เดลินิวส์ 1/7/2542
ชี้รูโหว่'ไชยบูลย์'หลุดให้'มหาเถรฯ'เร่งแก้ไข
ตำรวจ เรียกพยานปากเอก นักธรณีวิทยาวิทยาคนขายที่ดินทำเหมืองทองที่พิจิตรให้เดียร์ถียมาสอบปากคำ พิสูจน์ชัด ไม่ใช่บริจาค พบเงื่อนงำ รุกป่าสงวน ในช่วงสาวกคนสำคัญเป็นใหญ่ แฉงานนี้ โหดขนาด บีบบังคับชาวบ้าน ให้ขายที่ดินพาไปพบข้าราชการระดับบิ๊กข่มขวัญ เจอ ข้อมูลใหม่ ช็อคชาวพุทธ กฎมหาเถรฯ ว่าด้วยการลงนิคหกรรมมีช่องโหว่ถึงขั้น"ไชยบูลย์"หลุดหมดทุกข้อหา เจ้าคณะปทุมฯ ขอให้ พระพรหมโมล ีส่งเรื่องเข้าตีความแก้ไขในมหาเถรฯเป็นการด่วน แต่ถูกดองเค็มทั้งที่เตรียมประทับรับฟ้องแล้ว พระเถระ ระดับสมเด็จฯ เก็บข้อมูล จี้ให้นำเข้ามส.ใช้ศาลสงฆ์ตัดสิน นักวิชาการ ซัดธรรมกายเจดีย ์สะท้อน ความเห่อเหิม เทียบขั้นพระพุทธเจ้า อยากเป็นจักรพรรดิ์ เอา ลัทธิอื่น มาปน ต้องออกไปจากเถรวาท
กระบวนการ สางเสี้ยงศาสนาพระปลอม"นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ประสบปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะ เมื่อกระบวนการ ศาลสงฆ์ ที่บัญญัติไว้ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม พ.ศ.2521 มีช่องโหว่จนอาจทำให ้นายไชยบูลย์ หลุดพ้นการสอบสวนไปได้
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าตนมอบหมายให้นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา ไปพบพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะผู้พิจารณา คำฟ้องร้องเพื่อเร่งรัด การพิจารณาข้อกล่าวหาของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา และของนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ แต่ไม่พบพระสุเมธาภรณ์ โดยพบพระปริยัติวโรปการ พระเลขานุการแทน โดยได้สอบถาม ข้อเท็จจริงเรื่องท ี่เจ้าคณะจังหวัด จะไม่พิจารณาข้อกล่าวหา นายไชยบูลย์จนกว่า การพิจารณาคดีทางโลกของตำรวจจะยุติ
เรื่องดังกล่าว พระเลขาฯกล่าวว่าไม่จริง เพียงแต่ขณะนี้ได้ทำบันทึกถึงพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 กรณีที่นายมาณพ ฟ้องนายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ในคำฟ้องเดียวกันว่า จะใช้คณะผู้พิจารณา ชุดเดียวกันได้หรือไม่ หรือต้องแยกคณะผู้พิจารณา โดยสอบถามไป 2 ครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบ เนื่องจากเจ้าคณะจังหวัด สอบถามเป็นหนังสือ ไม่ได้สอบถามด้วยวาจาจึงล่าช้า
นายอาคม กล่าวอีกว่า ตนแนะนำนายสุทธิวงศ์ไปว่าตามกฎนิคหกรรมไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยาก และให้กรมการศาสนา ไปให้คำแนะนำ กับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีว่าไม่ต้องรอสอบถามจากพระพรหมโมลีแล้ว ซึ่งนายสุทธิวงศ์ รับปากว่า จะดำเนินการตามที่สั่งการ
"ผมเห็นว่าถ้าไม่ติดใจ เรื่องวิธีการก็ควรพิจารณาข้อกล่าวหาได้ ถ้าพบมีมูล ก็รับข้อกล่าวหา และเรียกผู้ถูกกล่าวหา มารับฟัง หากยอมรับก็ลงโทษ ถ้าไม่ยอมรับ ก็เสนอให ้เจ้าคณะภาค 1 สั่งการ และผมให้นายมาณพ ประสานงานกับทางวัด มูลจินดารามพร้อมกับ หารถอำนวยความสะดวก พาเจ้าคณะจังหวัดไปพบ พระพรหมโมลี เพื่อจะได้ ข้อเท็จจริงต่อไป"
