เดลินิวส์ 12/7/2542
จับตา"วิชัย-สมศักดิ์"คู่หูเผด็จศึกธรรมกาย
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการปรับแบบยกกระทรวง....
ในกระทรวง ศึกษาธิการดูเหมือนว่า ทำให้ภาพของการแก้ปัญหาพระปลอม "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" เจ้าลัทธิธรรมกาย เพ่งลูกแก้ว ทำบุญหมดเนื้อหมดตัวแจ่มชัดขึ้น หลังจากยืดเยื้อยาวนาน แม้สมเด็จพระสังฆราชจะมีลายพระหัตถ์ให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเร่งจัดการไปแล้วก็ตาม
เริ่มจากตัวนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็แสดงท่าทีแน่ชัดแล้วว่าจะลงมาแก้ปัญหาธรรมกายด้วย โดยเฉพาะได้มีการเรียกนายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าพบถึง 2 ครั้ง ก่อนรับตำแหน่งเพื่อสอบถามกระบวนการและขั้นตอนปัญหาของกรณีธรรมกาย
ถือว่าเป็นการดำเนินงานที่ผิดแปลกไปจากเดิม โดยก่อนหน้านี้นาย จรวยเหมือนกับเป็นคนที่ถูกลืม และไม่ได้ถูกเรียกใช้งานจากผู้มีอำนาจในกระทรวง ทั้งที่นายจรวยเคยดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมการศาสนา เป็นผู้ที่ยกร่างกฎหมาย และกฎระเบียบสำคัญ ๆ หลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535, กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เคยผ่านศึกหนักในการ"สึกพระ"มาหลายครั้ง อาทิ กรณียันตระ และนายจรวยก็ถูกดึงไปใช้งานในทีมงานของคณะกรรมการการศาสนา และศิลปวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสะสางปัญหาธรรมกายมาตลอด
แต่ในทีมงานของกระทรวงศึกษาธิการ กลับไม่มีการเรียก นายจรวยไปร่วมงาน เหตุผลก็คือการคิดว่านายจรวยเป็นพวกเดียวกับ "ห้องกระจก" นายสมศักดิ์เองยังประกาศชัดว่าปัญหาธรรมกายเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องลงมาจัดการ รับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ผิดแผกแตกต่างไปจากยุคของนายปัญจะ เกสรทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนเก่า ที่ปล่อยให้ปัญหาธรรมกายอยู่ในมืออันอวบอิ่มของ นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คนก่อนเพียงคนเดียว
ดังนั้นแม้มีการปรับ ครม. และงานกรมการศาสนาจะอยู่ในมือนายวิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ โควตาพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายสมศักดิ์ก็พร้อมจะลงมาดูแลด้วยเช่นกัน ภายใต้การสนับสนุนของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย
ถือได้ว่าบทบาทของเดี่ยวมือ 1 ของนายสมศักดิ์ เทียบกับนายปัญจะแล้ว นายสมศักดิ์ กินขาด และสร้างความหวังว่าจัดการปัญหาธรรมกายได้ดีกว่านายปัญจะ โดยเฉพาะการสะสางปัญหากระบวนการพิจารณาตัดสินพระปลอมทางศาลสงฆ์รวดเร็วขึ้นมากกว่าเดิม ขณะเดียวกันสำหรับตัวนายวิชัยที่เปลี่ยนเข้ามาแทนนายอาคมนั้นก็ถือว่าไดแต้มต่อเยอะ เพราะนายวิชัยเป็นนักวิชาการและนักบริหารที่ได้รับการยอมรับ โดยเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ มาแล้ว อาทิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ที่เป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาแล้ว
และการที่นายวิชัยถูกส่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าแหกโผทุกโผ และถือเป็นการ "หักดิบ" ในพรรคประชาธิปัตย์ โดยผู้ที่ผลักดันนายวิชัยก็คือ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการส่งตัวนายวิชัยมาสร้างผลงานในกระทรวงศึกษาธิการ เรียกได้ว่าถ้านายชวนไม่มั่นใจตัวนายวิชัยก็คงไม่กล้าที่จะประกาศล้มระบบโควตาในพรรค และให้ส.ส.เพียงสมัยเดียวอย่างนายวิชัยแหกด่านชาละวันมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีได้!!!
ถ้าเปรียบแล้วภาพของนายวิชัยก็เหมือนนักมวยเชิงสูง เป็นประเภท "บ๊อกเซอร์" รูปมวยสวย ใช้สมอง ผิดกับลีลาของนายอาคมที่เหมือน กับ "นักมวยไฟต์เตอร์ ผสมมวยลูกทุ่ง" เดินหน้าลุยแหลก ถูกเป้าบ้าง ผิดเป้าบ้าง จนบางครั้งทำให้คนดูหงุดหงิด เพราะออกลูกมั่วมากไปหน่อย
นายวิชัยนั้นประกาศตัวเองแล้วว่าได้ติดตามปัญหาธรรมกายมาตลอด และการเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีก็ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มเรียนรู้ปัญหา นอกจากนั้นสำหรับงานด้านศาสนานายวิชัยย้ำว่าจะต้องยึดพระธรรมวินัย ใช้พระไตรปิฎกเป็นหลักในการตัดสินปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องนิพพานนั้น ต้องเป็นอนัตตา หรือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สถานที่ ที่สำคัญนายวิชัยถือเป็นผู้ที่ศรัทธาและติดตามงานของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ปราชญ์ทางศาสนาของประเทศมาตลอด และพระธรรมปิฎกก็ถือว่าเป็นผู้ที่ทำปัญหาวัดพระธรรมกายให้กระจ่างขึ้นมา โดยเฉพาะการเขียนหนังสือให้เห็นพิษภัยของลัทธิเพ่งลูกแก้ว สร้างเจดีย์จานบินในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" บทบาทของนายวิชัยในฐานะเดี่ยวมือ 2 ก็เรียกได้ว่า เรียกเสียงเชียร์ได้มากกว่านายอาคมอีกเช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ว่า หลังการปรับ ครม.จะมีเสียงเชียร์คู่หูคนใหม่ "สมศักดิ์-วิชัย" และมีการตั้งความหวังจะทำให้ศาสนาหมดความแปดเปื้อนได้ หลังจากที่การจัดการปัญหาล่าช้า เลอะเทอะมาเป็นเวลานานเกือบปี
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นจะเป็นเหมือนความหวังหรือไม่ "การ กระทำ"เท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์!!!.