เดลินิวส์ 25/6/2542
แฉ'ไชยบูลย์' โกงภาษีที่ดิน
เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ ชี้ปมใหม่ถลกจีวรเดียรถีย์เรื่องที่ดิน ถ้าพบการหลบภาษีเอาผิดทางสงฆ์ได้ทันที งานนี้เข้าข่าย ปาราชิกาลักษณะ "สุงกฆาตะ"เลี่ยงจ่ายส่วย-ภาษี ถือเป็นการลักทรัพย์ของแผ่นดิน แฉที่ดิน มีชื่อ"ไชยบูลย์"หราส่อเค้าหลบภาษี เฉพาะที่เพชรบูรณ์ เจอแทบทุกแปลง ตำรวจสอบปากคำ เจ้าของที่ดินไว้แล้ว ส่วนที่จ.เลยตามกลิ่นฮุบที่สาธารณะ รวมถึงต้องพิสูจน์ การรุกล้ำที่ป่า งานนี้"เสี่ยสอง"เป็นคน กว้านซื้อที่ดินมอบให้
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวถึงคำวิจารณ์ กระบวนการศาลสงฆ์ ตัดสินปัญหา คำฟ้องร้องปาราชิก ของนายไชยบูลย์ สุทธิผล ล่าช้า ว่าเพราะมีการเสนอเรื่องเพิ่มเติมไม่จบสิ้น ยื่นมาตลอดทำให้ล่าช้า เมื่อจะไม่รับเพิ่มก็ร้องไม่เป็นธรรม เมื่อรับเรื่องก็หาว่าล่าช้า ทำไมไม่ตัดสินใจเสียที จะรับหรอืไม่รับ ลำพังเฉพาะเรื่องการฟ้องร้องก็ยังไม่ครบจะให้ตัดสินได้อย่างไรให้คิดเอาเอง ล่าช้าเพราะใคร
นอกจากนั้นขณะนี้ยังมีการ กล่าวโทษกับตำรวจเรื่องที่ดิน และแตกออกเป็นเรื่องของภาษีที่ดินที่มีข่าวการหลบภาษี ซื้อมาแพงแต่แจ้งราคาต่ำ หากมีหลักฐานยืนยัน ก็สามารถเอาผิดได้อีกทางวินัยสงฆ์ ถือว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เอามาลงโทษ ตามวินัยสงฆ์ได้
"เรื่องของทางราชการ หากยุติโดยเร็วมีการตรวจสอบเรื่องที่ดินเร็วขึ้นจะทำให้เรื่องต่าง ๆ จบง่ายขึ้น เพราะหลักฐานชัดเจน บอกไปหลายครั้ง ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า จะมาเร่งแต่ทางสงฆ์อย่างเดียว ทั้งที่เรื่องทางสงฆ์ตัดสินยาก กว่าคดีความทางกฎหมายบ้านเมือง "
พระสุเมธาภรณ์กล่าวถึง กรณีที่มีข่าวการท้อใจและที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าจบแค่ ประถม 4 นั้น เป็นการพูดเล่นหยอกล้อ ไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียด ก็เอาไปเขียน เลยไม่รู้ว่าพุดจริงพูดเล่น และจะทำให้ดูว่า จบประถม 4 จะทำอะไรได้บ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่าหากนายไชยบูลย์เลี่ยงภาษีที่ดิน ตามพระธรรมวินัย ก็คือต้องโทษปาราชิก ต้องถอดจีวรออกจากร่าง ในฐานลักทรัพย์ เพราะเข้าลักษณะ"สุงกฆาตะ" หรือ การเลี่ยงจ่ายส่วย หรือภาษี ซึ่งถือว่าภาษีเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน โดยจากการรวบรวมข้อมูล ของที่กองปราบปรามลงไปในพื้นที่พบว่า มีที่ดินหลายแปลงท ี่นายไชยบูลย์ซื้อแล้วแจ้งภาษีต่ำอาทิที่ดินที่อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ จากการสอบปากคำ นางบุญชู บุญเพ็ง ได้ข้อมูลว่า นางบุญชูขายที่ดินให้ไป 30 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา ขายไร่ละ 30,000 บาท ได้เงินไปเกือบ ๆ 1.2 ล้านบาท แต่แจ้งกับสำนักงานที่ดินว่านายไชยบูลย์ซื้อมา แค่ 1.5 แสนบาท,นางอ้อย บวมขม ขาย 16 ไร่ 2 งาน 33 ตารางวา ราคาไร่ละ 2 หมื่นบาท จะได้เงินราว ๆ 3.3 แสนบาท ขณะนี้ได้เงินเพียง 175,000 บาท แต่ทั้งที่ยังจ่ายเงิน ไม่ครบก็ไปแจ้งสำนักงานที่ดินว่าซื้อขายกัน 1 แสนบาท
