อสัตย์ "ไชยบูลย์" ไม่โอน ที่ดินอ้างต้องให้กระบวนการศาลสงฆ์เสร็จสิ้นไปก่อน ร้อยเล่ห์มายา ทำทีเป็นลงนาม ในหนังสือ ให้สิทธิ์ขาด กรรมการที่มีพระมือขาว เป็นประธาน แสดงเจตนาจะโอนแล้ว แต่กรรมการไม่ยอมทำเอง โอหังท้าทาย ลายพระหัตถ์-มติมหาเถรฯ เลือกปฏิบัติ พระทั่วประเทศเดือดร้อน มือกฎหมาย ปชป. ให้หาโจทก์ มาฟ้อง ทางโลกแทน "อาคม"สั่งรวบรวม ข้อมูลฟ้องเจ้าคณะปกครอง ยํ้าสอนนิพพานเ ป็นอัตตาผิดชัด จะให้ พระพรหมโมลี จัดการ"ธรรมกาย" จัดงานใหญ่ วันปาฏิหาริย์ชีจันทร ์ปัดระเบิดปรมาณูทุ่ม 500 ล้าน แจกเจ้าอาวาส ทั่วประเทศ 2.5 หมื่นวัด วัดละ 2 หมื่น หวังดูดเข้าร่วมงาน ผู้บรรยายธรรม วัดสระเกศโวย เร่งจัดการเสี้ยนศาสนา ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นศาสนาเงินตราที่ซื้อได้ทุกอย่างห้ามเฝ้าพระสังฆราชต่ออีก 15 วัน คนนับแสน ลงนามหนุนประมุขสงฆ์

กระบวนการ การสางเสี้ยนศาสนา "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" หรืออดีตพระธัมมชโย ที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงมี ลายพระหัตถ ์ชี้ขาดตามพระธรรมวินัยแล้วว่าเป็นพระปลอม เนื่องจากการ นำเงินบริจาค ไปซื้อที่ดิน เป็นของ ตัวเองนั้น ยืดเยื้อต่อไป โดยเฉพาะ การให้นายไชยบูลย์ โอนที่ดินที่มีชื่อตัวเองไปเป็นของวัด

ย้ำสอนนิพพานผิดชัด

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช. ศึกษาธิการ เปิดเผยก่อนประชุม ครม. ว่า ได้รับรายงาน จาก กรมการศาสนา จะมีการเจรจาเรื่องการโอนที่ดิน 1,600 ไร่ รวมกับที่ดิน ที่ให้โฉนดมาแล้ว แต่ยังโอนไม่ได ้เนื่องจาก ยังไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจอีก 139 ไร่ ด้วย

"การจะโอน ที่ดินหรือไม่นั้นเป็นประเด็นที่รวมอยู่ในคำฟ้องนิคหกรรม ไม่ควรอ้างชื่อ ประชาชนที่บริจาค หรือต่อรอง เงื่อนไข การเอาผิดทางคดีอาญา มันเป็นคนละเรื่องกัน ถ้ายอมโอนที่ดินคืนให้วัด ทุกอย่างก็จบ"

ส่วน ที่วัดพระธรรมกาย มีการออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์ รวมทั้งการแถลงถึงคำสอนนิพพานเป็นอัตตานั้น ตามมติ มหาเถรสมาคมยืนยันชัดเจนว่าคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทภายใต้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นิพพาน ต้องเป็นอนัตตา โดยมีคำแนะนำ 4 ข้อให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 กำกับดูแลให้สอนเหมือนกัน ไม่อย่างนั้น จะไม่มี ความเป็นเอกภาพ เรื่องนี้ได้สั่งการให้กรมการศาสนารวบรวมข้อมูล เพื่อนำไปให ้พระพรหมโมลี พิจารณา เท่าที่ดูถือว่า ขัดคำสั่งมหาเถรฯ เข้าข่ายตามกฎนิคหกรรมเรียกว่าการสอนบิดเบือน และดูแล้ว เป็นความผิดชัดเจน และการแอบอ้าง พระรูปอื่นก็จะมีการรวบรวมเป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการด้วย

ส่วนการ ที่วัดมีการต่อรองในเรื่องที่ดิน โดยขอให้กรมการศาสนาถอนฟ้องตามกฎนิคหกรรมก่อนนั้น ได้ปฏิเสธ เรื่องนี้ไปแล้ว ห้ามไม่ให้มีการต่อรอง เพราะในเรื่องของการถือครองที่ดินทุกวัดได้รับคำแนะนำจากมหาเถรฯ ไปแล้ว ส่วนประเด็นเรื่องการให้สึกก่อนหรือให้ปลดจากตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับ การพิจารณา ของเจ้า คณะ จังหวัดปทุมธานี และเจ้าคณะภาค 1 จะพิจารณา หากบิดพลิ้ว ในเรื่องที่ดิน อยู่ต่อไปถือว่า เข้าข่ายความผิด เป็นเรื่องของเจตนา ถ้าเจตนายักยอกทรัพย์ความผิดยิ่งชัดเจน ตอนแรกมีหนังสือมาว่าจะโอน ความผิดนั้น ผู้พิจารณา อาจจะลดหย่อนผ่อนโทษ ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง แต่ถ้ายังดื้อดึง บิดพลิ้วผิด แน่นอน และเป็นความผิดที่รุนแรง

เหลี่ยมไชยบูลย์โอนที่ให้ ก.ก.

