เดลินิวส์ 17/6/2542
เจาะใจทนายธรรมกาย สีกาที่ปรนเปรอ..โกงผม
เป็นใครก็ต้องงงงวยกันทั้งนั้น เมื่อกลุ่มทนายวัดพระธรรมกาย นำโดย ชูชาติ ศิลปรัตน์ ยกทีมฟ้อง ไชยบูลย์ สุทธิผล กับพวกอีก 4 คน ประกอบด้วย พระเผด็จ ทัตตชีโว ผ่อง เล่งอี้ อรอนงค์ เปรมะสกุล และ ขจรศักดิ์ สมประเสริฐสุข คดีฉ้อโกงทรัพย์ 35 ล้านบาท กับกระทำผิด พ.ร.บ.เช็ค พ.ศ. 2534 ซึ่งศาลประทับรับฟ้อง และนัดไต่สวนวันที่ 24 ส.ค.นี้
เกิดอะไรขึ้นกับอดีตพระไชยบูลย์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงมีลายพระหัตถ์วินิจฉัยชัดให้พ้นจากการเป็นพระแล้ว แต่ยังห่มผ้าเหลืองได้อยู่
ยิ่งสับสนและวุ่นวายมากขึ้นเมื่อ ผ่อง เล่งอี้ ออกโทรทัศน์ประกาศชัดเจนว่า ไม่เคยมีการว่าจ้างทนายกลุ่มนี้ทำคดีให้วัดพระธรรมกาย เพียงแต่เป็นคำแนะนำของ อรอนงค์ เปรมะสกุล จำเลยที่ 4 เท่านั้นที่บอกว่าสนิทสนมกันส่วนตัว ซึ่งกลุ่มทนายชุดนี้ก็เร่งให้มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างโดยเร็ว แต่เรื่องทั้งหมดก็ยังไม่เกิดขึ้นเพราะค่าทนาย 35 ล้านบาทนั้นดูจะเป็นสนนราคาที่สูงมาก
นอกจากนี้แล้วกลุ่มทนายชุด "ชูชาติ" ก็ถูกคนของวัดพระธรรมกายคือ ขจรศักดิ์ ฟ้อง ร้องว่า "วิ่งราวเช็คอีกต่างหาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการว่าจ้าง หนังสือสัญญาว่าจ้างเท่าที่เคยเห็นนั้นกลุ่มทนายก็เป็นผู้ร่างขึ้น มีความยาว 1 หน้ากระดาษเศษ มีการลงนามไว้โดย อรอนงค์ เปรมะสกุล เพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้ง หมดก็คือเรื่องราวที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งขึ้น"
ทำให้น่าศึกษาและน่าสนใจกับเรื่องของ ชูชาติ กับ วัดพระธรรมกาย เป็นอย่างมาก 2 ส่วนนี้เกี่ยวพันกันอย่างไร ทำไมจู่ ๆ ในการเจรจาเรื่องที่ดินระหว่าง กรมการศาสนา กับ ตัวแทน "ไชยบูลย์" ก่อนเส้นตาย 10 มิ.ย. จึงมีกลุ่มทนายของ ชูชาติ ที่ชื่อ เจษฎา และ ปรีชา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พร้อมทั้งชี้แจงแสดงเหตุผลกับสื่อมวลชนถึงเหตุจำเป็นที่ต้องขยายเวลาในการโอนที่ดินคืนวัด
ชูชาติ บอกว่า เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว และเป็นการเกี่ยวข้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในวัดพระธรรมกายอีกเลย แม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่รับเป็นผู้จัดการด้านคดีความให้แก่บุคคลสำคัญของวัดพระธรรมกายก็ตามที
การเข้าไปวัดพระธรรมกายของ ชูชาติ ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว ในช่วงที่วัดพระธรรมกายมีกรณีพิพาทเรื่องที่ดินกับเกษตรกรผู้เช่าที่นาจากกองมรดกตระกูลสนิทวงศ์ จำนวน 1,000 ไร่เศษ โดยวัดพระธรรมกายได้จัดซื้อที่ดินจำนวนดังกล่าวนี้ แต่เกษตรกรผู้เช่าที่นาบางรายไม่ยอมออกจากพื้นที่ ประกอบด้วย ใหญ่ คชทอง-จำรัส ผันปัญญา-เนียม สงวนศรี-มะลิ จันทร์วัน-ทวี จามรมาร-เจริญ พลายสำลี และ สวัสดิ์ นนทชัย จนกระทั่งเกิดการกระทบกระทั่งและจะลุกลามกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
วัดพระธรรมกายติดต่อ ชูชาติ ให้เข้ามาช่วยดำเนินการตามข้อกฎหมาย โดยที่ตัวเขาเองนั้นก็ไม่อยากจะเข้ามาทำงานชิ้นนี้เท่าใดนัก
"วันที่วัดติดต่อมา บังเอิญผมได้แวะไปกราบนมัสการ พระเทพรัชมงคลเวที วัดสัมพันธวงศ์ ก็เลยเอาเรื่องนี้เรียนปรึกษา ท่านเจ้าคุณก็เลยเตือนสติมาเพียงว่า ไปช่วยทำให้สังคมเกิดความสงบสุขเถอะ พื้นที่ตรงนั้นกำลังจะลุกเป็นไฟแล้ว ขอให้ใช้เมตตาธรรมและคุณธรรมนำหน้ากฎหมายในการแก้ไขปัญหาด้วย"