เมื่อเวลา 12.30 น. น.ได้มีจ.อ.ยุทธศักดิ์ จันเหลือง สังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ,นายณัฐวุฒิ วิกราต์วานิช นักธุรกิจ ,นางจิตติมน อินทพันทร์ ครู ในนามพุทธศาสนิกชน เดนิทางมากราบนมัสการพระสุเมธภรณ์ เพื่อถวายหนังสือให้กำลังใจ
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ที่ต้องให้กำลังเพราะ มีความเป็นห่วงเกรงว่าพระสุเมธาภรณ์จะมีอุปสรรคในการดำเนินงาน จึงทำให้ถูกมองว่า กระบวนการ ทำงานล่าช้า จึงอยากให้กำลังใจ ตนเคยเข้าวัดพระธรรมกายตั้งแต่รุ่นแรก ๆแต่ถอนตัวออกมา เพราะเห็นว่า มีบางอย่างผิดปกต ิผิดเพี้ยนไปจากหลักการ ของพระพุทธศาสนา
นางจิตติมนกล่าวว่า อยากให้พุทธบริษัททั่วประเทศลุกออกมาช่วยปกป้องพระศาสนา ไม่ควรให้ส่วนน้อยกระทำ แต่ลำพัง บุรุษที่โกนหัวห่มเหลือง หากินคือเดียรถีย์ดี ๆ นี่เอง ส่วนจ.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่าชาวพุทธ ต้องทำหน้าที่รักษาศาสนา ต้องสละชีวิตปกป้องศาสนาจึงออกมาให้กำลังใจ
ต่อมาเมื่อเวลา 14.30น.นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา และนายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ เดินทางมาพบ พระสุเมธาภรณ์ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีการฟ้องนายไชยบูลย์ โดยก่อนการให้ปากคำ นายมาณพเล่าถึงการที่คณะกรรมการ แก้ไขปัญหาพระพุทธศาสนา กระทรวงศึกษาธิการเตรียม ยกร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา และจะเป็นกฎหมายลูก ออกตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากรับฟังพระสุเมธาภรณ ์เชิญตัวแทนจากกรมการศาสนา เข้าหารือโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวรับทราบ
จนกระทั่งเวลา 16.20 น.นายมาณพออกมา และกล่าวว่าตนได้มาให้ปากคำ เพิ่มเติมหลังจากที่ได้รับหนังสือ จากเจ้าคณะปทุมธานีเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. และวันนี้ได้มีการสอบถาม ถึงคุณสมบัติของผู้ยื่นคำฟ้องตามกฎนิคหกรรม หลังจากนี้จะรับฟ้อง หรือไม่เป็นสิทธิของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยกฎนิคหกรรมไม่ได้กำหนด ระยะเวลาไว้ หากมีการรับฟ้องจะเรียก ผู้ถูกกล่าวหามารับทราบการฟ้อง เรื่องจะเข้าสู่คณะผู้พิจารณาขั้นต้น และจะมีการตั้งพระรูปหนึ่ง ขึ้นมาเป็นโจทก์แทนผู้กล่าว และคำฟ้องทั้งหมดเหลือเพียงกรณีนายประจิณ ฐานังกรรายเดียว
พล.ต.ต.อชิระ สมแก้ว ผบก.จ.ปทุมธานี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าว นายตำรวจระดับพันเอก ซึ่งอยู่ในชุดสอบสวนคดีธรรมกาย นำข้อมูลไปหารือกับทางวัด รวมถึงมีอดีตอ.ตร.เข้าร่วมหารือด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปทุมธาน ียศพันเอกมี 2 คนคือพ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รองผบก.จ.ปทุมธานี และพ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข ผกก.สภ.อ.คลองหลวง แต่ทั้ง 2 คน ไม่มีใครเป็นลูกศิษย์หรือใกล้ชิด วัดพระธรรมกาย ถึงขนาดมีความรู้สึก ที่ไม่เป็นกลาง ถ้ามีการนำข้อมูลไปให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นความลับราชการ เชื่อว่าพล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน จะสั่งการให้สอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ทางด้านพล.