page4

เดลินิวส์ 16/7/2542

ตร.เจอข้อมูลเด็ด'ไชยบูลย์'ควงสีกากีส่องเพชร

ตำรวจส่ง 4 ทีมพระกาฬ าลุยเจอ ข้อมูลเด็ด เจ้าลัทธิธรรมกาย ย่องไปส่องเพชร กับสีกาสนิท ตอนเที่ยงคืน ที่บริษัทจิวเวอรี่ดัง มัดคดีฉ้อโกงจับกระชากผ้าเหลือง "วาสนา" ลั่นคำ "ไชยบูลย์" ไม่มาให้ปากคำ ออกหมายจับแน่ ตีวงสอบเส้นทางโอนเงิน พบผ่องถ่ายอีก 200 ล้าน ไปยังสาวก อีก 6 คน ดมกลิ่นทุกแบงก์ เพิ่ม ทีมสอบสวน ดึง "อัศวิน ขวัญเมือง" ร่วมวงแฉ 3 พระระดับบิ๊ก คอยอุ้ม ตลอดเวลา กรุแตกแล้วกองปราบพบหลักฐานที่ดิน จ.เลย พระแกนนำ ธรรมกาย สะบัดจีวร ไปกว้านซื้อ ไล่ตั้งแต่ "ทัตตชีโว" รองเจ้าอาวาส "สุธัมโม" ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รายล้อมไปด้วย สาวกคนสำคัญ รวมถึง 4 สีกาใกล้ชิดครบครัน แถมยังให้ มูลนิธิธรรมกาย สาขา 2 ไปซื้อไว้อีก ถือครองรวมกันกว่า 5 พันไร่

การสอบสวนดำเนินคดีกับพระปลอม "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" เริ่มปรากฏหลักฐานชัดขึ้นทุกขณะ โดยได้มีการส่งทีมสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมถึง 4 ทีมกระจายออกไป โดยจุดสำคัญ คือภาคเหนือ และพบข้อมูลน่าตระหนกคือพระระดับนำในวัดพระธรรมกายเข้าร่วมขบวน การกว้านซื้อที่ดินที่ จ.เลย ด้วย และเรียงราย ไปด้วยสีกาสนิท ของนายไชยบูลย ์แทบจะครบทุกคน

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ทีมสอบสวนทีมแรก นำโดย พ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียงแสงส่อง ผกก. 3 ป. พร้อมคณะเป็นทีมงานสายแรกเดินทางมายังที่ดิน อ.ภูเรือ จ.เลย เมื่อเวลา 10.30 น. โดยเข้าพบกับ นายประสิทธิ์ พิมพา เจ้าหน้าที่พนักงานที่ดิน เพื่อสอบปากคำ โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีสาวกนายไชยบูลย์เข้ามาซื้อที่ดิน 21 แปลงอยู่ ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ ประมาณ 1,000 ไร่ ประกอบด้วย นายประเสริฐ นรินทร์พันธ์ ,นางวรรณา อุดมผล, น.ส.พัชนี วัชรศรีโรจน์, นายโดม พโยยม, น.ส. สุรีย์ สรรค์สิริกุล และนายสุรพล จึงวิวัฒนาภรณ์ โดยบุคคลเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายสอง วัชรศรีโรจน์ ศิษย์คนสำคัญของนายไชยบูลย์ทั้งสิ้น ที่ดินเหล่านี้ซื้อ-ขายเมื่อปี 2534-2539 โดยจะมีการเชิญ เจ้าของที่ดินเดิม มาสอบปากคำ

ต่อมาเวลา 13.30 น. พ.ต.อ.ฉัตรกนก เดินทางต่อไปยังสำนักงานที่ดินอำเภอด่านซ้าย เพื่อสอบปากคำนายสมใจ ไล้พันธุ์ เจ้าพนักงานที่ดิน โดยจากการตรวจสอบ พบว่ามีที่ดินของ สาวกนายไชยบูลย ์มากว้านซื้อถึง 4,000 ไร่ ที่สำคัญมีพระแกนนำในวัดพระธรรมกายมาซื้อด้วย เป็นการซื้อที่ดินทั้งหมด 43 แปลง

