เดลินิวส์ 2/7/2542
ตร.ได้พยานมัดไชยบูลย์หวังรวย
วาสนา" ตะลึง หลักฐานพยานปากเอกนักธรณีวิทยาระบุขายที่ดิน จ.พิจิตร นับร้อยไร่ให้เดียรถีย์ โลภจัด ไปสำรวจ ที่ด้วยตัวเอง ถมเงิน สิบล้าน ซื้อที่ทันทีหลังรู้มีทองคำมูลค่า 200 ล้าน แถมตาลุก ไล่ซื้อทะลุถึง เพชรบูรณ์ กะรวยคาผ้าเหลือง วาดฝัน ขนาด ทำเหมืองทอง ทั่วโลก กองปราบฯ ขยายผลสอบผู้เกี่ยวข้องเพิ่มตอกฝาโลง เจ้าคณะปทุมฯ จ้องเรียก "ไชยบูลย์" รับฟัง ข้อกล่าวหา ก่อนประทับ รับฟ้องส่งศาลสงฆ์ ใช้สถานท ี่โรงเรียนพลตำรวจ บางเขนกันสาวกคลั่ง มือยกร่าง กฎนิคหกรรม ยืนยันขั้นตอน รับฟ้องไม่ต้อง ส่งตีความใน มส.อีก เจตนารมณ์ชัดชาวบ้านฟ้องได้ สรรพากรตามกลิ่นเบี้ยวภาษี 100 ล้าน ใบปลิวว่อน เฉดวัดฉาว ไปตั้งนิกายใหม่
การดำเนินคดี กับพระปลอม "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ที่ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ตามลายพระหัตถ์ สมเด็จพระสังฆราช ปรากฏข้อมูล ชัดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่านายไชยบูลย์ มีพฤติกรรมอำพราง ด้วยการใช้ผ้าเหลือง บังหน้าและนำเงินมหาศาลนับสิบ ๆ ล้านบาท ไปกว้านซื้อที่ดินทำเหมืองทองคำ
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. เวลา 09.00 น. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รอง ผบก.ป. เชิญตัวนายชาญวิทย์ เปรมกมล อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 ซอย 7 ถนนศิริมังคลาจารย์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นักธรณีวิทยา ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินจำนวน 158 ไร่ ในเขตเขา พนมพา ต.หนองบ่อ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ในราคา 10 ล้านบาทเมื่อปี 2534 ให้กับนายไชยบูลย์ มาสอบปากคำ
นายชาญวิทย์ ให้การกับตำรวจว่าได้สำรวจพบแหล่งแร่ทองคำท ี่อ.วังทรายพูน และซื้อที่ดินไว้ 158 ไร่ และได้รับการติดต่อ จากนายไชยบูลย์ เพื่อสอบถาม กี่ยวกับแหล่งแร่ทองคำ โดยนาย ไชยบูลย์อ้างว่ากำลังทำโครงการหล่อรูปหลวงพ่อ สด ทองคำที่ต้องใช ้ทองคำถึง 3 ตัน และขอให้ตน บริจาคที่ดิน แต่นายชาญวิทย์ไม่ยอมเพราะต้องรับภาระครอบครัว แต่รับปาก จะช่วยเหลือหา แหล่งทองคำให้เพื่อเป็นกุศลต่อพระพุทธศาสนา
หลังจากนั้น นายไชยบูลย์เดินทางไปดูที่ดิน พร้อมสีกาตุ้ยและนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์คนสำคัญ และนำตัวอย่างทองคำ ที่เก็บได้ไปส่งให้ ร้านทอง ย่านเยาวราช ตรวจสอบพิสูจน์คุณภาพ จน กระทั่งตกลงจ่ายเงินให้ผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาท่าแพ เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2534 งวดแรก 3 ล้านบาท และงวดหลัง 7 ล้านบาท และเป็น การซื้อ-ขายที่ดินไม่ใช่การบริจาค โดยใช้ชื่อ นายไชยบูลย์เป็นผู้ซื้อ
"ผมแทบไม่เชื่อ คนที่ห่มเหลืองจะมาสำรวจที่ดินด้วยตัวเอง ครั้งแรกก็พูดกับผมว่ากลัวทองคำจะไม่พอ ผมบอกไปว่า ที่ดินตรงนี้มีแร่ ทองคำบริสุทธิ์ถึง 92-97% คาดว่า ต้องได้ทองคำไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท เมื่อสำรวจทั่ว ยังถามผมว่า ยังมีแร่ทองสำรอง อีกหรือไม่ ผมก็บอกว่ามีอยู่ตรง อ.ท่าข้าม จ.เพชรบูรณ์ เกือบ 300 ไร่ ซึ่งขอร้องให้ผมพาไปดู สุดท้ายได้ข่าวว่า ได้มีการไปกว้านซื้อ ที่ดินที่เพชรบูรณ์ 600 ไร่"
