เดลินิวส์ 14/7/2542
กิตติวุฑโฒ-ไชยบูลย์ คู่แท้จอมอภิโปรเจคท์
ต้องถือว่า 15 ก.ค.เป็นวันชี้ชะตาของ พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ กิตติวุฑโฒ รองเจ้าอาวาสวัดมหา ธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ และผู้อำนวยการจิตตภาวันวิทยาลัย อ.บางละมุง ชลบุรี เนื่องจากศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษากรณีเช็คเด้ง 30 ล้านบาทที่คาราคาซังมาตั้งแต่เมื่อประมาณปี 2535
มันหมายถึงการถูกสึกจากเพศบรรพชิต ถูกถอดถอนสมณศักดิ์ชั้นทุกอย่าง
พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ กิตติวุฑโฒ มีนามเดิมว่า กิติศักดิ์ หรือ กิมเล้ง หรือ มังกร เจริญสถาพร เป็นลูกพ่อค้าและเจ้าของโรงสีในจังหวัดนครปฐม เมื่ออายุครบบวชก็ได้เข้าบวชศึกษาธรรมะสายวิปัสสนากรรมฐานของหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อปี 2500 จากนั้นในปี 2503 ก็ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กระทั่งได้ก่อตั้ง มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุฯ มีจุดประสงค์เพื่ออบรมพระในระดับเจ้าอาวาสเพื่อเป็นหน่วยพัฒนาจิตใจ และให้นำความรู้เหล่านั้นมาอบรมสั่งสอนประชาชน หลังจากที่ก่อตั้งมูลนิธิได้ 2 ปี ในราวปี 2510 ได้ก่อตั้ง สำนักสงฆ์จิตตภาวันวิทยาลัย โดยรับเด็กนักเรียนมาบวชในภาคฤดูร้อน เด็กเหล่านี้นอกจากจะได้เรียนรู้หลักธรรมแล้วยังถูกสอนทางด้านวิชาช่างเพื่อเป็นความรู้ติดตัวอีกด้วย แต่ชื่อ เสียงของ กิตติวุฑโฒ ก็ยังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเท่าใดนัก กระทั่งมาในช่วงประชาธิปไตยเบ่งบาน หลังจากที่นิสิตนักศึกษาประชาชนขับไล่และโค่นล้มทรราช จอมพลถนอม กิตติขจร-จอมพลประภาส จารุเสถียร- พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ออกจากอำนาจรัฐได้แล้ว
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เกิดความแตกแยกทางความคิดทาง การเมือง แบ่งออกเป็นฝ่ายซ้ายฝ่าย ขวา กลุ่มพลังนักศึกษารุ่นใหม่เริ่มถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนิยมฝ่ายซ้าย เดินเข้าหาลัทธิคอมมิวนิสต์มากขึ้น ในขณะที่ผู้มีความคิดฝ่ายขวาเริ่มตั้งกลุ่มออกมาต่อต้าน สมัยนั้นกลุ่มแนวหน้าฝ่ายขวาได้แก่ นวพล ของ วัฒนา เขียววิมล โดยที่มี พระกิตติวุฑโฒ ร่วมอยู่ด้วย
เมื่อฝ่ายซ้ายเกิดการเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง ตามแผน ขวาพิฆาตซ้าย แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์จลาจลเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาในมหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข้อกล่าวหาขณะนั้นก็คือ นิสิตนักศึกษาในธรรมศาสตร์นั้นพูดไทยไม่ได้ เป็นคนต่างชาติเป็นคอมมิวนิสต์ พระกิตติวุฑโฒ เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ และมีบทบาทสำคัญยิ่งในการปราบปรามนักศึกษาเพราะเป็นผู้ร่วมปลุกระดมมวลชน ลูกเสือชาวบ้าน โดยวลีที่พระรูปนี้ได้กล่าวไว้ก็คือ ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ถึงขั้นมีการออกเป็นหนังสือเผยแพร่ในเวลาต่อมา เมื่อขบวนการฝ่ายซ้ายในสายตา กิตติวุฑโฒ ถอยร่นหลบลี้หนีภัย การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเจ้า สำนักจิตตภาวันก็เพลาลง