รายชื่อที่ครอบครอง ที่ดินแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ โดยกลุ่มแรกได้แก่ พระระดับแกนนำในวัดได้แก่ พระภาวนาวิริยคุณ รองเจ้าอาวาส ซื้อในนามพระเผด็จ ทัตตชีโว (ผ่องสวัสดิ์), พระอำนวยศักดิ์ โตศิริพัฒนา ซื้อทั้งในนามพระอำนวยศักดิ์ มุนิสักโก และใช้ชื่อนายอำนวยศักดิ์ โดยก่อนบวชพระอำนวยศักดิ์เป็นอุบาสกคนสนิทของ วัด และได้ไปลงทุน ก่อตั้งกิจการ หลายอย่าง ร่วมกับสีกาสนิทและศิษย์สนิทของนายไชยบูลย์, พระสุธรรม สุธัมโม ซื้อทั้งในนามที่เป็นพระและชื่อนายสุธรรม ตีระวนิช โดยก่อนบวช พระสุธรรมเป็นเลขานุการ มูลนิธิธรรมกายมาก่อน

กลุ่มที่ 2 เป็นสีกาสนิท ที่มีชื่อครอบครองที่ดินได้แก่นางจิราวัฒน์ ศรีสัตนา หรือ"สีกาอี๊ด" สีกาสนิทและมีการลงทุนทำธุรกิจมากมายที่เกี่ยวกับวัด รวมถึงเกี่ยวกับพระอำนวยศักดิ์, น.ส.วิชญา ไตรวิเชียร หรือ "สีกานัส", นางกรกมล ไทยอยู่หรือ "สีกาตุ๊", นางเพียงนิล ศิริเกษม หรือ "สีกาปุ๊", นางสงบ ปัญญาตรง

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มของ มูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นมูลนิธิสาขาของวัดพระ ธรรมกาย ซึ่งซื้อในนามของมูลนิธิเอง, ในนามของ น.ส.สมพร ต่อตระกูล ประธานมูลนิธิ, น.ส.นวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ เลขานุการมูลนิธิ, น.ส.ภาวิณี เตชะพิสิษฐ์ เหรัญญิกมูลนิธิ และ น.ส.เสาวลักษณ์� เปี่ยมปิติ กรรมการมูลนิธิ

กลุ่มที่ 4 เป็นสานุศิษย ์คนสำคัญได้แก่นายสอง วัชรศรีโรจน์, น.ส.ชนัสถ์นันท์ สุขุมพานิช ซึ่งเข้ามาเพราะนายสอง, นายพิษณุ คล้ายทิม, คุณหญิงอุไรวรรณ หงษ์ประภาส หรือ "ป้าหญิง" และนายมานิต รัตนสุวรรณ ศิษย์คนสำคัญ ที่ดินดังกล่าวจากการตรวจสอบพบว่าซื้อกันช่วงปี 2534-2536 บางแปลงไม่มีการลงสมุดทะเบียน ซึ่งตำรวจ จะเรียก เจ้าของที่ดิน มาให้ปาก คำ หากนับรวมแล้วที่ดินของนายไชยบูลย์พร้อมสาวกทั้งที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ ในจ.เลยทั้ง 2 อำเภอ มีพื้นที่รวมกัน 5,160 ไร่

ส่วนทีมสอบสวนสายที่ 2 นำโดย พ.ต.ต. สุรพล เปรมบุตร สว.ผ.5 กก 3 ป. พร้อมกำลังจำนวนหนึ่งเดินทางไปจ.ลำพูน โดยนำหมายค้นศาลอาญากรุงเทพฯ เลขที่ 3467/2542 คำร้องที่ ค.3147/2542 ลงวันที่ 14 ก.ค.นี้ เดินทางมาประสานความร่วมมือจาก พ.ต.อ.ม.ล.ไกรสีห์ ศรีธวัช ผกก.สภ.อ.เมืองลำพูน เพื่อเข้าทำการตรวจค้นลำพูนคลินิก ตั้งอยู่เลขที่ 15 ถนนรอบเมืองด้านใน ต.ในเมือง อ.เมือง ลำพูน เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันเดียวกัน โดยคลินิกดังกล่าวเป็นของ น.พ. บัญชา ปัญญาตรง สามีของนางสงบ ปัญญาตรง หลังจากพบ ข้อมูลการโอนเงิน จากนายไชยบูลย์ มายังนางสงบหลายสิบล้านบาท