ประโยคแค่นี้เองที่ทำให้เขาคิดได้ และเข้ามารับงานของวัดพระธรรมกาย โดยคิดว่าเราไม่ทำทนายคนอื่นเขาก็ทำ เราลงมือเองเลยดีกว่า หลังจากตรวจสอบทุกอย่างดำเนินการจนกระทั่งมีการพิจารณาคดี ก็ดำเนินการฟ้องบังคับคดี จัดทีมทนายทั้ง 12 คน ไปร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ตรงเข้าพื้นที่รื้อบ้าน ใหญ่ คชทอง หัวหอกแกนนำคนสำคัญ จากนั้นก็กลับมาที่ศาลอีกครั้ง เรียนปรึกษาศาล ชี้แจงทุกสิ่งทุกอย่าง และขอพึ่งศาลให้ออกหมายเรียกชาวบ้านที่เหลืออีก 6 รายมาเจรจา ที่สุดวัดก็ได้ที่ดินตรงนั้นมาดำเนินการตามวัตถุ ประสงค์ของวัด
คดีนี้ไม่ได้ค่าว่าความ แถมยังต้องจ่ายค่าขึ้นศาลอีกต่างหาก จากนั้นอย่างที่บอกก็คือ ไม่เข้าวัดพระธรรมกายอีกเลย
เขาย้อนเหตุการณ์ไปนานพอสมควร ก็เมื่อเกือบ 10 ปีอีกเหมือนกัน ครั้งนั้นเขาได้รับว่าความคดีมรดกให้แก่ หญิงคนหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งหากชนะคดีจะได้รับมรดกมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท โดยมีสัญญาว่าจ้างกันไว้ว่า เมื่อชนะคดีจะได้รับค่าจ้างในการทำคดีนี้ทั้งสิ้น 35 ล้านบาท ....เน้น.... 35 ล้านบาท
"ผมว่าความจนหญิงคนนั้นชนะคดีได้รับมรดกสมใจ แต่ปรากฏว่าไม่ยอมจ่ายค่าทนาย ความตามที่มีการตกลงว่าจ้างกันไว้ หญิงคนนี้เข้าออกวัดพระธรรมกายบ่อยมาก เพราะมีความสนิทสนมกับเจ้าอาวาสวัด ครั้งหนึ่งผมเคยถามเรื่องนี้ท่านเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบอกเพียงว่า เรียกค่าทนายก็อย่าให้เขาเดือดร้อน ผมเข้าใจความหมายของคำนี้ดี แต่จนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้เงินค่าจ้างจำนวนนั้น"
ชูชาติ บอกว่า ผมเคยไปรอพบเจ้า อาวาสวัดพระธรรมกายอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะให้ช่วยเจรจาเรื่องค่าจ้างว่าความ แต่ปรากฏว่าไม่ยอมออกมาพบโดยดี เขาต้องนั่งรอนานกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าอาวาสจึงได้ออกมาพบด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการมาเข้านมัสการครั้งนั้น
ผมจำวันนั้นได้ดี จำสีหน้าเจ้าอาวาสได้ดี แล้วผมก็หันหลังให้วัดพระธรรมกาย ชูชาติย้ำ
สำหรับหญิงคนที่พูดถึงนั้น คือ สีกา ป. เป็น 1 ใน 6 คน ที่มีความสนิทสนมกับ ไชยบูลย์ ตามรายงานกรณีวัดพระธรรมกาย ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า เริ่มเข้าวัดตั้งแต่ปี 2528 กระทั่งปี 2533-2536 มีผู้พบเห็นว่าเดินทางไปปฏิบัติธรรมด้วยกันที่ธุดงคสถานล้านนาสุเทพ-ปุย เชียงใหม่ ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งยังมีการบริจาครถยนต์นั่งยี่ห้อ เล็กซัส จำนวน 2 คันให้แก่ ไชยบูลย์ ด้วย ซึ่งหญิงคนนี้ ชูชาติ ระบุว่า ใช้เงินปรน เปรอเจ้าอาวาสด้วย
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ชูชาติ บอกว่า ไชยบูลย์ ประสบกับปัญหาหนักหน่วงในเรื่องของการไม่โอนที่ดินคืนให้วัด มีปัญหาเรื่องคำสอนที่ผิดหลักคำสอนในพระไตรปิฎก หมดปัญหาของเหล่าทนายของวัดพระธรรมกาย แล้ววันหนึ่ง พระเผด็จ ทัตตชีโว พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผ่อง เล่งอี้ และ อรอนงค์ เปร มะสกุล ก็มาหา มาบอกว่าให้ช่วยทำคดีของวัดพระธรรมกายซึ่งเกี่ยวข้องกับ ไชยบูลย์ และ ทัตตชีโว
"ผมถามคนเหล่านี้ว่าแน่ใจแล้วหรือว่าจะให้ผมทำคดี เขาก็ยืนยันแถมยังบอกว่าให้คิดค่าทนายมาเลยเอาเท่าไหร่ ผมให้ฝ่ายบัญชีของผมคิด ฝ่ายบัญชีบอกว่าขอเรียกเท่าที่เคยถูกสีกาคนสนิทของไชยบูลย์โกงไปก็แล้วกัน 35 ล้านบาท แต่ขอว่าอย่าเอาเงินวัดมาจ่ายนะ เพราะได้ปวารณาตนไว้แล้วว่าจะไม่รับเงินวัด เขาก็ตกลงกับผม อธิบดีผ่องนี่แหละยังเคยมานั่งร้องไห้ขอร้องให้ผมช่วยทำคดีนี้เลย เรื่องนี้ไปถามพระเทพปริยัติยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรีดูได้ ผมนำเรื่องนี้ไปเรียนปรึกษาท่านด้วยซ้ำ"
แต่วันนี้เหตุการณ์ทุกอย่างผันแปรไป มิตรกำลังจะกลายเป็นศัตรู และน่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจต่างหาก ผมจะฟ้องทั้งศาลโลก ศาลสงฆ์ ไม่เชื่อก็คอยดู ??.