ในการสำรวจ ทองคำนี้ ได้มีการขนดินไปพิสูจน์ถึง 10 ถุง โดยนายชาญวิทย์ท้าว่าถ้าถุงใด ไม่มีทองคำจะฆ่าตัวตายให้ดู อย่างไรก็ตามหลัง จากนั้น ได้มีการเขา ไปกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้าน โดยคนของวัด 2-3 ชุด มีชื่อเหมือนนายชาญวิทย์ แต่เป็น นายชาญวิทย์ ชาวงศ์ ซึ่งจะทำให ้ชาวบ้านเข้าใจผิด
นายชาญวิทย์กล่าวอีกว่า หลังจากได้รับเงิน 10 ล้านบาท ก็ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ และนายไชยบูลย์ได้ติดต่อให้ร่วมงาน เป็นหัวหน้าโครงการ ทำเหมืองทองให้วัด โดยจะชวนไปสำรวจแหล่งแร่ทองคำทั่วโลก แต่ตนเสียความรู้สึกในพฤติกรรมของวัด อาทิ การอวดปาฏิหาริย ์ปัดระเบิดปรมาณู และพฤติกรรม นายไชยบูลย์ เลยปฏิเสธ และเงินที่ได้จากการขายที่ดินถือเป็นเงินบาป อยู่ไม่ได้นาน และเสียหุ้นจนหมดตัว เมื่อสื่อมวลชนขุดคุ้ย การทุจริตที่ดิน ของนายไชยบูลย์ จึงเต็มใจ มาให้ข้อมูลเพื่อให ้ประชาชนทั่วไป รับทราบข้อเท็จจริง นายชาญวิทย์เอาตัวอย่าง หินและดินที่พิจิตร มาแสดง โดยทุบให้ด ูต่อหน้าว่า มีทองคำอยู่จริง
ผู้สื่อข่าวรายงาน ด้วยว่า พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. หัวหน้าคณะทำงานสอบ สวนคดีการฟ้องร้อง นายไชยบูลย ์ได้เดินทางมา สอบปากคำ นายชาญวิทย์ และระหว่างการสอบปากคำนั้น นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา เดินทางมาที่กองปราบปราม และให้ข้อมูลว่า การที่พระไปสำรวจทองคำเป็น การแสดงความโลภอย่างชัดเจน ผิดถึงขั้นปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์ รวมถึงนายมาณพ ขอให้นายชาญวิทย ์ไปเป็นพยานการฟ้องในคดีศาล สงฆ์ด้วย
ด้านนายมาณพ เปิดเผยว่า จากหลักฐานตำรวจพบว่าเซียนหุ้นชื่อดังเกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดิน และเป็นพี่ชายพระรูปสำคัญของวัด ก็น่าสงสัยว่า วัดจะเอาเงินไปซื้อหุ้น
ส่วนมือกว้านซื้อที่ดิน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตำรวจทราบข้อมูลแล้วโดยสำหรับ "สีกาตุ้ย" ชื่อ น.ส.อมรรัตน์ สุวิภัทร ที่จะมีการเรียก สอบปากคำ พร้อมกับนายถาวร ที่ตำรวจได้ข้อมูลว่าอยู่บ้านเลขที่ 3/167 หมู่ 2 แขวงสายไหม เขตสายไหม กท. โดยปัจจุบันอายุ 50 ปี เกิดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2492
พล.ต.ท.วาสนา กล่าวภายหลัง การสอบปากคำนายชาญวิทย์ว่า ในวันที่ 2 ก.ค. ทีมสอบสวนนัด ประชุมและสรุปผล การรวบรวมหลักฐาน ที่คืบหน้า ไปมากแล้ว คิดว่าได้ข้อมูลพอที่จะยุติ แต่ยังมีข้อมูล สำคัญเพิ่มเข้ามา ในเรื่องพยานบุคคล อีกหลายปาก อย่างกรณี นายชาญวิทย์ ถือเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก เพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ รู้ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับที่ดิน เมื่อยิ่งรู้ข้อเท็จจริง ก็ต้องสาวเรื่องให้ลึกลงไป จึงทำให้เกิด ความล่าช้าไปบ้าง
ส่วนนายปรีชา สุวรรณทัต ส.ส.กท. พรรค ประชาธิปัตย์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า การสอบสวน ของตำรวจในเรื่องที่ดินและไปพบปัญหาการโกงภาษีโดยไปซื้อที่ดินราคาสูงแต่แจ้งเสียภาษีราคาต่ำนั้น เรื่องภาษ ีเป็นเรื่องละเอียด เพราะระบบ ภาษีต้องไป ตรวจสอบหลายทาง ถ้าจะเอาไปปนกับคดีอาญาจะยุ่ง น่าจะ ปล่อยให้เป็น หน้าที่ของ กรมสรรพากรดีกว่า เท่าที่ทราบ มีข้อมูลการค้างจ่ายภาษ ีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยมีภาษีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องที่ดินอย่างเดียว