หลังจากนั้นเจ้าหน้าตำรวจ ได้เดินทางไปยังคลินิกดังกล่าว ชั้นต้นพบว่ามีผู้ป่วยมานั่งรอรับการรักษากว่า 10 คน และได้พบ น.พ.วิกรม รัตนเลิศนาวี แพทย์เวร ทางเจ้าหน้าที่ จึงได้แสดงหมาย ค้นเพื่อเข้าทำการตรวจค้นภายในคลินิก แต่ น.พ. วิกรมไม่ยินยอมให้ทำการตรวจค้น โดยขอต่อรองให้ น.พ.บัญชาทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเสียก่อน ตำรวจได้ยินยอม ตามที่ร้องขอ จากนั้นอีกประมาณ 20 นาที น.พ.บัญชาจึงเดินทางมาถึงพร้อมอนุญาตให้เข้าตรวจค้นภายในคลินิก โดยไม่ยินยอมให้ผู้สื่อ ข่าวตามเข้าไปทำข่าวด้วยเด็ดขาด หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจค้นอยู่นาน 30 นาที จึงยุติ

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพบหลัก ฐานการโอนเงิน เอกสารเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก อาทิ ใบอนุโมทนาบัตรของ น.พ. บัญชา และนางสงบมียอดทำบุญถึง 17 ล้านบาท และยังพบทองคำรูปพรรณอยู่ในบ้านอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจยึดแต่อย่างใด เพียงแต่นำเอกสารการบริจาคเงินให้วัดพระธรรมกายไปเท่านั้น

น.พ.บัญชากล่าวว่า การมาตรวจค้นครั้งนี้ทำให้รู้สึกสบายใจ ซึ่งการเข้าวัดพระธรรมกายเป็นการไปโดยสมัครใจ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อประเทศชาติและพระศาสนา เพื่อให้สังคมดีขึ้น และห่างไกลยาเสพยติด จากนั้นจึงเดินทางร่วมมากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเดินทางไปตรวจค้นที่บ้านพักในจังหวัดเชียงใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า คลินิกของ น.พ. บัญชาแห่งนี้ นอกจากจะใช้เป็นสถานที่รักษาคนไข้แล้ว ยังใช้เป็นศูนย์เชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมทำบุญกับวัดพระธรรมกาย อีกทั้งบริเวณ ภายใน ยังได้ติดบอร์ดแจ้งข่าวสารในกิจกรรมต่าง ๆของวัด พร้อมทั้งจัดใบสมัครสมาชิกร่วมทำบุญไว้อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งคนไข้ ที่มารับการรักษา มักถูกเชิญชวน ให้ร่วมทำบุญ กับวัดพระธรรมกาย

ทีมสอบสวนสายที่ 3 เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ นำทีมโดย พ.ต.ท.ระพีพงษ์ สุพรศรี รองผกก. 3 ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ร่วมกับตำรวจจาก สภ.ต.ช้างเผือก จำนวนกว่า 20 นาย ได้นำหมายศาลเลขที่ 3466/ 2542 ลงวันที่ 14 ก.ค. ไปที่บ้านเลขที่ 14/6 ซอยสุขใจ ถนนห้วยแก้ว ต.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้าน ของนางสงบ อีกแห่ง เมื่อเวลา 13.30 น. เมื่อตำรวจไปถึง และได้แสดงหมายค้นให้แก่คนรับใช้ที่อยู่ภายในบ้าน กลับไม่ยอมเปิดประตูให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นตามหมายศาล

