เดลินิวส์ 8/7/2542
'ตูมตาม'สั่งทิ้งทวนสอบเจ้าคณะตำบล
ตำรวจลั่น เอาผิดฐานยักยอกที่ดิน"ไชยบูลย์"ได้แน่ หลังสอบพบการบริจาคที่ดินเป็นการให้วัด ทั้งเรื่องเงินซื้อที่ดิน ก็ไม่ชอบมาพากล แถมที่ดินเลยหายกว่า 4,000 ไร่ สาวกธรรมกายหวั่นลูกพี่ติดคุก ดิ้นจ่ายเงินคืน 2 แม่ลูกเหยื่อผีบุญ 1.4 แสนบาท พร้อมทุนการศึกษาบุตรอีก 3 หมื่นบาท พร้อมให้ถอนแจ้งความทันที "อาคม" ทิ้งทวนเล่นงานเจ้าคณะฯ คลองหนึ่ง ไม่เป็นกลาง พิจารณาโทษ ปากเสียวิพากษ์ลายพระหัตถ์เป็นของปลอม จี้เจ้าคณะปกครองปลดออกจากคณะผู้พิจารณา เจ้าคณะฯ ปทุมพบทางสว่าง "จรวย หนูคง" ส่งหนังสือแก้ข้อสงสัยเรื่องกฎนิคหกรรม ท้อ อยากเร่งเรื่อง ให้จบโดยเร็ว แต่ติดผู้มีอำนาจติง
เมื่อเช้าวันที่ 7 ก.ค. นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีที่พระครูประทุมกิจโกศล เจ้าอาวาสวัดสว่างภพ และเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งออกมาระบุว่านายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกาย ไม่มีความผิดตาม ที่มีการยื่นคำฟ้อง ตามกฎนิคหกรรมว่า การพูดเช่นนี้เป็นการแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้นสื่อมวลชน จะต้องนำเสนอ ในสิ่งที่เจ้าคณะตำบล รูปนี้พูดให้สัมภาษณ์ จากนั้นกรมการศาสนา จะถือว่าสิ่งที่สื่อมวลชน นำเสนอนั้นเป็นเสมือน คำร้องว่า พระครูประทุมกิจโกศลวางตัวไม่เป็น กลาง พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกรมฯ ออกไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริงโดยไม่จำเป็นต้องมีใครยื่นหนังสือร้องเรียนมา
นายอาคมกล่าวว่า เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชนั้นเป็นของปลอมอีก ทั้งที่เจ้าหน้าท ี่ตำรวจกองปราบปราม ได้เคยพิสูจน์แล้วว่าเป็นของจริงทุกประการ ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง หลังทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่ามีความผิดจริง กรมการศาสนาต้องแจ้งเรื่องให้เจ้าคณะปกครองทราบเพื่อพิจารณาว่า จะสามารถ ทำหน้าที่เป็นคณะผู้พิจารณา คำฟ้องตามกฎนิคหกรรม ที่จะมีการประทับรับฟ้องได้หรือไม่
นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา กล่าวว่า ขณะนี้การพิจารณา คำฟ้องตามกฎนิคหกรรมนั้น ยังไม่มีการประทับรับฟ้อง ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาคำฟ้อง เจ้าคณะตำบลไม่มีสิทธิออกมาชี้ถูกชี้ผิดในเรื่องดังกล่าว การที่ออกมาพูดเช่นนี้ ต้องเสนอให้เจ้าคณะปกครองพิจารณาว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นคณะผู้พิจารณาอยู่ต่อไปหรือไม่
ส่วนพระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ได้ทราบข่าว ของเจ้าคณะตำบล คลองหนึ่งทางหน้า หนังสือพิมพ์เท่านั้น จึงยังไม่สามารถที่จะดำเนินการอะไรได้ ต้องรอให้กรมการศาสนา เข้ามาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จากนั้นจึงจะสรุปว่า ควรดำเนินการอย่างไรในกรณีนี้ แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ 8 ก.ค.นี้จะได้โทรศัพท์ ไปสอบถาม ข้อเท็จจริงจาก เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ด้วยตนเองว่า ได้พูดหรือให้ข่าวสื่อมวลชนอย่างไร เป็นอย่างที่มีการเผยแพร่หรือไม่
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กล่าวในกรณีเดียวกันนี้ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่คงต้องปล่อยให้ เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะปกครอง ต้นสังกัดเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงกันเอง
วันเดียวกัน ที่ห้องประชุม 202 อาคารวุฒิสภา ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยมีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยได้เชิญนายชูชาติ ศิลปรัตน์ ทนายความ ซึ่งเคยได้รับการว่าจ้าง จากวัดพระธรรมกายเพื่อดำเนินการด้านกฎหมายและต่อมาถูกเบี้ยวค่าจ้างมาให้ข้อมูล โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
หลังการประชุม นายชูชาติกล่าวว่า ได้มาให้ข้อมูลในกรอบที่ไม่ผิดมารยาทและจรรยา บรรณของวิชาชีพทนายความ ซึ่งได้มีการซักถาม เกี่ยวกับการตั้ง ข้อหาพระ จนมีผลต้องสละสมณเพศ ทั้งได้แสดงความเห็นว่ากรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีลายพระหัตถ์ออกมานั้น ผู้ที่รับผิดชอบควรที่ จะสนองพระบัญชา และให้ถือเป็นที่สิ้นสุดไม่ควรจะมีการฟ้องร้อง โต้แย้งใด ๆ อีกแล้ว
นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯกล่าวว่า ได้มีการซักถาม นายชูชาติเรื่องการโกงภาษีที่ดิน ซึ่งได้รับคำตอบเพียงว่าหากผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนเรื่องพระธรรมวินัย ก็พิจารณากันในกรอบของวินัยสงฆ์ อย่างไรก็ตามเรื่องภาษีนั้นได้ทราบว่ากรมสรรพากรได้ดำเนินการอยู่แล้ว พนักงานสอบสวน ควรเข้าไปตรวจสอบ ในทุกเรื่องเพื่อจะได้ยุติทั้งในด้านนิคหกรรมและด้านกฎหมาย ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนแปลง รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบนั้น เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหาเรื่องความล่าช้า เพราะยังมีข้าราชการประจำ ช่วยงานอยู่รัฐมนตรีเพียงแค่คุมนโยบายเท่านั้น รัฐมนตรีใหม่ก็น่าจะรู้ว่าต้องเร่งรัดเรื่องนี้อย่างไร และยืนยันว่าไม่มีการโอนกรมการศาสนาไปให้พรรคชาติไทยแน่นอน
ที่สภาทนายความ ในวันเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่สภาทนายความได้ให้ความช่วยเหลือนางกนกวรรณ เลิศตระกูลพิทักษ์ มารดาของด.ญ.จ๊ะเอ๋ และด.ญ.จ๊ะจ๋า ซึ่งถูกหลอกให้บริจาคเงินวัดพระธรรมกายในการสร้างพระธรรมกายประจำตัว เพื่อรับ พระมหาสิริราชธาต ุหรือพระดูดทรัพย์ไปบูชา โดยอ้างว่าจะสามารถช่วยรักษาโรคร้ายได้ เพื่อดำเนินคดี กับนายไชยบูลย์ และผู้นำบุญนั้น ขณะนี้นางกนกวรรณได้มาให้สภาทนายความช่วยดำเนินการถอนฟ้องคดีนี้แล้ว
ทั้งนี้สาเหตุที่นางกนกวรรณต้องการให้ถอนฟ้อง เพราะได้รับการติดต่อ จากเจ้าหน้าที่ของวัดพระธรรมกายว่า จะนำเงินที่บริจาค ให้เป็นค่าสร้างพระธรรมกายประจำตัวจำนวน 2.3 แสนบาทมาคืนให้ โดยจะเป็นการมอบส่วนที่เหลือ 1.4 แสนบาท หลังจากที่เคยนำเงิน มาคืนให้ในครั้งแรก จำนวน 9 หมื่นบาทแล้ว นอกจากนี้แล้วทางเจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกายยังเสนอที่จะให้ทุนการศึกษาแก่บุตรทั้ง 2 คนของนางกนกวรรณ ด้วยรายละ 1.5 หมื่นบาท และจะนำมามอบให้ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ ทำให้นางกนกวรรณไม่ติดใจที่จะเอาความต่อไป อย่างไรก็ดีในการนำเงิน มามอบคืนให้แก่นางกนกวรรณครั้งนี้ ทางวัดพระธรรมกายได้ขอร้องว่าอย่าให้ข่าวแก่สื่อมวลชนเด็ดขาด และบอกด้วยว่า เงินที่นำมามอบคืนให้ครั้งนี้ไม่ใช่เงินของวัด แต่เป็นเงินของกัลยาณมิตรกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้เรื่องนี้ยุติลงโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณ ีที่มีข่าวว่านางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ภริยาเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย ทั้งยังเคยเข้าไปบวชเป็นอุบาสิกาแก้วด้วยว่า ขอยืนยันว่าครอบครัว ไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายแน่นอน และไม่มีสมาชิกครอบครัวคนใดเป็นศิษย์วัดนี้ด้วย แต่ยอมรับว่าเมื่อปีที่ผ่านมานั้น นางรวีวรรณได้เคยเข้าไปร่วมงานบวชอุบาสิกาแก้วจริง แต่ไม่ได้ร่วมบวชด้วย ส่วนเรื่องเงินบริจาคนั้น ก็ไม่ทราบว่า มีการบริจาคหรือไม่อย่างไร "ตอนนั้นผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการใหม่ ๆ ทางวัดได้มาเชิญให้แฟนผม ไปร่วมงานบวช งานหนึ่งในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ทางวัดจัดขึ้น ซึ่งแฟนผมก็ได้มาปรึกษาเรื่องนี้ ผมเห็นว่าไม่ไปจะน่าเกลียด เดี๋ยวจะหาว่า เป็นแฟน รัฐมนตรีช่วยศึกษาฯแล้วไม่ยอมไป ก็เลยไม่ได้คัดค้าน บังเอิญผมติดธุระสำคัญไม่ได้ไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะเป็น ข่าวใหญ่โตแน่นอน ขอยืนยันว่าไม่มีใครในครอบครัวเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย เพราะถ้ามีจริงผมคงไม่กล้าที่จะไปอัดวัดนี้แน่นอน"
นายสมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องข่าวที่ว่านางรวีวรรณชักชวนคนเข้าวัดพระธรรมกายนั้นก็ไม่เป็นความจริง มีแต่เพื่อนของ นางรวีวรรณที่มาเล่าให้ฟังว่าสามีของเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง เข้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิที่วัดแห่งนี้แล้วปรากฏว่าหายป่วย ซึ่งนางรวีวรรณบอกว่า เรื่องจะหายหรือไม่หายขึ้นอยู่ที่ใจมากกว่า เขามีความเป็นวิทยา ศาสตร์พอควร อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ไม่ทราบว่า สามีของเพื่อนางรวีวรรณ จะหายจากโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ทราบแต่เพียงว่าคน ๆ นี้ได้ตายและเผาศพไปเรียบร้อยแล้ว
ในบ่ายวันเดียวกัน ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารได้มีการประชุมมหาเถรสมาคมขึ้น โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศเป็น ประธานการประชุม มีกรรมการเข้าร่วมทั้งสิ้น 15 รูป ส่วนฝ่ายฆราวาสประกอบด้วยนายสมชาติ รัตนถาวร รองอธิบดี กรมการศาสนา และนายสำรวย สารัตถ์ เลขาธิการสำนักงานมหาเถรฯ หลังการประชุมนายสมชาติกล่าวว่า ไม่มีการประชุม กรณี วัดพระธรรมกาย แต่เป็นวาระทั่วไป เช่นแต่งตั้งเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ที่มีการเสนอขึ้นมา การขอพระสงฆ์ ไปทำหน้าที่ พระธรรมทูต ของวัดไทยในอเมริกา รวมทั้งเรื่องการต่อหนังสือเดินทางของพระสงฆ์ และการพิจารณา ของตั้งวัดตามจังหวัดต่าง ๆ
นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระ ทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม กล่าวถึงกรณีที่พระสุเมธาภรณ์เกิดความสับสนในเรื่องขั้นตอนการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมว่า การดำเนินการเรื่องน ี้รู้สึกว่า ใช้เวลานานเกินไป ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าผู้ที่ให้คำปรึกษาไม่รู้จริง เพราะในหลัก ความเป็นจริง ของกฎหมายนั้น พระสุเมธาภรณ์ มีหน้าที่เพียงแค่รับคำฟ้องของผู้กล่าวหาเท่านั้น เปรียบเสมือนเป็นจ่าศาลก็ได้
