เดลินิวส์ 20/6/2542
'สังฆราช'ปลุกชาวพุทธลุกปกป้อง ศาสนากำลังมีภัย ระบุชัดมีคณะผู้ปฎิบัติชั่วร้าย
พระสังฆราช ทรงปลุกชาวพุทธให้ลุกขึ้นมาปกป้องศาสนา ชี้ขณะนี้กำลังมีภัย มีคณะผู้ปฏิบัติชั่วร้าย ทำให้ศาสนา ด่างพร้อย-เศร้าหมอง ทำกรรม ร้ายกว่ากรรมใดทั้งปวง ทรงแนะอย่าเห็นแก่อะไรทั้งสิ้นต้องปกป้องศาสนาจากมารทั้งปวง ตัวแทนกรมศาสนายอมรับ "ผมผิดเอง" เขียนคำฟ้อง เดียรถียพลาด ตกเงื่อนไขเรื่อง "เป็นชาวพุทธ" จนถูกยกเลิกคำฟ้อง ลั่นจะยื่นอุทธรณ์แน่ กรรมาธิการศาสนาฯ อัดเละ "อ่อนแอ-อ่อนหัด" ไม่เหมาะจะทำงานต่อไป แฉงานนี้อาจทำให้ เกิดการยื้อกระบวนการศาลสงฆ์ไปได้อีก 3 เดือน ผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ แนะทางออกให้เจ้าคณะปทุมธานี เรียกไปสอบคุณสมบัติเพิ่ม ไม่เจ้าตัวก็เอาเอกสารไปถวาย ชี้จะยกคำฟ้อง ทันทีไม่ได้ สังคมจะเสื่อมศรัทธา ดึงเรื่องล่าช้าเกินความจำเป็น
จากกรณีท ี่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี จะยกคำฟ้องร้องของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยว ชาญกรมการศาสนา ที่ยื่นฟ้องให้ดำเนินการ ตามกระบวนการนิคหกรรม ต่อนายไชยบูลย์ สุทธิผล เนื่องจากในคำฟ้องของนายมาณพตกคุณสมบัติสำคัญที่ต้องระบุว่าเป็นชาวพุทธนั้น
"มาณพ" รับ "ผมผิดเอง"
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมานายมาณพ เปิดเผยว่าจะไปยื่นอุทธรณ์แน่นอน เนื่องจากไม่ได้ใส่ในคำฟ้องไว้ว่าเป็น "ชาวพุทธ" ซึ่งไม่ครบ ตามเกณฑ์ที่วางไว้ว่าผู้ฟ้อง ต้องเป็นชาวพุทธ และมี อายุเกิน 20 ปีขึ้นไป
"เป็นความผิดพลาดของผมเอง ที่ลืมเพราะว่ารีบร้อนจะฟ้องร้องให้ทันตามวันที่กำหนด ไม่มีปัญหาเพราะไม่ใช่สาระสำคัญในคำกล่าวหา ก็ยื่นอุทธรณ์ไปได ้ให้มีคุณสมบัติครบ โดยผมจะรับรองตัวเอง เพราะผมบวชเรียนมาแล้วและทำงานกรมการศาสนามา 30 ปี ยังมีเวลาที่จะทำได้ แต่ว่าตอนนี้ ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ"
นายมาณพกล่าวอีกว่าความจริงแล้ว เจ้าคณะจังหวัดสามารถเรียกตนไปพบเพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติบางข้อก็ได้ แต่ไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าพบ ส่วนจะส่งหนังสือ อย่างเป็นทางการมาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ตนจะอุทธรณ์ไปยังพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะศาลสงฆ์ชั้นต้น และเรื่องนี้นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ยังไม่มีคำสั่งอะไร และคงยังไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ
นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกรมการศาสนา เปิดเผยว่า เรื่องคำฟ้องของนายมาณพสามารถแก้ไขได้ เพราะไม่ใช่สาระสำคัญของคำกล่าวหา เพียงแต่ทำให้คุณสมบัต ิของผู้ยื่นฟ้องไม่ครบ และไม่เจอนายมาณพเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่อยากแนะนำให้นายมาณพ รีบนำเอกสารเพิ่มเติม ไปถวายพระสุเมธาภรณ์ ในวันจันทร์นี้ทันที ทั้งสำเนาทะเบียนบ้าน และบัตรประจำตัวข้าราชการ โดยให้มีการบันทึกถ้อยคำเพิ่มเติมไป
"เราต้องให้อภัยกัน เพราะคงไม่มีใครอยากทำงานผิดพลาด และน่าจะเกิดจากความไม่ตั้งใจ เมื่อรีบไปยื่นหลักฐานเพิ่ม ทางสงฆ์ก็ไม่ควรจะคืนฟ้อง หรือยกฟ้อง เพราะตามกฎนิคหกรรม ถ้าหลักฐานไม่ครบก็สามารถเรียกไปสอบถามได้ การยกเลิกทันทีไม่ถูก"
นายจรวยกล่าวอีกว่า หากจะมีการยกฟ้องจริงต้องมีการประชุมคณะผู้พิจารณาเสียก่อน และสั่งยกฟ้องเพราะ ข้อกล่าวหาไม่เป็นไป ตามความเป็นจริง แต่การเขียนไม่ละเอียด ในเรื่องคุณสมบัติผู้ฟ้องจะมายกฟ้องไม่ได้ โดยพระสุเมธาภรณ์ สามารถเรียกนายมาณพไปถามได้ ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ อายุเท่าไหร่ และบันทึกปากคำ แนบสำนวนไว้ หรือนายมาณพ รีบเอาหลักฐานไปเพิ่ม เติมให้เลย
"งานที่รับไว้ช้ามากแล้ว เพียงแค่ตรวจคุณสมบัติผู้ฟ้องน่าจะเสร็จวันรุ่งขึ้นแล้วหรือใช้เวลา 2-3 วันเป็นอย่างช้า ถ้าเป็นอย่างนี้ถือไม่ยุติ ธรรม ทั้งผู้ฟ้องและถูกกล่าวหา โดยผู้ฟ้องคนฟ้องก็คอยว่าจะเรียกไปให้การเมื่อไหร่ จะไปไหนมาไหนไม่ได้ ส่วนผู้ถูกกล่าวหาก็เหมือนกัน จะได้มาให้ปากคำ พิสูจน์ตัวเอง จะรับไม่รับ และจะได้หมดเรื่องหมดราวไป ขณะนี้ผมเป็นห่วงมากเพราะมีคนว่ากระบวนการสงฆ์ ล่าช้าเหลือเกิน"
อัด "อ่อนแอ-อ่อนหัด"
นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวว่ากรมการศาสนา อ่อนแอและอ่อนหัดมาก การทำงานในเรื่องนี้ เหมือนไม่ใช่มืออาชีพ ทำไปแบบหลวม ๆ ไร้หลักการ การฟ้องร้องนั้นสิ่งที่ถูกต้อง คือต้องระดมผู้มีความรู้ความสามารถ จากทุก ๆ ฝ่าย มาช่วยกันเขียนคำฟ้อง โดยเฉพาะฝ่ายสงฆ์ที่แม่นยำ พระธรรมวินัย ฝ่ายกฎหมายโดยเฉพาะที่เข้าใจ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาความผิดพลาด ของกรมการศาสนาเท่ากับเป็น การพิสูจน์คุณภาพของคน
"ธรรมดาอยู่เอง เมื่อมีผลงานออกมารูปนี้ ก็ย่อมถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นมวยล้มบ้าง เล่นลิเกหลอกกันไม่จริงจัง สังคมต้องมองไปแบบนั้นแน่นอน ถ้าพูดถึงการทำงานแล้วต้องดูการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การเข้ามาจับในเรื่องนี้ได้มีการตั้งคณะทำงาน จากหลายฝ่ายเข้ามาช่วยงาน มองว่าเป็นมวยกว่า หรือเป็นมืออาชีพกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มองได้ว่ากรมการศาสนาไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ได้เลย"