สำหรับการ ดำเนินคด ีทางศาลสงฆ์ที่ประสบปัญหากฎมหาเถรสมาคม (มส.) ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม บกพร่อง จนอาจทำให ้คำฟ้องร้อง นายไชยบูลย์ต่อศาลสงฆ์ต้องตกไป ทั้งคำฟ้องของนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ และนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนานั้น ผู้สื่อข่าวถาม ประเด็นข้อกฎหมาย ต่อนายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะเจ้าหน้าที่ กรมการศาสนาที่มีส่วนร่วม ในการยกร่างกฎมหาเถรสมาคมดังกล่าว นายจรวยยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมองเห็นกันมานานแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะกฎดังกล่าว มีสาระสำคัญคือ การเปิดให้ทั้งสงฆ์และฆราวาสสามารถยื่นฟ้องในฐานะผู้กล่าวหาต่อกระบวนการศาลสงฆ์ได้
ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากการนำกฎไปพิมพ์และตกหล่นไป ได้แก่ข้อ 15 ที่เมื่อมีการกล่าวหา พระรูปใดต่อศาลสงฆ์ จะให้ผู้พิจารณา ขั้นต้น พิจารณาเฉพาะ คุณสมบัติของผู้กล่าวหาที่เป็นพระ แต่ไม่ได้ระบุให ้พิจารณาคุณสมบัติของผู้กล่าวหาที่เป็นฆราวาสไว้ ซึ่งหากพิจารณา ภาพรวมทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามีการบรรยาย ลักษณะผู้กล่าวหาที่เป็นฆราวาสไว้ชัดเจน ถ้ายื่นฟ้องไม่ได้ จะไปกำหนด กฎเกณฑ์ไว้ทำไม ให้ยุ่งยาก การที่จะ เสนอให้มหาเถรฯ ตีความอีกก็ไม่จำเป็น เพราะเนื้อหา และหลักของ กฎนิคหกรรม ครอบคลุมชัดเจน รังแต่จะทำ ให้เรื่องล่าช้า
นายจรวยกล่าวอีกว่า กรณีนางสาลี่ เพ็ชรชูดี ชาวนา จ.สุพรรณบุรี ที่ยื่นฟ้องนายไชยบูลย์แล้วพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะ จังหวัดปทุมธานีไม่รับนั้น แนะนำให้กลับ มาฟ้องใหม่ เพราะเรื่องนี้พระสุเมธาภรณ์ตีความผิด การยื่นฟ้องนั้น ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการฟ้อง ต่อพระผู้ปกครอง นายไชยบูลย์ก็ต้องฟ้องที่ จ.ปทุมธานี ไม่ใช่สุพรรณบุรี เหมือนกรณียันตระ ซึ่งทำผิดหลายที่หลายแห่ง ทั้งต่างประเทศ และต่างจังหวัดหลายจังหวัด แต่เมื่อ มีการฟ้อง ก็ต้องฟ้องที่ จ.นครศรีธรรมราช ต่อพระผู้ปกครอง ขอยืนยันว่าพระสุเมธาภรณ์ตีความผิดเอง
ด้านพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า กำลังกำหนดวัน เรียกนายไชยบูลย์มาสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหา และกำหนด สถานที่อีกครั้ง คงไม่ใช่วัดมูลจินดาราม เนื่องจากจะเกิดม็อบ โดยลูกศิษย์นายไชยบูลย์คงไม่ยอมแน่ ถ้าไม่ยอมมารับข้อกล่าวหาที่เรียกไป 3 ครั้งจะประทับ รับฟ้องทันที และการที่นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าศาลสงฆ์ช้า อาจจะพูดเพราะไม่ทราบ ข้อมูลครบถ้วน กรมการศาสนา ทำมา 5-6 เดือน ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ของพระ ทำมาเพียงเดือน กว่าจะให้เรียบร้อยคง ไม่ได้ ถ้าเร่งไปเกิดผิดพลาด คนที่เสียใจมากที่สุด คือสังคมไทย รวมถึงไม่เคยเสนอเรื่องนี้ไปให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
