อำนาจสงฆ์ และอำนาจรัฐ คงเป็นพวกที่วางแผนมากไปหน่อย พอถึงขณะนี้เลยคิดมากกลัวว่ามาแล้วจะถูกตำรวจจับและสึกเลย คงวางแผนว่าทำให้เรื่องยืดเยื้อ สื่อมวลชนจะไม่มีแรงติดตาม แล้วประชาชนจะลืมไปเอง
ส่วนการที่มหาเถรฯไม่ตีความกฎนิคหกรรม ทำให้ประชาชนยิ่งสงสัยความเป็นกลาง การโดยเรื่องไปให้พระพรหมโมลีไม่มีเหตุผล
ที่จ.พิจิตร 10.30 น. คณะพนักงานสอบสวน คดีวัดพระธรรมกาย เกือบทั้งหมดนำโดยพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. และพล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัตร ผช.ผบช.สง.ก.ตร. เดินทางไปสอบปากคำชาวบ้านเขาพนมพา อ.วังทรายพูน พิจิตร โดยมีพ.ต.ท.เสวก เอี่ยมมงคล สวป.สภ.อ.ชนแดน เป็นผู้ประสานงาน
พล.ต.ท.วาสนาได้ให้นายสมบูรณ์ ใจซื่อ ผู้ใหญ่บ้านเขาพนมพา ไปสำรวจที่ดินรอบเขา ที่ทางวัดพระธรรมกายกว้านซื้อในชื่อของนายถาวร พรหมถาวร และชื่อนายไชยบูลย์หลายร้อยไร่ โดยให้นายสมบูรณ์เป็นนายหน้า ติดต่อกับนายรุ่งธรรม พันธุ์ไพโรจน์ ,นางสาวอมรรัตน์ สุวิพัฒน์ หรือสีกาตุ้ย และนายถาวร
นายสมบูรณ์นำคณะสอบสวนไปชี้จุดแปลงต่าง ๆ ที่สำคัญเป็นบริวเณวัดเขาพนมพาเหนือที่ถูกรื้อถอน ทิ้งไว้เหลือแค่โครงสร้าง และจุดนัดพบ ประสานงานระหว่างสีกาตุ้ย นายถาวร ที่ฟาร์มนกกะทา รวมถึงแนวที่ดินซึ่งใช้แนวการปลูกข้าวโพด ระหว่างการตรวจสอบพื้นที่ก็ได้พบ ชาวบ้านที่เข้าไป ขุดทองคำบริเวณตีนเขา พนมพา และบริเวณใกลัเคียง ชาวบ้านนำทองคำบริเวณดังกล่าวมาแสดงให้ดูด้วย รวมถึงบอกว่าขุดทองขายได้ทุกวัน
บริเวณดังกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นทางผ่านสายแร่ทองคำที่ไหลจากบนเขา และได้มีการสั่งการให้ตำรวจดูแลและรายงานผลตลอดเวลา
ทางด้านนายสมบูรณ์เปิดเผยว่าให้ตนช่วยประสานงานในการซื้อที่ดินให้ โดยมีนายรุ่งธรรมติดต่อเป็นคนแรก จากนั้นเป็นนายถาวร และนางสาวอมรรัตน์ค่อย ติดต่อภายหลัง เกิดซื้อ-ขายที่ดิน เกิดจากความพอใจสองฝ่ายในราคาไร่ละ 1.5-2 พันับาท ที่ชาวบ้านร้องเรียนว่า ถูกข่มขู่ให้ขายที่ดิน ตนไม่ทราบ ที่ทราบเพียงว่าชาวบ้าน ขายเองเพราะเป็นหนี้ ส่วนการที่วัดเขาพนมพาเหนือถูกย้ายออกไปก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่กัน และเป็นมติของชาวบ้าน ที่ให้ย้ายวัดไปอยู่ที่แห่งใหม่
ส่วนเรื่องที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นเหมืองทองก็ไม่ทราบ และการที่ชาวบ้านไปฟ้องร้องเป็นเรื่องเกิดจากความไม่เข้าใจ และการที่นายไชยบูลย์ห่มจีวรมาสำรวจที่ ก็ไม่แปลกใจ เพราะนิสัยส่วนตัวก็๋ธรรมะธัมโมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนเป็นไปตามข่าวที่เสนอมา ที่ดินเป็นเหมืองทองคำจริง
ด้านนายวิเชียร โตทุ้ย อบต.หนองพระ วังทรายพูนกล่าวว่าตนเป็นคนแรกขายที่ไร่ละ 3 หมื่นบาท ให้นายถาวร และต่อมา นายถาวรกว้านซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ขายไม่ทราบมีทองคำ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่ วัดเขาพนมพาเหนือย้ายออกไปและได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้คืนที่ดินมา โดยจะระดมคนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมที่กรุงเทพฯ