แฉยื้อได้อีก 3 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การยื่นอุทธรณ์ของนายมาณพนั้น ตามขั้นตอนอาจทำให้การพิจารณา ปัญหานายไชยบูลย์ตามกระบวนการศาลสงฆ์ยืดเยื้อยาวนานออกไป เนื่องจากตามกฎนิคหกรรม กำหนดว่า หลังจากได้รับคำยกฟ้องร้อง อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว นายมาณพมีเวลา 15 วัน ในการยื่นอุทธรณ ์คำฟ้องต่อศาลสงฆ์ชั้นต้นซึ่ง ได้แก่พระพรหมโมลี แต่ต้องยื่นผ่านทางพระสุเมธาภรณ์
เมื่อได้รับคำอุทธรณ์ พระสุเมธาภรณ์มีเวลา เก็บคำอุทธรณ์ไว้ได้ถึง 15 วันกว่าจะส่งไปให้พระพรหมโมลี ขั้นตอนนี้ หากไม่เร่งดำเนินการก็กินเวลาไปแล้ว 1 เดือน
จากนั้นพระพรหมโมลีมีเวลาพิจารณาได้อีก 1 เดือน ก่อนจะส่งคำวินิจฉัยมาให้พระสุเมธาภรณ์ และเมื่อพระสุเมธาภรณ ์รับคำวินิจฉัยแล้วก็มีเวลาอีก 15 วันในการส่งคำวินิจฉัยนั้น ให้นายมาณพ รวมความแล้วหากมีการดึงกันไปดึงกันมาต้องกินเวลาเกือบ 3 เดือน แต่ถ้าไม่ยืดเยื้อ ดำเนินการทันที ก็เสร็จได้ ภายในเวลาไม่เกิน 3 วัน
นอกจากนั้นกระบวนการ พิจารณาคำฟ้องร้องอื่น ๆ ก็อาจจะล่าช้าไปด้วย หากพระสุเมธาธรณ์ต้องการนำคำฟ้องร้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของนายมาณพ หรือนายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ พิจารณาพร้อมกัน โดยให้รอคำอุทธรณ์ของนายมาณพก่อน ยกเว้นจะมีการพิจารณาเฉพาะคำฟ้องของนาย สมพรโดยไม่ต้องรอ คำอุทธรณ์ของนายมาณพ
วันเดียวกันนี้ผู้สื่อข่าวรายงาน การประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 20 โดยจัดให้มีการแยกกลุ่ม พิจารณาประเด็นภัยจากความเห็นผิด และประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย ภัยจากความด้อยคุณภาพของชาวพุทธ และภัยจากความอ่อนแอ ของการปกครองและบริหารของคณะสงฆ์
หลังจากการพิจารณา ของกลุ่มต่าง ๆสิ้นสุดลง นายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาต ิได้เป็นประธานกล่าวสรุปการพิจารณา โดยสรุปว่าภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้ เป็นเพราะคนไทย ขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการปล่อยวางของคนไทย นอกจากนี้คณะผู้ปกครองสงฆ์ก็มีความอ่อนแอ ขณะที่รัฐบาลก็อ่อนแอด้วยเช่นกัน เท่ากับว่าพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ลำพังพระเองก็ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อไม่มีความรู้แก่นธรรม การนำไปสอนก็จะนำความรู้ ที่รู้มาแบบผิด ๆ ไปสอนให้คนหลงผิดไปด้วย ที่สำคัญพุทธบริษัทเข้าวัดเพราะหวังผลประโยชน์ อาทิ เข้าวัดเพื่อขอหวย เข้าวัดเพื่อรดน้ำมนต์