ด้านนายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา กล่าวว่าเจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีต้องแยกข้อกล่าวหา นายมาณพให้ชัดมี 2 กรณี โดยกรณีแรก คือการกล่าวหา ยักยอกทรัพย์ต้องตั้งศาลสงฆ์พิจารณาส่วนกรณีที่ 2 คือการกล่าวหา ตามการปกครองสงฆ์เรื่องการบิดเบือนคำสอน ผิดจริยาพระสังฆาธิการไม่ต้องตั้งศาลสงฆ์ เจ้าคณะจังหวัด สอบสวนได้ทันที หรืออาจให้เจ้าคณะตำบลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นสอบสวนแทนก็ได้ แล้วรายงานให ้เจ้าคณะจังหวัดทราบ หากพบว่าบิดเบือนคำสอนจริงก็สั่งถอดถอนออกจากตำแหน่งพระสังฆาธิการ ทั้งนายไชยบูลย ์และพระทัตตชีโว
ที่ผ่านมา กรมการศาสนาเสนอตัว เข้าไปช่วยเหลือเจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีในเรื่องระเบียบกฎหมาย และขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ แต่เจ้าคณะปทุมธานี ไม่เคยเรียกใช้ กรมจึงไม่ทราบจะทำอย่างไร เจ้าคณะปทุมฯ อาจยังสับสน ขั้นตอนการปฏิบัติ จนทำให้ขั้นตอนการพิจารณาล่าช้า
ส่วนพระสุเมธาภรณ์กล่าวว่า การพิจารณาคำฟ้องนี้ขอยืนยันไม่ได้รอการพิจารณาคดีทางโลก แต่ขณะนี้ส่งหนังสือ ขอคำปรึกษาไปยังเจ้าคณะภาค1 ยังไม่ได้รับคำตอบ และไปเร่งไม่ได้ รวมถึงจะรอการยื่นอุทธรณ์จากนายประจิณ ฐานังกรณ์ ผู้ฟ้องอีกรายที่จะอุทธรณ์ใน 15 วัน แล้วจึงค่อยพิจารณา จะรับฟ้องรายใดบ้าง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 17.30น. นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า จากการที่ตนไปพบ พระปริยัติวโรปการ ได้ทราบถึงปัญหา ข้อติดขัดที่จะส่งผลให้ คำฟ้องร้องอาจถึงขั้นตกไปทุกกรณี และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีไม่กล้าที่จะรับฟ้อง ทั้ง ๆที่พิจารณาสำนวนเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.
เมื่อเกิดปัญหา จึงมีการส่งหนังสือไปยังพระพรหมโมลี เพื่อขอใหัตีความข้อความที่กำกวม โดยส่งไปถึง 2 ครั้ง เพื่อให้นำข้อที่ติดขัด เข้าสู่การพิจารณา ของมหาเถรฯ ที่เป็นผู้ออกคำสั่ง กฎ ระเบียบ หรือตีความได้ แต่ขณะน ี้ยังไม่ตอบกลับมา และถึงแม้จะมี การประชุมมหาเถรฯ หลายครั้งแล้ว ก็ยังไม่นำ ข้อกฎหมาย เข้าตีความ เรื่องนี้จะรายงาน นายอาคมในวันที่ 1 ก.ค.เพื่อขอความเห็น
แหล่งข่าวจากกรมการศาสนา ที่ดูแลด้านกฎหมายเปิดเผยว่าได้รับการหารือจากพระปริยัติวโรปการแล้ว และจากการเปิดอ่าน กฎนิคหกรรม ก็พบข้อความกำกวมจริง ๆ ในเรื่องสถานะ ของโจทก์หากไม่ตีความ ให้ชัดอาจถึงขั้นไม่สามารถประทับรับฟ้อง เรื่องทุกอย่าง ต้องตกไป และเจ้าคณะภาค 1 ก็ทำท่าเหมือน จะดองเรื่องไว้ไม่ยอมเสนอมหาเถรฯ สุดท้ายจะเกิดปัญหา เจ้าคณะปทุมธานี ถูกสังคมกดดัน และต้องตัดสิน สุดท้ายนายไชยบูลย์ อาจจะหลุด ทั้งที่เจ้าคณะปทุมธานี เตรียมประทับ รับฟ้องอยู่แล้ว