ภายในบ้านนั้น มีนางสงบอยู่ภายในแต่ไม่ยอมออกมา ทั้งยังปล่อยสุนัขพันธุ์ต่างประเทศจำนวนกว่า 10 ตัว ออกมาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ตำรวจ ต้องถอยร่น ออกมารอ อยู่หน้าบ้าน กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง ได้มีทนายความของนางสงบคือนายสุรศักดิ์ อินทนันท์ และนายธำรงค์ ขติรัตน์ จากสำนักงานทนายความสุรศักดิ์ ตั้งอยู่เลขที่ 48 ซอย 1 ถนนสุขเกษม ต.ป่าตัน อ.เมือง เชียงใหม่ มายังบ้านหลังดังกล่าวจากนั้น ได้เจรจากับทางตำรวจ โดยให้ พ.ต.ท.ระพีพงษ์ ร.ต.ท.ก่อเกียรติ ชื่นชม นว.รองผกก. 3 ป. และตำรวจ ติดตามอีก 2 นาย เข้าทำการตรวจค้นภายในบ้านได้เท่านั้น โดยไม่ยอม ให้สื่อมวลชน เข้าไปร่วม สังเกตการณ์ ภายในบ้านด้วย กระทั่งเวลา 18.00 น. น.พ.บัญชา ปัญญา ตรง สามีนางสงบ ได้เดินทางกลับ จากคลินิก ที่จังหวัดลำพูน มายังบ้านหลังเดียวกันนี้ โดยขับรถแลนด์โรเวอร์ สีขี้ม้า หมายเลขทะเบียน 2 ษ 9592 กรุงเทพมหานคร จากนั้น ก็ได้เข้าไปในบ้านนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงออกมาให้ สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และจะเดินทางมาให้ปากคำพร้อมกับนางสงบในวันที่ 21 ก.ค.นี้

ทางด้าน พ.ต.ท.ระพีพงษ์ เปิดเผยว่า การตรวจค้นครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเอกสารเกี่ยวกับการโอนเงินที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เอกสารประกอบด้วย เอกสารเช็ค ต้นขั้วเช็ค ใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงหนังสือสมาชิกกัลยาณมิตร เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิ้นได้เอกสารหลักฐานจำนวน 66 รายการ ซึ่งจะมีการนำ กลับเข้ามารวม กับเอกสารอื่น ๆ ที่กองปราบฯ เพื่อประกอบ สำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานต่อไป

รอง ผกก. 3 ป. กล่าวด้วยว่า จากการสอบปากคำนางสงบในขั้นต้นได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ว่า เงินที่ได้ ที่นำมาซื้อที่ดิน ทั้งหมดได้มาจาก การเล่นหุ้น ของตนเอง ส่วนนายไชยบูลย์นั้น นางสงบยืนยันว่าเป็นเพียงให้ความเคารพนับถือเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ทีมสอบสวน สายที่ 4 พนักงานสอบสวนได้รุกคืบไปหาหลักฐานทางการเงินระหว่างนายไชยบูลย์กับนางสงบ โดยส่งเจ้าหน้าที่ ไปค้นบ้าน นางสงบอีกแห่ง ที่ย่าน สาธุประดิษฐ์ แต่ไม่มี คนอยู่อาศัย นอกจากนั้นยังจะขยายผลไปสอบสวนบริษัท ดีเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจอัญมณี อยู่ที่ซอยสมเด็จ พระเจ้าตากสิน และอาจเป็นแหล่งผลิต พระมหาสิริราชธาตุ หรือพระดูดทรัพย์ด้วย

พนักงานสอบสวน ได้พบหลักฐานสำคัญ โดยเฉพาะมีชาวบ้านละแวกนั้น หลายรายให้การกับเจ้าหน้าที่ ว่าพบ นายไชยบูลย์ห่มเหลืองเดินทางมา พร้อมกับนางสงบ มาดูเพชร ที่บริษัทดีเจมส์ เวลาเที่ยงคืนอยู่เสมอ และมีรายชื่อผู้เป็นพยานหลายราย แต่อยู่ระหว่าง การตัดสินใจ ว่าจะมาเป็นพยาน เพิ่มน้ำหนักสำนวน การฟ้อง ก่อนส่งถึงมือ อัยการหรือไม่ หากได้พยานหลักฐาน เพิ่มเติมประเด็นนี้ สำนวนคำฟ้องในคดีที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงจะมีน้ำหนักมาก เพราะผู้ถูกกล่าวหา ประกาศตัว เป็นพระภิกษุ ไม่มีกิจต้องเดินทางไปร้านอัญมณีกับสีกายามวิกาล