ต.ท.วาสนา กล่าวในเรื่องมีนายตำรวจนำหลักฐานไปวัดพระธรรมกายว่า ไม่น่าจะมีใครนำไปให ้เพราะขณะนี้ทีมงาน ถูกส่งไปต่างจังหวัด เพื่อรวบรวมข้อมูล โดยคาดว่าทั้งหมด จะรวบรวมข้อมูลครบ ในวันอาทิตย์นี้ และจะพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ เป็นอันดับต่อไป ส่วนข่าวที่ว่าตนไปวัดพระธรรมกาย ในวันนี้ก็ไม่จริง เพราะอยู่สภาฯตลอด
ขณะเดียวกัน พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต)ทำการปรับปรุงหนังสือ"กรณีธรรมกาย"อีกครั้ง โดยขยายความให้ง่าย และทำความเข้าใจ ให้ตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น เนื้อหาใจความที่ปรับปรุงใหม่ คือการย้ำให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า นิพพานเป็นอัตตา เป็นตัวตน เป็ฯสถานที่ และไม่มีหลักฐานพิสูจน ์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ จึงได้มีการใช้วิธีต่าง ๆ แอบอ้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุน ความเชื่อนิพพานเป็นอัตตา แม้แต่การบรรลุธรรม เป็นอริยบุคคลขั้นต้นคือการเป็นพระโสดาบันก็ต้องละทิ้งขันธ์ 5 หรือความเป็นตัวตนไปแล้ว ดังนั้นธรรมที่สูงขึ้นไป กว่านี้จึงไม่มีทางที่จะเป็นอัตตาได้ และการที่ไปเข้าใจว่าการท ี่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา ก็เพื่อให้เห็นสิ่งที่เป็นตรงข้าม คือธรรมะที่เป็นอัตตา ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด
นอกจากนั้นพระธรรมปิฎก ยังกล่าวถึงคำว่าอนัตตาด้วยว่าอย่าไปหลงเข้าใจผิดในความหมาย เพราะคำว่าอนัตตาแปล ความได้ว่าคือสิ่งที่ตรงกันข้าม กับความเป็นตัวตน ไม่ใช่แปลว่าความไม่มี หรือความสูญสลายไปทั้งหมด ดังนั้นชาวพุทธ จึงควรเข้าใจว่านิพพาน ของศาสนาพุทธไม่ใช่อัตตา แต่นิพพาน เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอัตตา ซึ่งแสดงด้วยความหมายของคำว่าอนันตตา
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับที่ดินของนายไชยบูลย์นอกจากมีปัญหาเรื่องภาษีแล้ว จากการตรวจสอบ ที่ดินที่นายไชยบูลย์ถือครองนั้น ที่จ.เลย มีบางแปลงที่ได้รับการบริจาค ปรากฎว่ามีการรุกล้ำที่สาธารณะ เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่น.ส.3ก.ได้มาจากการนำที่น.ส. 3ก.หลาย ๆ แปลงมารวมให้เป็นแปลงเดียว ปรากฎว่าได้มีการรวมเอา ที่สาธารณะเข้าไปด้วย เท่าที่ตรวจสอบพบคือที่ดินน.ส.3ก.เลขที่ 726 และน.ส.3ก.เลขที่ 894 ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ
ที่ดินที่จ.เลยนี้พ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.ฉัตรกนก เชียวส่องแสง ผกก.3ป. เดินทางไปตรวจสอบแล้ว และลงไปดูที่ดิน แต่ละแปลงด้วย โดยเมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกันนี้ คณะชุดสืบสวน ได้เดินทางไปยัง สภ.อ.ภูเรือ จ.เลย เพื่อประสานงาน ในการนำตัวเจ้าของที่ดินเดิม ที่ขณะนี้นายไชยบูลย์ เป็นผู้ครอบครอง มาให้ปากคำ 7 รายด้วยกัน