นายปรง ยอดทหาร อายุ 58 ปี ชาวบ้านบริวเณเขาพนมพากล่าวว่าตนไม่ยอมขายที่ดินที่มีอยู่ 130 ไร่รอบเขา โดยได้รับการติดต่อจาก นายสมบูรณ์และนายหน้า หลายคน และได้มีการข่มขู่โดยใช้หลักจิตวิทยาให้รู้ว่าตนถูกจับตา อาทิมีคนแต่งชุดทหาร 7 คนมาเดินรอบบ้าน หรือซุ่มดู และเวลาไปไหน จะรู้สึกว่าถูกจับตาทำให้รู้สึกรำคาญ สุดท้ายก็มีการเสอนให้ร่วมทุนกันโดยตนออกที่ดินและจะมาทำเหมืองทอง แต่สิ่งที่ตนต้องการคือการเอาที่ดิน เขาพนพพาคืนมาเพราะวัดจะได้สอนหนังสือให้ชาวบ้าน ซึ่งไม่ค่อยไม่ความรู้ต่อไปอีก จะได้ไม่ถูกหลอก
ก่อนหน้านี้นายปรงกล่าวว่าวัดพระธรรมกายมอบหมายให้นายสมบูรณ์ดูแลที่ดินที่ซื้อขายจากชาวบ้าน และทำหน้าที่แลกที่ดินของวัด โดยให้นายสมบูรณ์เก็บ เกี่ยวผลผลผลิตจากที่ดินทั้งหมดและให้เงินเดือน 2,000 บาทในการดูแล ตอนหลังทราบว่าขัดแย้งเพราะนายสมบูรณ์ไม่สามารถ ทำให้ตนขายที่ดินจึงถูกตัดขาด และมอบให้นายสมาน โพนต้น ผู้ช่วยผู้ใหญ้บ้านดูแลแทนได้รับ 2,500 บาทต่อปี รถไถ 1 คัน และรถ 6 ล้อ 1 คัน . นางทองดี จันทร์สุขใจ อายุ49 ปี กล่าวตนมีที่ดิน 1 ไร่ 37 ตรว. เริ่มแรกนายสนามติดต่อให้ขายก่อน 2 งาน ให้เงินมา 1.5 หมื่นบาท ต่อมาติดต่อให้แลกเปลี่ยนที่ดินอีก 2 งานโดยอ้างว่าที่ใหม่ดีกว่าที่เดิมปลูกอะไรก็ขึ้นดี และเกลี่ยกล่อมจนยอมแลกที่ดิน แต่ปรากฎว่าที่ดินที่เหลืออีก 37 ตรว.ไม่ทราบหายไปไหม พยายามสอบถามก็ไม่รู้ แต่ภายหลังทราบว่าที่ดินของตน เป็นแหล่งแร่ทองคำก็เจ็บใจปวดร้าวอย่างมากโดนหลอกและที่ก็หายไปด้วย
ส่วนพล.ต.ท.วาสนาให้สัมภาษณ์ภายหลังการสอบพยานปากต่าง ๆ ว่าจากการสำรวจพบว่านายถาวร นายไชยบูลย์มีที่ดินหลายร้อยไร่ จึงมาตรวจสอบในพื้นที่จริง และสอบปากคำพยานบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องซึ่งให้การว่าขายที่ดินให้นายถาวรและนายหน้าคนอื่นๆ ซึ่งการสอบสวนจะนำหลักฐานที่ปรากฎ และการซื้อขายจริง มาเปรียบเทียบว่า แตกต่างกันหรือไม่ โดยได้ข้อมูลมาทั้งหมด 50 กว่าแปลง มีพยานเกี่ยวข้อง 30 กว่าคนและสอบไปได้มากแล้ว พอจะทราบข้อเท็จจริงที่สอดคล้อง เป็นประโยชน์ต่อสำนวน หลักฐานบางส่วนมาจากการโอนเงินจากบัญชีวัดที่ซื้อ-ขายที่ดิน
นอกจากนั้นยังพบประเด็นน่าสนใจตามที่เป็นข่าวว่า การกว้านซื้อที่ดินของวัดที่อ้างว่าจะใช้สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมนั้น จากพยานที่ให้การระบุว่าไม่เป็นไปตามนั้นน แต่ปลูกป่าบ้าง ทำเหมืองหินอ่อนบ้าง การลงพื้นที่ได้พบชาวบ้านที่หาทองคำตรงกับข่าวที่ลือกันว่าการซื้อที่ดินทั้งหมด เพื่อทำเหมืองทองน่าจะเป็นความจริงส่วนเจตนาจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ต้องวินิจฉัยอีกครั้ง
"เหตุที่ต้องเดินทางมาร่วมสอบสวนในพื้นที่ เพราะที่พิจิตรมีมีพนักงานสอบสวนแค่ 2 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จึงเห็นว่าพยาน เอกสารมีมากจึงต้องระดม กำลังจากส่วนกลาง มาช่วยสอบเร่งรัดให้จบเร็วขึ้น เพื่อสรุปประเด็น และยังต้องสอบอีกเกี่ยวกับบัญชีและบุคคลต่าง ๆ แต่คดีนี้งวดทุกทีแล้ว"