"ทราบว่าเรื่องน ี้ได้มีการประสานงาน ไปยังพระเถระชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพระระดับสมเด็จรูปหนึ่งที่สนใจปัญหานี้ และต้องการนำเร่งนำเข้ามหาเถรฯ"
ที่กองกราบปราม เมื่อเวลา 10.00น. พ.ต.ท.จรุงวิทย์ ภุมมา รองผกก.3ป. เรียกตัวนายมาณพในฐานะผู้ฟ้องนายไชยบูลย์ และนายปัญญา สละทองตรง นักวิชาการ 7 กรมการศาสนา มาสอบปากคำ โดยพ.ต.ท.จรุงวิทย์กล่วว่ามาสอบปากคำเรื่องพระธรรมวินัยต่าง ๆ เนื่องจากต้องใช ้พิจารณาประกอบกับ สำนวนสอบสวน ขั้นต่อไปเป็นหน้าที่ของพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.ก.ตร. ที่จะกำหนดนัดหมายเรียกพยานฝ่ายต่าง ๆ เช่นพระเผด็จ ในฐานะรองเจ้าอาวาส หรือนายสอง วัชรศรีโรจน์ โดยออกหมายเรียกมาสอบปากคำต่อไป
นายมาณพ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าตนให้ปากคำเกี่ยวกับรายละเอียดในการฟ้องตามกฎนิคหกรรม และะเรื่องดังกล่าวคิดว่า คงมีการ ดึงให้ยืดเยื้อ แต่เป็นอิทธพล ของใครตนไม่ทราบ โดยพระสุเมธาภรณ์มอบให้เจ้าคณะภาค 1 นำเสนอมหาเถรฯแล้ว เป็นการทำผิดขั้นตอน เพราะตามกฎ นิคหกรรมพระสุเมธาภรณ์ ต้องตรวจคำฟ้องว่าถูกหรอืไม่ ถ้าถูกก็ต้องรับฟ้อง
ผู้สื่อข่าว รายงานด้วยว่าในวันที่ 1 ก.ค.ตำรวจจะเชิญตัวนายชาญวิทย์ เปรมกมล ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าไปค้นพบ สายแร ่ทองคำในจ.พิจิตร และเป็นเหตุให ้นายไชยบูลย์เข้าไปกว้านซื้อที่ดินทั้งที่พิจิตรและเพชรบูรณ์ โดยนายชาญวิทย ์เคยเป็นเพื่อน ของนายไชยบูลย์ตั้งแต่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาสอบปากคำเพิ่มเติม ตำรวจได้พบข้อมูล ด้วยว่าที่ดิน ที่ซื้อกระทำตั้งแต่สมัยศิษย์เอก บางคนมีหน้าที่ใหญ่โตทำให้การซื้อที่ดินไม่มีปัญหา แต่ปรากฎว่า ที่ดินบางส่วน กำลังตรวจสอบข้อมูลว่ารุกล้ำที่ราชการ หรือรุกล้ำเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.พิจิตรว่า การเข้าไปกว้านซื้อ ที่ดินของนายไชยบูลย์ต้องย้ายวัดเขาพนมพาเหนือ และโรงเรียน วัดเขาพนมพา ออกไปด้วย เนื่องจากอยู่ในสายแร่ทองคำที่นายไชยบูลย์จะไปทำเหมืองทอง พระจันทร์ สาระคันโท อายุ 73 ปี เปิดเผยว่า วัดเขาพนมพาเดิมตั้งอยู่ติดเชิงเขา แล้วนายทุน ได้มาพร้อมกับนายสมบูรณ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 นายชาญวิทย์ นายถาวร มาร่วมกับ เจรจาขอให้ย้ายวัดออกไป ซึ่งนายสมบูรณ์เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิที่ดินสค. 1 ของวัด และได้ขายที่ดินไปแล้ว จึงขอให้ย้ายวัดไปตั้งใหม่ ซึ่งไกลจากหมู่บ้านและที่ตั้งใหม่วัดก็ไม่ได้ถือครองกรรมสิทธิ์