เมื่อเวลา 09.00 น. นายมานิต รัตนสุวรรณ กรรมการวัดพระธรรมกายให้สัมภาษณ์รายการ "เพื่อบ้านเมือง" ว่าได้มีการ ลงนามในหนังสือมอบอำนาจการโอนที่ดินทั้งหมดทุกแปลงให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้น ถือเป็นการ แสดงเจตนา ครบถ้วนต่อไปเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ที่ต้องดำเนินการ ไม่ให้เข้าข่ายว่า ฉ้อโกงที่ดิน และเรื่องจะยุติ ความจริงไม่ต้องยกให้ก็ไม่ผิด เพราะใน ลายพระหัตถ ์สมเด็จ พระสังฆราช ระบุว่าหากพระถือเอาที่ดินเป็นของวัดมาเป็นของตัวถือว่ามีความผิด แต่กรณีนี้ ที่ดินไม่ใช่ของวัด มีพยานเอกสาร และพยานบุคล ที่ยืนยัน และระหว่าง จะโอนให้วัดก็มีการฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรม ข้อหาฉ้อโกง ที่ดิน ทำให้เกิด ประเด็นกฎหมายถ้าที่ดินเป็นของตนแล้วยกให้วัดทำไม เมื่อเข้าสู่ กระบวนการ ศาลสงฆ์จึงต้อง มาตกลง กับกรมการศาสนา จะดำเนินการตามกฎนิคหกรรมต่อหรือไม่ ถ้าทำต่อ จะมีอะไร มารับประก้นว่า การยกที่ดินให้ไม่เกี่ยวกับการฉ้อโกง

นายมานิต อ้างว่าพระธรรมวินัยต้องเป็นไปตามกฎหมาย และยังกล่าวว่า นายไชยบูลย์ ตั้งข้อสังเกต กรณีที่เกิดขึ้น เป็นการ เลือกปฏิบัติถ้าให้วัดพระธรรมกายโอนรายเดียว แต่หาก จะให้พระโอน ที่ให้วัดทั่วประเทศ จะเดือดร้อน นอกจากนั้น นายมานิตยังปฏิเสธว่าวัดไม่เคยทำใบปลิวมาตอบโต้ อาจเป็นการดำเนินงานส่วนตัว และยืนยัน นายไชยบูลย์จะไม่ออกรายการใด ๆ โดยอ้างว่าอยู่ระหว่างการฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรม

จากนั้นในเวลา 14.00 น. นายมานิตและนายวิระศักดิ์ ฮาดดา ตัวแทนวัดพระธรรมกาย ได้เดินทาง เข้าหารือเรื่อง การโอนที่ดิน ที่มีชื่อนายไชยบูลย์ ถือครองให้เป็นของ วัดพระธรรมกาย กับนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา

ทำได้แค่ร้องเจ้าคณะภาค 1

นายพิภพ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า กรมการศาสนาและกรมที่ดินจะยังคงประสานติดตามการโอนที่ดินต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา มีปัญหาติดขัดเรื่อยมา ดังนั้น ทางกรมการ ศาสนาจะประมวล อุปสรรคต่าง ๆ เสนอต่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะเจ้าคณะปกครอง และเป็นผู้ที่รับทราบ การพูดคุย ตกลงแสดงเจตจำนง การโอน ที่ดินต่อหน้า นอกจากน ี้ก็จะมีการรายงานผลต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และนายอาคมด้วย ขอทำ ความเข้าใจว่า กรมไม่มีอำนาจบังคับ ต้องขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์จะสั่งการ

ส่วนนายมานิต กล่าวว่า ได้มีการเตรียมที่จะยกที่ดินที่ได้มาให้กับวัดตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.แล้ว แต่มีการยื่นฟ้องตามกฎนิคหกรรม จึงเป็นการเข้าสู่กระบวนการสงฆ์ เมื่อเหตุการณ ์ได้เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น การให้เอกสาร หรือการยื่น หรือการดำเนินการใด ๆ จะเป็นประเด็นในการพิจารณาของศาลได้

"มีความ เข้าใจผิด กันมากว่าที่ดินดังกล่าวมีมูลค่ามาก ทั้งที่ราคาเฉลี่ยตกไร่ละประมาณ 3 หมื่นบาท รวมแล้ว ก็ไม่กี่สิบล้านบาท ซึ่งไม่ห่วงเรื่องการพิสูจน์เจตนา เพราะเจตนา ที่ชัดเจนนั้น ได้มาในนามส่วนตัว ซึ่งวันนี้ ก็ได้มีการมอบอำนาจ ให้กับพระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจตนาการโอนถือว่าสมบูรณ์แล้ว ต่อไป ก็เป็นหน้าที่ ของ พระปลัดสุธรรม และพวกตนที่จะทำอย่างไรให้เป็นไปตามเจตนา เรื่องได้สู่ กระบวนการ ของศาลสงฆ์ ควรจะให้ความเคารพต่อศาลสงฆ์ ส่วนการ ยกที่ดินให้กับวัดนั้น ขอเพียง ให้มีการ พิสูจน์เจตนา ที่ได้มา ตั้งแต่ต้น ชัดเจน ที่ดินทุกแปลงไม่มีข้อติดขัดที่จะเป็นกรณีก็จะมีการโอน และไม่ว่า ผลการตัดสิน เจ้าอาวาส จะพ้นข้อกล่าวหาหรือไม่ ที่ดิน ก็ต้องตก เป็นของวัดอยู่แล้ว"