คนแรกนางสีคาร สุธงษา ขายที่ดินจำนวน 12 ไร่ให้กับนางวรรณา อุดมผล ในราคา 1,700,000 บาท ,นายฉลาด นาลาศรี ขายที่ดินจำนวน 19 ไร่ในราคา 540,000 บาทให้กับนายทุนรายหนึ่งเมื่อปี 2539 ,นางขันดี ล้อมแผน ได้เงิน 700,000 บาท จากการขายที่ดิน 10 ไร่เมื่อปี 2535 ,นายฉวาง นาราศรี ขายที่ดิน 7 ไร่ได้รับเงินมา 200,000 บาท ในปี 2535 ,นายสงบ ศรีบุรินทร์ ขายที่ดิน 4 ไร่ในราคา 120,000 บาท ,นางสว่างจิต สุวรรณชาติ ได้เงิน 300,000 บาทจากการ ขายที่ 10 ไร่ และนางเหมือน สุวรรณชาติ ขายที่ดิน 20 ไร่ในราคา 400,000 บาท
ทั้งนี้ที่ดินทั้งหมดน ี้ได้มีนายหน้าจากกรุงเทพฯเดินทางมากว้านซื้อ ทราบเพียงชื่อว่า นายเพชรมาระดมซื้อให้ นายทุนที่ชื่อเสี่ยสอง ในเวลาต่อมาจึงทราบว่า เสี่ยสองได้ยกที่ดินให้นายไชยบูลย์ เพื่อก่อสร้างเป็นสำนักวิปัสนา โดยมีการสร้างอาคารขึ้นแล้ว 2 หลังใหญ่ และกำลังก่อสร้าง เพิ่มเติมอีก 2 หลัง โดยจ้างแรงงานในหมู่บ้าน มาทำการก่อสร้าง ที่น่าสังเกตคือจะไม่อนุญาต ให้บุคคลภายนอก เข้าบริเวณภายในสำนักเด็ดขาด
พ.ต.อ.ฉัตรกนก กล่าวภายหลัง การสอบปากคำเสร็จสิ้นลงว่า ผลการสอบสวนชาวบ้านเจ้าของที่ดิน เบื้องต้นทราบว่า ชาวบ้านได้ขายที่ดิน ให้นายทุนที่ชื่อเสี่ยสอง จากนั้นได้มีการโอนเป็นของนายไชยบูลย์โดยเสน่หา ซึ่งจากการตรวจสอบที่ดิน ที่ซื้อมาจากชาวบ้านนี้ เบื้องต้นไม่พบว่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตรงกับที่เจ้าพนักงานที่ดิน อำเภอภูเรือให้การว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง โดยถือครองเป็น นส.3 ก.ทั้งหมด ส่วนขั้นตอนต่อไป จะต้องตรวจสอบแนวเขตรังวัดกันอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีที่ดิน อีกแปลงหนึ่งที่น่าสงสัยว่า จะอยู่ในเขตป่าสงวนฯ ซึ่งมีการนำต้นไม้ ไปปลูกไว้บางส่วนแล้ว ลักษณะที่ดินติดเขาเท่าที่มองเห็น อาจอยู่ในเขตป่าสงวนฯ อย่างไรก็ตามก็จะได้ ทำการตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกัน นายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการสภาทนายความ บรรยายถวายความรู้ ให้กับพระธรรมทูต ที่อาคารเมตตา วัดปากน้ำภาษีเจริญ ในเรื่องกฎหมายเบื้องต้นหัวข้อ"ที่ดินวัด สมบัติพระ" โดยช่วงหนึ่งของการบรรยาย ได้ระบุว่าปกติการถวายที่ดินให้วัด หากชาวบ้านแจ้งความประสงค์ จะนำที่ดินครอบครอง มาให้วัด เพียงแต่ประกาศออกไปกลางศาลาวัดก็มีผลตามกฎหมายสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียน เท่ากับที่ดินนั้น ๆ เป็นของวัด มีผลทางกฎหมายชัดเจนเพียงพอ และเปรียบเทียบกับได ้กรณีนายไชยบูลย ์ที่ประกษศโอนทีดิ่น คืนให้เป็นของวัด ทางกฎหมายถือว่า สมบูรณ์แล้วเช่นกัน ไม่ต้องนำไปจดทะเบียน
"ในสมัยก่อนคนแก ่จะโอนที่ดิน ให้วัดมักไม่ยอมนำโฉนดมามอบ เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย พอถึงสมัยลูกหลาน ก็เกิดปัญหาคดีความฟ้องร้องกัน จึงเป็นเรื่องที่พระ ที่จะเป็นพระสังฆาธิการต้องมาดูแล โฉนดที่ดินที่ยังไม่มีการดอน ให้เป็นของวัดให้เรียบร้อย"
นอกจากนี้ในเรื่องสมบัติส่วนตัว ของพระ ทรพัย์สินใดได้มาระหว่างเป็นพระต้องถือเป็นของวัด เมื่อพระมรณภาพก ็ตกเป็นของวัด เป็นอำนาจ ของสมภารหรือเจ้าอวาสเป็นผู้จัดการมรดก เช่นทีดิ่นพระที่ถือครองแม้จะเป็นชื่อของพระ ก็สามารถใช้อำนาจฟ้องร้อง โอนกรรมสิทธิ์ได้