ส่วนที่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีโกงที่ดินวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า ได้เสนอขอ พนักงานเพิ่ม อีกกว่า 10 นาย พร้อมทั้งได้มีการเสนอชื่อของพล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง ผบก.ป. ด้วยเพื่อการทำงานจะได้สมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวน ได้เรียกนายสอง วัชรศรีโรจน์ และพระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทัตตชีโว) มาให้ปากคำในวันที่ 16 ก.ค. นี้ ที่กองปราบฯ

พล.ต.ท.วาสนา กล่าวว่า สำหรับเรื่องนางสงบ ปัญญาตรง ที่มีการโอนเงินของนายไชยบูลย์เข้าบัญชีนั้น ทางพนักงานสอบสวนจะเรียกนางสงบมาให้ปากคำเช่นกัน ส่วนนายไชยบูลย์นั้น ขณะนี้ พนักงานสอบสวน พยายามเร่งรัดในการรวบรวมหลักฐานอยู่ เมื่อได้มากพอสมควรแล้วจะเรียกนายไชยบูลย์มาทำการสอบปากคำ แต่ถ้าพนักงาน สอบสวนออกหมายเรียก นายไชยบูลย์แล้ว ไม่ยอมเดินทางมาให้ปากคำที่ทางพนักงานสอบสวนกำหนดไว้ ก็จะมีการออกหมายจับทันที

"ทางคณะ พนักงานสอบสวน พบว่ายังมีบุคคลที่ใกล้ชิดกับนายไชยบูลย์อีกประมาณ 5-6 คน ที่นายไชยบูลย์ได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีกว่า 200 ล้านบาท แต่ทาง พนักงานสอบสวน ไม่สามารถ เปิดเผยรายละเอียดได้ในเรื่องนี้ แต่ก็ได้เข้าตรวจสอบบัญชีธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศของนายไชยบูลย์"

แหล่งข่าวระดับสูง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า จากพยานหลักฐานเอกสารและคำให้การของคนสนิทนายไชยบูลย์นั้น เห็นว่าน่า จะมีการดำเนินคดี นายไชยบูลย์ได้แล้ว รวมทั้งการจับสึกด้วย เพราะดูหมิ่นลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช ยังมีเรื่องของการกว้านซื้อที่ดินต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร ขณะนี้ทางพนักงานสอบ สวนได้รายงานว่า มีพระเถระ ชั้นผู้ใหญ่ บางรูปอยู่เบื้องหลังของวัดพระธรรมกาย และคอยช่วยเหลือนายไชยบูลย์มาตลอด 3 รูป หลังจาก ที่มีข่าวเกิดขึ้น ทางผู้บังคับบัญชา ระดับสูงได้มีคำสั่ง ให้ทางพนักงาน สอบสวนเร่งติดตาม ในเรื่องที่ดินอยู่ว่ามีการกว้านซื้อที่ใดบ้าง

นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนจะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับกรณีวัดพระธรรมกายมาชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการว่าไปถึงไหนแล้ว และความล่าช้า อยู่ที่จุดไหน เพราะอะไร และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ ก็ต้องการทราบเรื่องเพื่อไปปรับกระบวนการทำงานให้เร็วขึ้นในส่วนที่สามารถทำได้ เรื่องวัดพระ ธรรมกาย เป็นเรื่องใหญ่มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย ยอมรับว่ามีความหนักใจที่มาทำงานเกี่ยวกับศาสนาเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตน ถนัดงานวิชาการมากกว่า และเรื่องศาสนาคงต้องแก้ปัญหาระยะยาวและมีการสังคายนากันใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่มีการเสนอให้เก็บหนังสือมงคลชีวิต ฉบับธรรมกายที่ใช้ตอบปัญหาในโครงการธรรมะทางก้าวหน้านั้น กรมการศาสนา เตรียมเสนอ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอคำสั่งให้นำเรื่องเข้าเสนอมหาเถรสมาคมเพราะมีข้อความที่บิดเบือนพระธรรมอย่างรุนแรง และหากมหาเถรฯ ไม่มีคำสั่งใด จะเสนอข้อมูลถวาย สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้มีพระบัญชาจัดเก็บหนังสือนี้ออกไป จากนั้นจะเสนอต่อเจ้าหนาที่ตำรวจให้ควบคุมการพิมพ์ และการจำหน่ายจ่ายแจกด้วย.