เดลินิวส์ 26/7/2542
2 สีกาคู่บารมี"ไชยบูลย์"มือดูแลธุรกิจหมื่นล้าน!!
กระจ่างชัดแจ่มแจ้งขี้มาทุกขณะ เมื่อทีมงานสอบสวนเล่นงานพระปลอม..."นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ตามกลิ่นเส้น ทางเงินที่ไหลเวียนเข้าออกของนายไชยบูลย์ ผ่องถ่ายไปยังสีกา และสาวกคนสนิท จำนวนมหาศาลหลายพันล้านบาท
เงินของนายไชยบูลย์คือเงินวัดที่ได้จากการบริจาค แต่กลับถูกดูดออกไปอย่างชนิดที่ไม่กลัวนรก!!!
ความจริงการกระทำที่อึมครึมใช้ภาพพระศาสนาเป็นม่านพรางตานี้เกิดขึ้นนานแล้ว ทว่าเหตุและปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งออกมา แต่กฎแห่งกรรมยังคงประกาศสัจจะอย่างเที่ยงตรง กรรมใดใครก่อ ก็ต้องรับกรรมนั้น !!!!
หากจะแบ่งธุรกิจที่พัวพันกับธรรมกายจะได้เป็น 2 ยุค โดยยุคแรก จะมีสีกาคนสนิทของนายไชยบูลย์เป็นมือไม้ในการจัดการทั้งหมด สีกาคนนี้ ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง โดยมีการจัดตั้ง บริษัทธุรกิจ นับสิบแห่งขึ้นมาดำเนินงาน และนาย ไชยบูลย์ส่งอุบาสก อุบาสิกาสนิทไปร่วมก่อร่างสร้างธุรกิจด้วย
ธุรกิจแรกที่กระโดดเข้าไป ดำเนินงานคือ การพัฒนาที่ดิน ในช่วงปี 2529-2530 โดยได้มีสาวกหลายคนของวัดมาร่วมขายที่ดิน และก็มีกลุ่มสาวกของวัดเช่นกันที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญ
การจัดสรรที่ดินครั้งนั้น สร้างรายได้มหาศาล และเงินที่ได้รับจากการขายที่ดินหลัก ๆ ก็คือใช้ไปกับการซื้อที่ดินเพื่อขยายอาณาจักรของวัดและซื้อที่ดินจำนวน 2,000 ไร่
ก้าวแรกสำหรับการทำธุรกิจมันสร้างผลตอบแทนอย่างมากมาย สิ่งที่ตามมาก็คือการขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่คิดว่าจะทำเงินได้ อีกทั้งธุรกิจการค้าน้ำมัน, คอมพิวเตอร์, การสื่อสาร ฯลฯ ภายใต้เครือข่ายบริษัทที่สีกาคนแรกนี้เป็นผู้ดูแล
แต่แล้วเมื่อมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องมีคำว่าผลประโยชน์ตามมา และเมื่อมีผลประโยชน์ก็ต้องมีคำว่า ขัดผลประโยชน์ โดยเมื่อเงินมากขึ้น บรรดาสาวกของนายไชยบูลย์โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นอุบาสกก็เริ่มระแวงสีกาสนิทคนแรก หลังจากที่ทรัพย์สินที่อยู่ในรูปบริษัทจำนวนมหาศาลพอกพูน และหวั่นเกรงว่าถ้าเกิดรายการเบี้ยวทุกอย่างจะสูญไปหมด
สุดท้ายจึงเกิดปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยในช่วงตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมปี 2534 บรรดาอุบาสกได้เปิดประชุมกรรมการบริษัทและยึดบริษัทเหล่านี้คืนมา ด้วยการ ปลดสีกาสนิทคนแรกนี้ออกจากการเป็นกรรมการของทุกบริษัทที่จัดตั้งขึ้น !!!