โดยแนวทางการแก้ไข จะต้องจัดให้ชาวพุทธได้มีความรู้ในพระธรรมวินัย และต้องดำเนินการให้พุทธบริษัท ได้มีส่วนรวมในกิจกรรมต่างๆมากขึ้น และกระทรวงศึกษาฯควรกำหนดให้มีการสอนวิชาหน้าที่-ศีลธรรมในชั่วโมงเรียนมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะหน้าที่ของชาวพุทธ ต้องทำความเข้าใจให้คนไทยเข้าใจว่าพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว ด้านของพระสงฆ์ก็เลิกพูดกันเสียที่ว่า เรื่องของมหานิกาย ธรรมยุตไม่เกี่ยว อย่าพยายามทำให้ชาวพุทธเข้าใจว่ามีพระ พุทธเจ้าคนละองค์กัน
ด้านการปกครองสงฆ์การพิจารณา เห็นตรงกันว่า ต้องมีการยกเครื่อง พ.ร.บ.คณะสงฆ์กันใหม่ทั้งฉบับ การยกร่างกฎหมายสงฆ์ใหม่นี้ จะต้องดำเนินการ ในลักษณะเดียวกันกับการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยระดมสรรพกำลังความคิด จากทุกฝ่ายให้มาร่วมกัน พิจารณายกร่างโดยถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ และต้องมีการจัดให้มีการสังฆาพิจารณ์กับชาวพุทธทั่วประเทศ
ทั้งนี้โครงสร้างจะประกอบด้วยฝ่ายสงฆ์ 30 รูป และเป็นฆราวาส 30 คนร่วมเป็นคณะยกร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ใหม่ ซึ่งจะให้มีการใช้รัฐสภา เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อกฎหมาย กล่าวได้ว่าทุกอย่างจะคล้ายการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นกฎหมายสงฆ์ฉบับแรกที่พระสงฆ์กับพุทธบริษัทเป็นผู้ร่างกฎหมายมาปกครองกันเอง
"ผ่อง" ขู่ปิดถนนต้านคำสั่งสึก
ทางด้านนายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะประธานกองทุนคุ้มครองพุทธศาสนาของวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่าหากมีการจับ นายไชยบูลย์สึก อย่าคิดเรื่องนี้จะยุติ ตรงกันข้ามกลับจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างปัญหาที่จะกลายเป็นความรุนแรงมากขึ้น สังคมจะวุ่นวายแตกแยกกัน เพราะที่ดินประชาชนที่ศรัทธาซื้อให้ไม่ใช่ของใคร แต่กลับเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง จึงอยากท้าให้มาต่อสู้กัน ในศาลเป็นผู้ชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก
"พวกผมจะทำทุกอย่าง เพื่อขัดขวาง อาจต้องทำอย่างที่คนอื่น ๆ ชอบทำกัน คือละเมิดกฎหมายบ้านเมืองดูบ้าง 7-8เดือนที่ผ่านมา พวกเราไม่เคย ออกมาประท้วงปิดถนน ประท้วง แต่ตอนนี้มันถึงจุดระเบิดแล้วก็เชื่อว่าศิษย์วัดคงต้องทำอะไรกันบ้าง กรณีสื่อมวลชน จาบจ้วงหลวงพ่อมาก เช่น เรียกไอ้แว่น นาย ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นพระ การกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมายพ.ร.บ.สงฆ์ เป็นอาญาแผ่นดิน อายุความ 10 ปี นับแต่เกิดเรื่องจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะฟ้องกันแล้วมีให้ฟ้องนับร้อยคดี เชื่อว่าศิษย์วัดทุกคนมีสิทธิ์เป็นโจทก์ฟ้องได้ทั่วประเทศ ไม่อยากเป็นเรื่องตอนนี้ ทุกคนมีสติอยู่ ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย แต่อย่าบีบคั้นไปกว่านี้"