หลายคนเกือบจะลืมชื่อ พระกิตติวุฑโฒไปแล้ว กระทั่งเกิดกรณีรถวอลโว่เถื่อนขึ้นในสังคมไทย ชื่อของ กิตติวุฑโฒ โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีการจับกุมรถวอลโว่ หมายเลขทะเบียน (ป้ายแดง) กจ.05151 ซึ่งเป็นพาหนะที่พระรูปนี้ใช้ไปไหนมาไหน โดยฝีมือของตำรวจกองปราบปราม ซึ่งนายตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สว.ผ.4 ก.2 ป. หลังการสอบสวนเรื่องนี้มีการโยงใยไปถึงผู้มีอำนาจหลายคน อาทิ น้องชายของนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาททางการเมืองอย่างมากในเวลานั้น และเรื่อยไปจนถึง สีกาแดง ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้นำรถคันดังกล่าวมาถวายให้ใช้
ที่สุด กิตติวุฑโฒ ก็รอดพ้นคดีนี้ไปได้ เป็นการหลุดรอดไปโดยไม่มีการตัดสินใด ๆ ทั้งสิ้น มันเงียบหายไปเฉย ๆ ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก กระทั่งในสมัยที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชื่อของผู้อำนวยการสำนักสงฆ์จิตตภาวันวิทยาลัยก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องของ อ่าวอารยธรรม คือโครงการสร้างโบสถ์ที่ล่วงล้ำเข้าไปในน่านน้ำกว่า 600 เมตร แต่เรื่องก็ฮือฮาได้พักเดียว เมื่อ เสธ.หนั่น นำทีมไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องก็หายเงียบไปพร้อมกับชื่อของ กิตติวุฑโฒ
แต่คนดังมันอยู่นิ่งเฉยคงไม่ได้ ที่สุดในปี 2529 สภาพเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาซบเซา ส่งผลให้ราคาข้าวตกต่ำ เหลือเพียงเกวียนละ 2,000 บาทเศษ จนต้องมีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาล กิตติวุฑโฒ ก็เริ่มบทบาทเพื่อมวลชนทันที ด้วยการเริ่มโครงการประกันราคาข้าว รับซื้อข้าวจากชาวนาประกาศว่าจะปลดเปลื้องหนี้สินชาวนาภายใน 3 ปี พร้อมกับตั้งโรงสีข้าวในจิตตภาวัน แถมเรียกร้องให้วัดต่าง ๆ ทั่วประเทศเลิกสร้างเมรุเปลี่ยนมาสร้างโรงสีเพื่อช่วยเหลือชาวนาแทน แต่ที่สุดโครงการนี้ก็ล้มเลิกไปเนื่องจากผลประโยชน์ไม่ลงตัว ถือเป็นการเปิดประตูสู่พุทธพาณิชย์ !! โดยแท้
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันพระรูปนี้ก็ตะลุยเข้าสู่การศึกษา ด้วยการเข้าไปเทคโอเวอร์ วิทยาลัยคณาสวัสดิ์ สถาบันอุดมศึกษาชื่อดังของภาคอีสาน สถาบันนี้ประสบความล้มเหลวในด้านการบริหาร ประสบการขาดทุนอย่างมากมายที่สุด มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุฯ ก็เข้ามาอุ้มชู พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยศรีอีสาน ซึ่งการเข้ามาบริหารงานครั้งนี้ทำให้ภาวะการขาดทุนลดลงอย่างมากมาย