"เท่าที่ทราบเกี่ยวกับ คำฟ้องทั้ง 3 รายนั้นพบว่ามีความสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้ต้องถือว่าได้รับฟ้องไว้แล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็คือเรียกนายไชยบูลย์มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจึงลงนามรับทราบ จากนั้นรวบรวมเอกสาร คำฟ้องเป็นฉบับเดียว และทำหนังสือปะหน้า ถึงพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เพื่อเรียกประชุมคณะผู้พิจารณาชั้นต้น มาร่วมพิจารณาตามกฎ ก่อนจะเรียกผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหา มาไต่สวนมูลฟ้อง จากนั้นจึงพิจารณาหลักฐานและข้อกล่าวหาทั้งหมดแล้วประกาศว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ระหว่างการสอบ ผู้ถูกกล่าวหา จะต้องมารับฟังการสอบพยานโจทก์ทุกครั้ง ขณะที่ผู้กล่าวหาไม่ต้องมาก็ได้"
นายจรวยกล่าวต่อไปว่า ข้อกฎหมายที่ทางเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีติดขัดอยู่ก็คือ มาตรา 4 (8) ในกฎนิคหกรรม ซึ่งมีความผิดพลาด ในการพิมพ์ตกหล่น ส่วนที่ถูกต้องนั้นหากผู้กล่าวหาเป็นคฤหัสถ์ให้ตรวจสอบคุณสมบัติในมาตรา 4 (ข.) ของมาตราดังกล่าว แต่ในหนังสือ ระบุเพียงให้ตรวจสอบ ตามมาตรา 4 (ก.) เท่านั้น อย่างไรก็ ตามได้ส่งหนังสือ ไปถึงพระสุเมธาภรณ์ เพื่อแนะนำขั้นตอนการใช้กฎนิคหกรรมแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้รับหนังสือจากนายจรวยโดยที่มีผู้แทนนำมามอบให้ จากนั้นเจ้าคณะจังหวัด ปทุมธานีได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงเพื่อขอคำยืนยันจากนายจรวยอีกครั้ง โดยใช้เวลาสนทนาประมาณ 20 นาที พระสุเมธาภรณ์จึงเปิดเผยว่า การพูดคุยกันถือว่าได้แนวทางการปฏิบัติ ซึ่งก็ตรงกับที่คิดไว้ว่าจะต้องดำเนินการในลักษณะนี้ เรื่องนี้อยากทำ ให้เสร็จโดยเร็ว แต่ก็ต้องวางตัวเป็นกลางให้มากที่สุด เพราะไม่ว่าจะออกมาแบบไหนอีกฝ่ายหนึ่งคงจะไม่พอใจ เวลานี้ก็มีจดหมาย สนเท่ห์มาถึงมากมาย มีทั้งฆราวาสและพระภิกษุสงฆ์ซึ่งต่อว่าการดำเนินการล่าช้า
"ยอมรับว่าหนักใจเหมือนกัน ใจจริงแล้วอยากจะเร่งเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วจะได้พ้นตัวเสียที แต่ส่งเรื่องไป ที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่า ท่านก็บอกว่า ให้รอไปก่อน ข้อกฎหมายที่ค้นพบว่ามีช่องโหว่นั้น เชื่อว่าคงจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรฯเพื่อให้ตีความอย่างแน่นอน"
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงาน ชุดสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย เริ่มมั่นใจว่าสามารถ เอาผิดนายไชยบูลย์ตามที่กรมการศาสนากล่าวหาได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพยานหลักฐาน ที่มีอยู่ต่างระบุชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินมีเจตนา ยกที่ดินให้เป็นสมบัติของวัดไม่ใช่ของนายไชยบูลย์อย่างที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ในส่วน ของเงินที่นำมาซื้อที่ดินนั้น มีความไม่ชอบมาพากลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำให้การของพยานปากสำคัญนั้นเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก และในวันที่ 8 ก.ค.พนักงานสอบสวนจะกระจายกำลังออกไปตรวจบัญชีการเงินของวัดพระธรรมกายในทุกธนาคารด้วย
ในรายงานข่าวเดียวกัน ยังระบุว่า ยังมีการพบหลักฐานการถือครองที่ดินผิดปกติที่อ.ภูเรือ จังหวัดเลยด้วย จากการสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ที่อ.ภูเรือนั้นมีการบริจาคที่ดินทั้งสิ้น 6,000 ไร่ ในจำนวนนี้ปรากฏชื่อนายไชยบูลย์ถือครองเพียง 2,000 ไร่เท่านั้น ขณะที่อีก 4,000 ไร่ ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ถือครอง ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังติดตามอย่างเต็มที่ โดยมีการคาดการณ์ว่า น่าจะมีชื่อบุคคลสำคัญ ของวัดเป็นผู้ถือครอง.