เดลินิวส์ 22/6/2542
อีก 30 วันจับ'ไชยบูลย์'ได้ทันที ตร.รวบรวมหลักฐานเสร็จแน่
สมเด็จพระสังฆราช ประทานดำรัสอีกครั้ง เตือนชาวพุทธบางกลุ่มกำลังหลงผิดคิดว่ากำลังพิทักษ์ศาสนาแต่กลับทำให้ศาสนามัวหมอง แปดเปื้อน คนส่วนใหญ่ ต้องร่วมกนแก้ไข ทำให้ความสงบคืนมาโดยเร็ว พร้อมกับศึกษาธรรมะ อย่างถูกต้อง"อาคม" สั่งกรมศาสนาสjงหลักฐานเพิ่ม ฟ้องร้องเดียรถีย์ ต่อศาลสงฆ์ หลังจากเกิดปัญหา ตกลงเงื่อนไขสำคัญไม่ได้ระบุเป็นชาวพุทธ มั่นใจคดีทางโลก ตำรวจรวบรวม หลักฐานเสร็จภายใน 30 วัน จับได้ทันที เผยเจ้าคณะปทุมฯ ถูกกดดันหนัก จนอยากถอนตัว เจอพระระดับสมเด็จฯ 2 รูป ชั้นธรรม 1 รูป โทรศัพท์หากดดันจนท้อ
การจัดการสางเสี้ยนศาสนา พระปลอม"นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ยังไม่มีความกระจ่างชัด แต่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระวรธรรมคต ิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชาวพุทธตื่นขึ้นมาช่วยกันขจัดภัยศาสนา ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระสังฆราช ประทาน พระวรธรรมคติ อีกฉบับให้กับคณะสงฆ์ที่จะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ โดยจะตีพิมพ์หนังสือ "อนุสรณ์ธรรมศึกษา" ประจำปี 2542 ของวัดป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ ประเทศสหรัฐฯ ใจความว่าแม้ไม่พูดก็ทราบกันดีทุกคน ขณะนี้กำลังปรากฏ ความชุลมุนวุ่นวายในบรรดา ผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่มิใช่ความวุ่นวายหรือเศร้าหมองในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธศาสนาจะไม่ศร้าหมองด้วยเหตุใดทั้งสิ้น
พระพุทธศาสนานั้น สมเด็จพระสังฆราช ทรงเปรียบว่าเหมือนเพชรที่ไม่ว่า จะนำโคลนตมสิ่งสกปรกโสโครกใด ไปพอกทาก็หาอาจทำให้เพชร เกิดความมัวหมองได้ไม่ เมื่อสิ่งสกปรก ถูกขจัดออกไป เพชรย่อมปรากฏความเป็นเพชรดวงงามบริสุทธิ์ล้ำค่าเช่นเดิม จึงมั่นใจได้ว่า เมื่อความชุลมุนวุ่นวาย ที่กำลังเกิดขึ้นสงบลง พระพุทธศาสนาก็จะปรากฏ ความรุ่งเรือง สว่างสืบไปในไทยและในโลก
ความสำคัญอยู่ที่ว่าชาวไทย ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด นอกหรือในประเทศต้องมี ความสามัคคีพร้อมใจแก้ปัญหา ทำความวุ่นวายให้สงบโดยเร็ว แสงแห่งพระพุทธศาสนา จะได้พ้นจากการถูกพรางไว้ด้วยความสกปรกวุ่นวาย อันเกิดแต่ความเบาปัญญา ของผู้ไม่รู้คุณของพระพุทธศาสนา โดยหลงเข้าใจผิด ด้วยมีมิจฉาทิฐิว่า ตนกำลังเป็นกำลังสำคัญ เทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนา ซึ่งการรู้ธรรมะในพระพุทธศาสนา อย่างถูกต้องแม้เพียงพอสมควร จะป้องกันมิให้เกิดมิจฉาทิฐิเช่นนั้นได้ จะพ้นจากการที่เป็นผู้ทำดีมีบุญ ไปเป็นการทำไม่ดีมีบาป เพราะทำร้ายพระพุทธศาสนาได้ด้วยความเบาปัญญา อันเป็นโทษ ที่ร้ายแรงหนักหนา
พระพุทธศาสนา จะสว่างเจิดจ้า เหนือแสงใดทั้งปวง อยู่ทุกหนทุกแห่งทุกนาที ชาวพุทธมีหน้าที่ต้องขจัดความสกปรก ให้ไกลออกไปเพื่อจะได้รับแสงสว่าง งดงามแห่งพระพุทธศาสนา ส่องทางชีวิตให้ดำเนินไปอย่างสวัสดีที่สุด ในโลกแห่งความมืดนักหนานี้
นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถามถึงกรณีที่เจ้าคณะอำเภอคลองหลวงออกมาระบุว่านายมานพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศานา ไปยื่นข้อกล่าวหาเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายโดยไม่ระบุว่าเป็นชาวพุทธทำให้ขาดคุณสมบัติที่จะกล่าวหาได้นั้น ขณะนี้ ตนได้สั่งการให้ นายมานพ นำข้อมูลหลักฐาน ที่แสดงว่า นายมานพเป็นชาวพุทธเต็ม 100% ไปแสดงต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม เพื่อให้รับทราบว่า นายมานพมีคุณสมบัติครบ 5 ประการที่สามารถกล่าวโทษเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้