ไม่เพียงแต่การเข้ามาเทคโอเวอร์สถาบันการศึกษาเท่านั้น กิตติวุฑโฒ ยังเบนเข็มเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยการจัดสรรที่ดินภายในบริเวณจิตตภาวันกว่า 120 ไร่ ก่อสร้างโครงการ คอนโดธรรมะ เป็นตึก 9 ชั้น จำนวน 612 ห้อง ขายให้แก่ผู้สูงอายุที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ สนนราคาขณะนั้นคือห้องละ 150,000 บาท แต่ต้องเสียค่าบริการอีกเดือนละ 3,000 บาท โครงการนี้ไม่แล้วเสร็จตามกำหนด หลังรับเงินจองไปแล้ว 5 ปี ทำให้เกิดการร้องเรียนกรมการศาสนา นอกจากนี้ ยังมีการออกโครงการ เรือโพธิญาณ เรือสำราญไฮโซมูลค่า 17 ล้านบาท บรรจุคนได้ 600 คน เพื่อให้ใช้นั่งสมาธิโดยล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยา จากวัดเฉลิมพระเกียรติไปจนถึงบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา แล้วโครงการนี้ก็หายเงียบไป กระทั่งมาเกิดโครงการ โรงเรียนฝึกสอนโค-กระบือ แบบพูดภาษาอังกฤษ ต่อมาก็จัดตั้ง ธนาคารโค กระบือ จนถึงโครงการ พระไตร ปิฎกชุดละ 5,000 บาท
ความเป็น พุทธโปรเจคท์ มิได้หยุดอยู่แค่นั้น พระรูปนี้ได้ตั้งโครงการ พัฒนาลุมพินี ประเทศเนปาล ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท มีพระผู้ใหญ่หลายรูปเห็นชอบด้วยอาทิ พระธรรมปัญญาธิบดี เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ (สมณศักดิ์ขณะนั้น) พระธรรมราชานุวัตร วัดพระเชตุพนฯ พระธรรมกิตติวงศ์ วัดราชโอรส พระภาวนาวิริยคุณ วัดพระธรรมกาย พระเทพสิทธิญาณรังสี วัดป่าชัยรังสี โครงการนี้มีกำหนด 6 ปี แต่หลังดำเนินการไปได้ 2 ปีงานก่อสร้างคืบหน้าแค่รับมอบเครื่องจักรเป็นรถขุด 2 คัน รถบรรทุกดิน 5 คัน และเครื่องสีข้าว 4 เครื่อง กิตติวุฑโฒ ก็ไม่ได้เดินทางไปคุมงาน เพราะ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ให้ข่าวว่าเนปาลระงับวีซ่า
จนแล้วจนรอดก็มามีข่าวอีกครั้งครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เพราะไปเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ อีก โดยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีขายที่ป่าสงวนจำนวน 2,500 ไร่ ที่ ต.บ้านผึ้ง อ.สวนผึ้ง ราชบุรี ให้กับ ประพีร์ สรไกรกิตติคุณ ในราคา 7 ล้านบาท แต่ก็ได้รับการประกันตัว แล้วเรื่องก็หายเงียบไป
กระทั่งมาถูกศาลแขวงชลบุรีพิพากษาว่า กิตติวุฑโฒ มีความ ผิดชัดเจนในกรณีจ่ายเช็คเด้ง 2 ใบ มูลค่า 30 ล้านบาท โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ในการจ่ายเช็คใบแรก ส่วนใบที่สองให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ให้จำคุกคดีละ 1 ปี รวม 2 ปี รอลงอาญา และศาลฎีกาจะพิพากษาในวันที่ 15 ก.ค.นี้
ดูเอาเถอะศิษย์อาของ ไชยบูลย์ ที่ชื่อ กิตติวุฑโฒ ได้ดำเนินการโครงการต่าง ๆ อย่างไร ไชยบูลย์ สุทธิผล ก็ดำเนินการในรูปลักษณ์เดียวกันเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกโปรเจคท์โครงการบุญมากมาย วิธีการระดมทุนโดยการบอกบุญแก่ญาติโยม ที่สำคัญขั้นตอนในการถูกทางโลกดำเนินคดีก็เหมือนกันอย่างมิผิดเพี้ยน
ชะรอย กิตติวุฑโฒ จะรอดพ้นบ่วงกรรมนี้ได้ยาก เพราะนอกจากทางโลกจะพิจารณาความแล้ว ยังต้องโดนทางธรรมดำเนินการอีกรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาราชิกข้อ 2 ลักทรัพย์เกินกว่า 1 มาสก
เหลือเพียงแต่ศิษย์หลาน "ไชยบูลย์" เท่านั้น จะเอวังด้วยประการใดดี !!.