รายงานข่าวแจ้งว่า สถานที่ในการเรียกตัว นายไชยบูลย์มารับทราบ ข้อกล่าวหากำหนดไว ้ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน และวันเดียวกันนี้นายประจิณ ฐานังกรณ์ โจทก์อีกรายที่ยื่นฟ้องตามกฎนิคหกรรม ได้ยื่นอุทธรณ์คำฟ้อง โดยแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมด ทั้งนี้ พระสุเมธาภรณ์ได้รับคำฟ้องไว้ รวมเป็น 3 ราย ซึ่งจะมีการเรียกตัว นายไชยบูลย์ และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาภายในเดือนนี้
เมื่อเวลา 14.30 น. นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา ได้เข้าพบกับพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 และหารือประมาณ 1 ชั่วโมง โดยนายเริงฤทธิ์กล่าวว่า พระพรหมโมลี ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับ หนังสือหารือ อย่างเป็นทางการ จากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี นเรื่องปัญหา ของกฎนิคหกรรม ที่มีช่องโหว่ แต่ได้ประสาน งานโดยการโทรศัพท์พูดคุย พระพรหมโมลีกำชับว่ากฎดังกล่าวออกมา 20 ปี และมีการอบรม ก่อนออกใช้ เวลา ล่วงมานานผู้ผ่านการอบรมอาจมรณภาพไปแล้ว จึงขอให้เจ้าคณะจังหวัด ตรวจสำนวนให้ละเอียด รวมถึงยืนยันว่า ไม่ต้องส่ง เข้าตีความ ในมหาเถรฯ อยู่ที่ดุลพินิจของผู้รับฟ้อง
ส่วนนายอาคมกล่าวว่า เมื่อเขียนกฎนิคหกรรมขึ้นมาแล้วต้องใช้ได้ จะมาบอกว่าข้อกฎหมาย ขัดกันคงไม่ถูก คณะผู้พิจารณา ไม่ควรนำเอาเรื่องน ี้มาเป็นประเด็นทำให้สาระสำคัญตกไป
แหล่งข่าวใกล้ชิด พระพรหมโมลี เปิดเผยว่า เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีได้มอบหมายให้พระปริยัติวโรปการ ซึ่งเป็นพระเลขาฯ นำหนังสือหารือ มามอบให้ พระพรหมโมลีจริง โดยครั้งแรกมาวันที่ 10 มิ.ย. แต่ไม่ได้พบ เพราะพระพรหมโมลี มีภารกิจต้องต้อนรับพระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ซึ่งไม่ทราบว่าเดินทางมาพบเรื่องอะไร แต่มีการพูดคุยกันสองต่อสองเป็นเวลานาน
ครั้งที่ 2 พระปริยัติวโรปการเดินทางมาวันที่ 16 มิ.ย. โดยนำเอกสารมามอบให้พระพรหมโมลีกับมือ ซึ่งจำได้ว่า หัวเอกสารระบุว่า เรื่องด่วนที่สุด ที่ จ.121/2542 ลงวันที่ 16 มิ.ย. 2542 เท่าที่สังเกตเอกสารฉบับนี้ลงท้ายว่า ลับเฉพาะ เรื่องขอรับทราบความเห็นชอบเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
"ที่ท่านเจ้าคณะภาค 1 บอกว่าไม่ได้รับหนังสือนั้น อาตมาว่าท่านคงเข้าใจผิด เพราะเห็นกับตาว่ารับมากับมือ แต่อาจเป็นได้ว่า พระปลัดภิรมย์ ซึ่งเป็นพระใกล้ชิด นำเรื่องไปเก็บไว้เอง"
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์บริการประชาชน นางกนกวรรณ เลิศตระกูลพิทักษ์ และบุตรสาว 2 คนคือ ด.ญ.กัลยา และด.ญ.นันทิยา เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม ที่ถูกวัดพระธรรมกาย หลอกให้ทำบุญจนสูญเงินไป 230,000 บาท
ผู้สื่อข่าว รายงานจาก จ.ปทุมธานี ว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ได้มีผู้นำใบปลิว 9 ใบ มาแจกจ่ายตามย่านชุมชน โดยเนื้อหา ของใบปลิว ดังกล่าวเรียกร้องให ้วัดพระธรรมกาย เลิกทำตัวลึกลับ แก้ไขปรับปรุงตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช และเปลี่ยนแปลงคำสอนผิด ๆ ทั้งหมด พร้อมกันน ี้ยังมีข้อความเรียกร้อง ให้มหาเถรฯ รีบจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วน อย่าโยนกลองคอยเวลา หรือมิเช่นนั้น ก็ให้ วัดพระธรรมกาย ไปตั้งนิกายใหม่เป็นธรรมกาย นิกายอยู่ในสังกัดอณัมนิกาย ของจีนที่เป็นนิกายอิสระไปเลย.