ด้านนายสมหวัง ซึ่งเป็นครูอยู่ที่รร.เขาพนมพา กล่าวว่าโรงเรียนกับวัดอยู่ใกล้กัน และปลูกสร้างนับสิบปี ทางนายถาวร และชาญวิทย์ มาติดต่อ ขอย้ายโรงเรียนไป โดยรับปากจะสร้างให้ใหม่ห่างจากหมู่บ้านไป 1.5 กิโลเมตร แต่โรงเรียนไม่ได้ย้าย เพราะนายทุนไม่ไดัทำอย่างพูด และการขออนุญาตไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลง ขณะที่นายบรรเจิด กลิ่นจันทร์ ผู้ช่วยผอ.ประถมศึกษา อ.วังทรายพูน พิจิตร กล่าวว่า การย้ายโรงเรียนวัดเขาพนมพามีแต่การพูดกัน แต่ตนไม่ได้รับเรื่อง
ผู้สื่อข่าวยังได้รับการเปิดเผย จากนายปรง ยอดทหาร อายุ 57 ปี 1/1 หมู่ 7 ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน ด้วยว่า ตนได้รับการทาบทาม จากกลุ่มนายทุนขอซื้อที่ดินของตน 100 ไร่เศษ ในราคา 19 ล้านบาท แต่ไม่ยอมขายให้ นายถาวรจึงได้มา รับไปพบข้าราชการผู้ใหญ่ขอให้ตกลงยอมขายโดยดี พร้อมกับมีผู้ชายแต่งชุดทหารพรานไปด้วย 3 คน แต่ถึงจะบังคับอย่างไร ตนก็ไม่ยอมขาย
ส่วนนางสังวาลย์ พิจิตรสิริ อายุ 36 ปี บ้านเลขที่ 3/1 หมู่ 7 กล่าวว่าการซื้อขายที่ดินได้มีการซื้อขายจริง โดยนายถาวร เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ในส่วนของชาวบ้าน มีการกดดันให้ขายที่ดินแต่ชาวบ้านไม่ขายหลายราย
ในวันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมกรรมาธิการการศาสนาฯ โดยได้เชิญตัวแทน จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมทีดิ่น กรมสรรพากร และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติมาชี้จแง โดยกรมที่ดินชี้แจงว่า ยังไม่มีการโอนที่ดิน มาเป็นของวัด แม้แต่แปลงเดียว ส่วนกรมสรรพากรติดตามเรื่องภาษีแต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน
ด้านนายเทพมนตรี ลิมปพยอม อาจารย์ประจำศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งมาชี้แจง กับกรรมาธิการด้วย ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าสถาปัตยกรรม ของมหาธรรมกายเจดีย์เป็นสิ่งแปลกปลอม ไปลักษณะ นำความเชื่อ นิกายอื่นมาด้วย ทั้งมหายาน หินยาน วชิรญาณ รวมถึงนิกายคิงงอน ที่ไปสร้างพระธรรมกาย ประจำตัวขึ้นมา ให้กับผู้มีชีวิต รวมถึงการนำรหัสจิต ของแต่ละคนมาฝังรวม กับพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่คำสอน ของพุทธนิกายเถรวาท และการวางโครงสร้าง สถาปัตยกรรมตำแหน่ง ที่นั่งของนายไชยบูลย์ ในเจดีย์มีการปูลาด ด้วยพระสีแดง เหมือนลาดพระบาทของจักรพรรดิ์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า บุคคลผู้นี้เป็นผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม การก่อสร้างเช่นนี้ ชนชั้นจักรพรรดิ์หรือมหากษัตริย์เท่านั้น ที่ทำได้ ที่ผ่านมา การสร้างสถูปเจดีย์ในอินเดียว พระปฐมเจดีย์ ที่นครปฐม หรือแม้แต่เจดีย์ ชเวดากองที่พม่า ล้วนแต่ชนชั้ กษัตริย์สร้าง
ส่วนการ จะเอาผิดได้หรือไม ่ต้องดูการออกแบก่อสร้างได้รับคำสั่งจากใคร และนักเจดีย์วิทยา ของวัดคงรู้ดี ถึงได้ออกมา ในรูปแบบดังกล่าว ตั้งใจอย่างมาก แม้แต่การจัดวางดอกไม้ที่มีรูปแบบอภิเษกพระสงฆ์ให้เหมือนพระพุทธเจ้า หากจะสร้าง ธรรมกายเจดีย ์ต่อไปต้องออกไปจากพระเถรวาทและไปบวชใหม่ในนิกายคิงงอน