เดลินิวส์ 14/6/2542
ฟ้องอาญา"ไชยบูลย์"เผด็จศึกหรือยืดเวลา??
บัดนี้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดอยู่ที่กองปราบ ปราม เมื่อกรมการศาสนาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญานายไชยบูลย์ 3 ข้อหา คือการแจ้งเท็จตามมาตรา 137 เป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 147 และการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัตหน้าที่ทุจริตตามมาตรา 157 อันเป็นผลจากการที่นายไชยบูลย์ไม่ยอมโอนที่ดินจำนวน 1,700 ไร่เศษให้กับวัด
หลังการแจ้งความแล้วประเด็นสำคัญคือตำรวจจะให้หรือไม่ให้ประกันตัว !!! สาเหตุเนื่องจากหากตำรวจไม่ให้ประกันตัว นายไชยบูลย์ต้องถูกจับถอดผ้าเหลืองออกจากร่างทันที ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 มาตรา 29 และจะถือว่าเป็นการยุติบทบาทนายไชยบูลย์ที่จะไปใส่จีวรเทศน์ลาตายกับใครได้อีก แต่ทว่าหากตำรวจให้ประกันตัวงานนี้จะยิ่งยืดเยื้อยาวนานมากขึ้นไปอีก เนื่องจากตามกระบวนการศาลโลกจะต้องผ่านขั้นตอนตั้งแต่การส่งเรื่องไปให้อัยการ รวมไปถึงการส่งฟ้องคดีต่อศาลระหว่างนั้นนายไชยบูลย์ก็ยังคงดำรงสถานะเหมือนเดิม มิหนำซ้ำหากการดำเนินคดีทั้งหมดมีการส่งฟ้องร้องศาลทางโลก ผลกระทบจะลามถึงการพิจารณากระ บวนการนิคหกรรม หรือการพิจารณาทางศาลสงฆ์ทันที เพราะตามกฎนิคหกรรมข้อ 35 (1) กำหนดไว้ว่าหากเรื่องที่นำมาฟ้องร้องในศาลสงฆ์ ได้มีการฟ้องร้องกันในศาลทางโลก ก็ต้องระงับการพิจารณาเรื่องนั้นทางศาลสงฆ์ไว้ก่อน และกรณีปัญหาที่ดินของนายไชยบูลย์นั้น ก็ได้มีการฟ้องร้องกันทางศาลสงฆ์เช่นกัน โดยระบุว่านายไชยบูลย์ฉ้อโกงนำเงินบริจาคไปซื้อที่ดินเป็นของตัวเอง และต้องปาราชิกฐานลักทรัพย์ ดังนั้น เมื่อคดีความเรื่องที่ดินเข้าสู่ศาลโลก การพิจารณาปาราชิกของศาลสงฆ์เรื่องที่ดินก็ต้องยุติลงเช่นกัน และเหลือกรณีที่จะกระชากผ้า เหลืองออกจากร่างนายไชยบูลย์ได้เพียงกรณีเดียวคือการอวดอุตริมนุส ธรรม ที่การพิจารณาสอบสวนต้องใช้เวลายาวนานเท่าใดไม่มีใครรู้ ยกเว้นเพียงมหาเถรสมาคมจะใช้อำนาจตามกฎหมายเถระฉบับที่ 24 สั่งให้นายไชยบูลย์ถอดผ้าเหลืองออกจากร่างไปก่อน เนื่องจากพบการทำผิดพระวินัยเป็นอาจิณ เท่ากับว่าการฟ้องร้องทางโลกนั้นหากตำรวจให้ประกันตัว การดำเนินงานทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้กระบวนการจัดการ กับเดียรถีย์ยุติลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่หวังกันไว้ และรังแต่จะทำให้ปัญหาล่าช้าออกไปอีก และใครก็ตามที่มาเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินกรณีการให้ประกันตัว หรือไม่ให้ประกันตัวในครั้งนี้ ก็คงประสบปัญหาต้องคิดหนัก เพราะเฉพาะข้อกฎหมายอาญา 3 ข้อที่นายไชยบูลย์ถูกกล่าวหา มีทั้งโทษหนักและเบา ยังไม่นับรวมไปถึงหากไม่ยอมให้ประกันตัวก็อาจเกิดความรุนแรงจากเหล่าสาวกนายไชยบูลย์ได้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจเองก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจด้วย อาทิ ในแง่ของความมั่นคงและผลกระทบที่จะตามมาจากกรณีธรรมกายที่นายไชยบูลย์เป็นเจ้าสำนัก แม้กระทั่งในการประชุม คณะรัฐมนตรีเคยมีข้อเสนอว่าการยุติปัญหาธรรมกายสามารถให้ใช้กระบวนการทางโลกได้ เช่น หากมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายไชยบูลย์ ก็มีช่องทางถอดผ้าเหลืองจากร่างนายไชยบูลย์ได้หากไม่ได้รับการประกันตัว บทบาทของตำรวจในขั้นต่อไปคงเป็นที่จับตากันทั้งบ้านทั้งเมือง โดยเฉพาะจะสามารถสนองต่อพระบัญชาตามลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช ฉบับที่ 3 ที่ประทานไว้เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ทรงชี้ชัดถึงการจัดการปัญหาธรรมกายและการยักยอกที่ดินของนายไชยบูลย์ไว้ว่า "การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติ ปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้น ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสียเช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมพระถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่าคนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น"
ครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์การปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา ของผู้รักษากฎหมายไม่ให้มีพระปลอมมาทำลายได้อย่างแท้จริง!!!..