ผลก็คือสีกาคนนี้สู้ และขู่เล่นงานกันถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล เนื่องจากในการประชุมมีการทำผิดระเบียบ และปลอมแปลงเอกสาร
สุดท้ายทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมความกัน โดยฝ่ายสีกาคนนี้ก็กลับเข้ามายึดกุมอำนาจในบริษัททั้งหมดได้สำเร็จ และปลดกรรมการที่เป็นอุบาสกทั้งหมดออกไปจากบริษัทในเดือนเมษายน 2534
และเหมือนกับเป็นผลแห่งกรรม เพราะความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์นี้เองทำให้นายไชยบูลย์ตกที่นั่งลำบากจนถึงปัจจุบัน !!!
สาเหตุเพราะเดิมการซื้อที่ดินจะใช้ชื่อบริษัทต่าง ๆ ที่สีกาคนแรกนี้ดูแลเข้าไปเป็นผู้ครอบครอง แต่เมื่อเกิดปัญหาความไม่ไว้วางใจขึ้นมา ที่ดินทั้งหมดจึงต้องใส่ชื่อนายไชยบูลย์แทน เช่นที่พิจิตร หรือเพชรบูรณ์ ที่ปรากฏชื่อนายไชยบูลย์เข้าครอบครองเป็นครั้งแรก ทั้งที่ธรรมกายได้พัวพันกับธุรกิจที่ดินมาตลอด
นี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมนายไชยบูลย์ต้องใส่ชื่อของตัวเองเป็นผู้ซื้อที่ดิน!!!
ถึงแม้ว่าในระยะต่อมาจะมีความประสานความเข้าใจกันได้ แต่ทว่าก็สายเกินไป เพราะยุคทองของธุรกิจที่ดินได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จะทำโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาใหม่มีความเสี่ยงสูง และทำให้เงินจำนวนมหาศาลไปจมกับที่ดินเหล่านี้ที่ซื้อไว้
แต่นายไชยบูลย์ก็เข็นโครงการสูบบุญโครงการใหม่ขึ้นมา นั่นคือ โครงการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์
ผลประโยชน์ของมหาธรรมกายเจดีย์จะอยู่ที่การดูดคนให้มาทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว ในราคาองค์ละ 1-3 หมื่นบาท โดยจะได้รับพระของขวัญเป็นพระดูดทรัพย์ 1 องค์ตอบแทน เป้าหมายจะสร้างให้ได้ 1 ล้านองค์
หากได้ตามเป้ายอดเงินจากโครงการนี้จะสูงหลายหมื่นล้านบาท โดยเงินที่ได้มาจะถูกกันเป็นค่าใช้จ่าย 3 ส่วนหลัก คือ ใช้สำหรับการก่อสร้างเจดีย์, ใช้สำหรับการหล่อพระธรรมกายประจำตัว และใช้สำหรับการผลิตพระดูดทรัพย์เป็นของขวัญให้ผู้ทำบุญ
สำหรับการก่อสร้างเจดีย์ก็มีบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับสาวกของนายไชยบูลย์เข้ามาดูแล ส่วนการหล่อพระธรรมกายประจำตัวนั้นหล่อกันเองในวัด แต่ทว่าจุดที่ กองปราบฯกำลังดมกลิ่นก็คือการผลิตพระดูดทรัพย์นี่เอง เนื่องจากมีการว่าจ้างบุคคลภายนอกให้ผลิตขึ้นมา และราคาพระดูดทรัพย์ที่จ่ายออกไปทำท่าจะแพงลิบลิ่ว!!!
หรือถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อเงินที่นายไชยบูลย์ได้จากการทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว ก็ถูกผ่องถ่ายออกไปจากวัด โดยบังหน้าในรูปการจ่ายเงินค่าจ้างผลิตพระดูดทรัพย์นั่นเอง
และปรากฏว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการดำเนินงานดูดเงินโดยใช้พระดูดทรัพย์เป็นเครื่องกำบัง ก็เป็น สีกาสนิทอีกคน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวในแง่การถือหุ้น
ความชัดเจนของเรื่องทั้งหมดคงเกิดขึ้นในเดือนหน้า หลังจากพนักงานสอบสวนสรุปพยาน หลักฐานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว
และจะได้รู้กันเสียทีว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามที่บังอาจเอาศาสนาบังหน้า ประพฤติตนเยี่ยงผีบุญสุดท้ายจะได้รับผลตอบแทนเยี่ยงใด!!!!.