ส่วนกรณีนายชูชาติ ศิลปรัตน์ ทนาย ความชื่อดังพร้อมพวกรวม 12 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไชยบูลย์ สิทธิผล อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย นายผ่องกล่าวว่า ศาลยกฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องนี้มีเบื้องหลัง โดยข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ตนเป็นผู้ไปติดต่อกับทีมงาน ของนายชูชาติกับพวก เพื่อว่าจ้างเป็นทนายที่ปรึกษาประจำกองทุน ด้วยเห็นในฝีมือ ของสำนักงานกฎหมายแห่งนี้ จึงอยากให้มาช่วยงานกับกองทุน เนื่องจากกองทุนมิได้ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องวัดพระธรรมกายอย่างเดียว แต่ จะดูแลวัดทุกแห่ง ที่ถุกรังแกโดยมิได้รับความ เป็นธรรม
"ขั้นตอนการว่าจ้าง ทางฝ่ายนายชูชาติเสนอราคา 35 ล้านบาท ผมเห็นว่าไม่เป็นปัญหา แต่วิธีการจ้างหรือวิธีการทำงาน จะต้องไปเจรจากับคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง ถ้าคณะกรรมการตกลงก็รับจะนำเงินมาให้ และการว่าจ้างตกลงกันเป็นระยะเวลา 20 ปี แต่ปรากฏว่านายชูชาต ิไปเจรจากับคณะกรรมการกองทุนแล้วตกลงกันไม่ได้ ทางนายชูชาติจึงทำเป็นขอดูเช็ค ซึ่งทางคณะกรรมการก็ให้ดู แต่นายชูชาติไม่ยอมคืนเช็ค จึงถูกคณะกรรมการฟ้อง ขณะเดียวกันนายชูชาติก็ทึกทักเอาว่าได้เจรจาตกลงกันแล้วว่าจ้างกันแล้ว และกลับไปเขียนสัญญา ข้อผูกพันเองจำนวนหนึ่งหน้ากระดาษกับอีกสามบรรทัด แล้วมาบังคับเอาเงินจากกองทุน โดยให้จ่ายเป็นสองงวด ๆ ละ 17.5 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ว่าจ้างและยังไม่ได้ทำคดีอะไรให้กองทุนเลย"
จ๊ะเอ๋ทวงเงินคืน
ด้าน ด.ญ.กัลยา และ ด.ญ.นันทิยา เลิศตระกูลพิทักษ์ หรือ "น้องจ๊ะจ๋า กับน้องจ๊ะเอ๋" สองพี่น้องผู้ร้องขอเงิน ที่นางกนกวรรณนำไปทำบุญ กับวัดพระธรรมกาย จำนวน 2 แสนกว่าบาทคืนนั้น ล่าสุดน้องจ๊ะเอ๋ได้ติดต่อไปยังนาย สมเกียรติ ศรลัมพ์ ศิษย์คนสำคัญของวัดพระ ธรรมกาย เพื่อร้องขอความเมตตา สงสารให้ช่วยเหลือด้านการเงิน ที่มารดานำไปทำบุญกับวัดพระธรรมกายคืนกลับมา ซึ่งเงินที่มารดานำไปทำบุญนี้ เป็นเงินจากการขายที่ดินและบุพการีได้นำไปฝากธนาคารไว้ เพื่อเป็นทุนการศึกษาของตนและน้องสาว โดยนายสมเกียรติบอกว่า การให้ข่าวกับสื่อมวลชนที่ผ่านมาทำให้เกิดความเสียหาย ตกแก่วัด ทำไมไม่บอกกับ นักข่าวว่าทางวัด คืนเงินให้ไปแล้ว
"หนูบอกลุงสมเกียรต ิไปว่าไม่เห็นได้รับเงินเลย แล้วจะบอกได้อย่างไรว่ารับมาแล้ว ซึ่งลุงเขาก็บอกว่าให้เลิกจุ้นจ้าน ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้เงินอีกเลย ก่อนที่ลุงสมเกียรติจะวางหูได้บอกกับหนูว่า ให้อยู่เฉย ๆ แล้วจะไปหาที่บ้าน จากนั้นลุงก็วางหูโทรศัพท์ทันที"