ส่วนกรณีที่ลูกศิษย์วัด พระธรรมกายฟ้องกลับ ว่า เป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่เวลานี้ตนก็ยังไม่ได้รับหมายศาล แต่ก็ทราบว่าจะมีการไต่สวนเรื่องน ี้ในวันที่ 24 ส.ค. ซึ่งจะมอบให้ฝ่ายกฎหมาย ของกระทรวง เป็นตัวแทนไปดำเนินการแทน เพราะที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าท ี่ในฐานะรัฐมนตรีที่ดูแล กรมการศาสนา ไม่ได้ทำโดยพลการ จึงคิดว่าไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไร และก่อนหน้านี้ก็มีพระรูปหนึ่ง ของวัดพระธรรมกาย โทรฯมาบอกว่า จำเป็นต้องฟ้องกลับแน่นอน เพื่อที่วัดจะได้มีหลักฐานในการต่อสู้คดี
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องที่ดินนั้น คาดว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เวลาในการประมวลข้อเท็จจริงไม่เกิน 30 วันก็น่าจะฟ้องร้องได้ และเมื่อมีหลักฐาน เพียงพอคงรับเป็นคดี เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอาวาสก็จะตกเป็นผู้ต้องหา และต้องมามอบตัว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินการต่อไป
นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนากล่าวว่า ในคำฟ้องที่ได้ยื่นต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่าไม่ได้ใส่คำว่า นับถือศาสนาพุทธลงไป แต่มีวิธีปฏิบัติอยู่ 2 กรณีคือ 1.คำกล่าวหาต้องระบุในข้อ 4 (8) ข้อ ข มีเรื่องสำคัญอยู่ 5 เรื่อง ซึ่งไม่ได้ใส่ลงไป แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะกรมการศาสนาเป็นคนเขียนอธิบายเองว่า ถ้าไม่ใส่ลงไปในแบบนั้น จะใส่เพิ่มเติมก็ได้ คำว่าเพิ่มเติม หมายความว่า เมื่อผู้รับคำฟ้องคือ เจ้าคณะจังหวัดรับเรื่องไปแล้วก็ต้องสอบถามว่ามีคุณสมบัติอย่างไร คือจะสอบถามวันที่ไปยื่นหรือถามหลังจากนั้นก็ได้
"แต่จุดประสงค์ ก็คือต้องการให ้เรียกไปสอบถาม จึงไม่ได้ใส่ไปในคำฟ้อง ตอนนี้คำฟ้องนี้ยังไม่ตกแต่ยังไม่ได้รับคำฟ้องเท่านั้น จึงยังไม่ถือ ว่าข้อมูลที่ฟ้องไปนั้น ผิดหรือไม่ผิด ตอนนี้หมายความว่าเจ้าคณะต้องตรวจคุณสมบัติคนฟ้องก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านอาจสงสัย คุณสมบัติผู้เป็นโจทก์ ซึ่งมี 5 ประการ ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นต้องใส่ในคำฟ้องหรือคำกล่าวหาก็ได้"
นายมาณพ กล่าวว่า นายอาคม ได้เรียกไปพบเพื่อให้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า มีข้อความบางประการเช่น มีวาจาเป็นที่เชื่อถือได้ ลักษณะอย่างนี้ ต้องเขียนไปในคำฟ้องหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องไม่จำเป็น ขั้นตอนต่อไปนั้น เมื่อรับคำฟ้องแล้ว ต้องพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องว่า มีมูลหรือไม่ ถ้าไม่มีก็สั่งยกเลิกคำฟ้องนั้นไป แต่ก็ยังสามารถอุทธรณ ์ได้อีกภายในเวลาที่กำหนด เนื่องจากคำฟ้องนั้นได้ฟ้องเป็นครุกาบัติ เป็นอาบัติถึงขั้นปาราชิก อีกทั้งการยื่นฟ้องนั้น เป็นมติของกรมการศาสนา ที่ได้มอบให้เป็นประธานอนุกรรมการ ด้านนี้ เป็นตัวแทนกรมการศาสนา แต่ในกฎนิคหกรรมนั้นต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการ กรมการศาสนา ยื่นฟ้องเองไม่ได้
เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันเดียวกัน นายมาณพและนายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา ได้เดินทางไปนมัสการพระ สุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พร้อมนำสำเนาหนังสือแสดงคุณสมบัติในฐานะผู้ที่กล่าวหากรณีวัดพระธรรมกาย ตามข้อ 4 (8) ที่กำหนดว่า 1.เป็นคฤหัสถ์ผู้นับถือ ศาสนาพุทธ 2.มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 3.มีความประพฤติเรียบร้อย 4. มีวาจาเป็นที่เชื่อถือได้ และ 5.มีอาชีพเป็นหลักฐาน ครบทั้ง 5 ข้อโดยมีพระมหาประพันธ์ วัชระญาโน พระเลขาฯเป็นผู้รับมอบหนังสือ พร้อมทั้งแจ้งให้นายมาณพ เดินทางมาที่วัดอีกครั้ง และให้นำเอกสารตัวจริง มาแสดงต่อพระสุเมธาภรณ์ด้วย เพื่อให้เอกสารทั้งหมดมีความสมบูรณ์ รวมทั้งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีได้มีหนังสือเชิญตัวนายมาณพอย่างเป็นทางการ
นายมาณพกล่าวหลัง การยื่นสำเนาเอกสารว่า ตั้งใจเดินทางมานมัสการด้วยตนเอง พระ สุเมธาภรณ์ไม่ได้มีหนังสือเชิญไปแต่อย่างใด เพราะร้อนใจกลัวว่า คำฟ้องจะไม่สมบูรณ์ขาดคุณสมบัติ และก่อให้เกิดความเสียหายได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการแจ้งความเท่านั้น ยังไม่ใช่การไม่รับเรื่องราวแต่อย่างใด พระสุเมธาภรณ์ก็ปฏิบัติ ถูกต้องแล้วทุกประการ ส่วนนายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กล่าวในเรื่องของผู้ต้องสงสัย ขู่วางระเบิดวัดมูลจินดารามว่า รู้จักนายศิวนาถ มูลทองจาก ดี ตั้งแต่บวชอยู่ที่วัดห้วยจันทร์ ลพบุรี โดยตนเอง เป็นผู้ใช้กฎนิคหกรรม กับนายศิวนาถเพราะชอบอวด อุตริมนุสธรรม และชอบใบ้หวยเป็นอาจิณ ได้ใช้เวลาสอบอยู่นาน กระทั่งจับสึกได้เมื่อปลายปี 2541 และได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 3/222 หมู่บ้านจิตภาวรรณ เขตสายไหม กท. ซึ่งขณะนี้ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังรวบรวมหลักฐาน เพื่อจะดำเนินคดีกับนายศิวนาถอยู่ และเจ้าหน้าที่ก็ได้นัดหมาย ให้ไปให้ปากคำ เพื่อเป็นหลักฐาน ทางคดีแล้ว บอกได้เลยว่านี่คือเสือร้าย
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าว จากวงการสงฆ์ระบุว่า พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เกิดความท้อแท้ ในการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎนิคหกรรม เนื่องจากมีพระเถระผู้ใหญ่ 3 รูปโทรศัพท์เข้ามาทุกวัน ประกอบด้วยพระระดับสมเด็จ 2 รูป และพระชั้นธรรม 1 รูป จนทำให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธาน ีกล่าวว่าจบแค่ประถม 4 ไม่สามารถไปสอบสวนพระที่เป็นเจ้าคณะชั้นราชได้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันที่ 26 มิ.ย. นี้ ศูนย์วัฒนธรรมวิทยาสถานแห่งวัฒนาธรรมตะวันออกจะจัดการบรรยายเรื่อง "ธรรมกายปัญหาเรื่องการปริยัต ิหรือการปฏิบัติ" โดยมีพระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เป็นผู้สัมมนา พระมหาบุญถึงกล่าวว่า ปัญหาธรรมกายมา ทั้งปริยัติและแนวทางปฏิบัต ิที่ไม่ตรงตาม พระธรรมวินัย
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดกระแสการตรวจสอบพระมหาวิหาร ประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน ณ พุทธมณฑล เนื่องจากมีการนำวิชชาธรรมกาย เข้าไปจารึกไว้ด้วย โดยแยกออกมาจากหินอ่อนที่จารึกพระไตรปิฎก แผ่นจารึกนั้นสอนวิธีนั่ง สมาธิแนวธรรมกาย และจะไปสู่พระนิพพาน ที่เป็นสถานที่ และอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าในพุทธศาสนามีวิชชาธรรมกายอยู่ด้วย ซึ่งมีการเสนอให้ยกแผ่นหินอ่อนวิชชาธรรมกายออกไป
นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการพุทธมณฑล กล่าวว่าไม่เห็นด้วยแก้ไขหรือรื้อแผ่นจารึกเพราะต้องการให้เป็นทางเลือก ในการปฏิบัติ และต้องสอบถาม สมาคมศิษย์หลวงพ่อสด และคณะกรรมการอนุรักษ์พุทธมณฑลก่อน.