สังฆราชชี้ภัยศาสนา
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการสางเสี้ยนพระพุทธศาสนานั้น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานพระวรธรรมคต ิในงานประชุมสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติด้วยว่าการประชุมครั้งนี้ในหัวข้อ "ภัยที่เกิดแก่พระพุทธศาสนา" โดยมีการอ่านในที่ประชุม ด้วยใจความว่าการประชุมครั้งน ี้เป็นการประชุมที่ทันสมัยที่สุด ขณะนี้พระพุทธศาสนากำลังมีภัย แต่ผู้ที่รู้จักพระพุทธศาสนา ตามความถูกต้องเป็นจริง จะไม่เป็นห่วงว่าพระพุทธศาสนาจะเป็น อันตราย จะเศร้าหมองด่างพร้อย ด้วยการปฏิบัติชั่วร้ายใด ๆ ของผู้ใด หรือของหมู่คณะใดก็ตาม ด้วยเมตตาธรรมประจำใจผู้นับถือพระพุทธศาสนา น่าจะพากันเป็นห่วง บรรดาผู้ปฏิบัต ิผู้ให้เกิดภัยแก่พระพุทธศาสนา เพราะเป็นกรรม ที่มีผลร้าย ยิ่งกว่าผลของกรรมร้ายใดทั้งปวง ไม่มีบาปใด กรรมใดจะให้ผลหนักหนา เสมอด้วยบาปด้วยกรรม ที่มุ่งทำลายพระพุทธศาสนา หรือมุ่งทำพระพุทธศาสนาให้เศร้าหมอง
ในทางตรงกันข้าม ไม่มีบุญไม่มีกรรมใด จะให้ผลงดงามเสมอด้วยบุญด้วยกรรมที่มุ่งเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนา ที่เชื่อไว้ก็จะดีกว่าไม่เชื่อ อย่าคิดพูดทำอะไรก็ตาม ที่เป็นการแตะต้อง พระพุทธศาสนาในทางชั่วร้าย อย่าประมาทว่าพระพุทธศาสนาก็เท่านั้น ไม่มีอำนาจ ไม่มีอิทธิฤทธิ์ ไม่มีมือไม้ แขนขา ที่จะทำอะไรใครได้
พระวรธรรมคต ิยังมีความต่อไปว่าพระ พุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้า ท่านยิ่งกว่าอิทธิฤทธิ์ทั้งปวง ผู้ที่หาญไปแตะต้องด้วยเจตนามุ่งร้าย ไม่มีทางที่จะพ้น จากผลร้ายแรงของกรรมนั้น ถ้าเทวทัตถูกธรณีสูบเพราะแตะต้องพระพุทธองค์ด้วยเจตนาร้าย ส่วนท่านพระองคุลีมาล ฆ่าคนเป็นพัน สามารถบรรลุ เป็นพระอรหันต์ได้ เพราะมีกุศลเจตนา มุ่งจะได้ถึงพระพุทธองค์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของครูอาจารย์ เพื่อมุ่งมรรคผลนิพพาน ขอให้ยกขึ้นพิจารณาให้ดี จะมั่นใจในพระพุทธบารมี มั่นใจในความจริงไม่มีบาปกรรมใด จะให้ผลร้ายแรงหนักหนา เท่ากับเรื่องทำลาย พระพุทธศาสนา และไม่มีการทำบุญทำกรรมใดที่จะให้ผลยิ่งใหญ่งดงามเท่ากับการมุ่งเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนา
"ขณะนี้เราทุกคน กำลังมีโอกาสที่ดีที่สุด ที่จะได้ทำบุญทำกรรมที่ดีที่สุด ที่จะให้ผลงดงามยิ่งใหญ่ที่สุดแก่ตนเองก่อนแก่ใครอื่น เพราะพระพุทธศาสนา กำลังมีภัย จงอย่าเห็นแก่อะไรอื่นทั้งสิ้น จงคิดพูดทำทุกอย่าง ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ เพื่อเทิดทูน รักษาพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติของเรา ให้ห่างไกลพ้นภัยจากมารทั้งปวงเถิด".