ขณะเดียวกัน พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ได้รับการ แต่งตั้งเป็นประธาน คณะกรรมการ จัดการที่ดินของนายไชยบูลย์ ได้ทำหนังสือ ถึงนายพิภพ โดยอ้างเรื่อง เหตุผลการไม่โอนที่ดินด้วย พร้อมทั้ง ทำสำเนาถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีและนายอาคม หนังสือดังกล่าวลงวันที่ 27 พ.ค. ซึ่งแสดงว่า ได้ตัดสินใจ ล่วงหน้าจะบิดพลิ้ว มานานแล้วแต่ยื้อเรื่องไว้

เล่นเล่ห์มอบอำนาจอีก

ด้าน นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนากล่าวว่า หนังสือ ที่ทางวัดส่ง ถึงอธิบดี กรมการศาสนา เรื่องการยกที่ดิน ให้กับวัดไม่ถูกต้องตามกระบวนการ ความจริง นายไชยบูลย ์น่าจะเป็นผู้ลงนาม ด้วยตนเอง หรือถ้าเป็น พระปลัด สุธรรม ลงนาม ก็ควรใช้ตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ปฏิบัติหน้าที่ แทนเจ้าอาวาส มากกว่า ลงในตำแหน่ง ประธานกรรมการ จัดการที่ดิน มิฉะนั้น จะมองได้ว่าพระปลัดสุธรรมคิดและเขียนขึ้นเองทั้งหมด และจะไม่มีผล ทางกฎหมายด้วย ที่สำคัญ การยื่นฟ้องเรื่องที่ดิน เป็นการฟ้อง นายไชยบูลย์ ไม่ใช่พระปลัดสุธรรม

ส่วนเรื่อง การพิจารณาตามกฎนิคหกรรมนั้น นายมาณพกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการประทับรับฟ้อง ทั้งที่น่า จะตัดสินได้แล้วว่า จะรับหรือไม่ เพราะดู สำนวนการฟ้อง ก็รู้แล้วว่ามีมูล หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด

ด้านนายอาคม กล่าวภายหลังเมื่อทราบเรื่องนายไชยบูลย์ไม่ยอมโอนที่ดินคืนให้แก่วัด ว่า ไม่รู้จะดำเนินการ อย่างไร เพราะไม่สามารถเอาผิดทางอาญาได้เนื่องจากไม่มีเจ้าทุกข์ แต่ได้สั่งการ ให้นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนารวบรวมข้อมูลหลักฐานในเรื่องที่ดินเสนอต่อพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะ จังหวัดปทุมธาน ีไว้เป็นหลักฐาน เพิ่มเติม เนื่องจากการยื่นคำฟ้องที่ผ่านมาระบุไว้ 2 เรื่องคือ เรื่องที่ดินกับเรื่องคำสอน

"ผมสั่งให ้ทำเป็นหลักฐาน เพิ่มเติม การไม่โอนที่ดินครั้งนี้ถือว่าเป็นเจตนาที่จะไม่คืน เพราะฉะนั้น น้ำหนักในคำฟ้อง ก็จะเพิ่มขึ้น ก็ไม่รู้จะ พูดยังไงอีกวัดพระธรรมกาย มีนักกฎหมาย เยอะคงแนะนำอะไรกัน ต่อจากนี้ กรมการศาสนาก็คงดำเนินการไปตามกระบวนการ ถือว่าเจตนาไม่คืนที่ดินให้วัดก็เท่านั้น"

มานพ กล่าวเพิ่มเติมว่าถ้าหากมีการฟ้องซ้ำคงต้องฟ้องคดีทางอาญา โดยไม่ฟ้อง ตามกฎนิคหกรรม โดยใช้หลักฐาน ชุดเดิมและหาคน มาเป็นโจทก์ ฟ้องยักยอกทรัพย์ ส่วนจะให้กรมฟ้อง ต้องดูกฎหมายก่อน หลักฐาน ที่อาจเพิ่มเติม ก็คือหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ยอมลงนาม และใช้คนอื่นมาก็อาจถือเป็นการหลอกลวง

กรมศาสนาฟ้องได้

นายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีที่นายไชยบูลย์บิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่ดินว่า ถ้าแสดงเจตนา จะไม่ยินยอม โอนอย่าง ชัดเจน เช่นนี้ ทางผู้ที่เสียหาย หรือ ผู้ที่บริจาค ที่ดินท ี่มีวัตถุประสงค์ จะบริจาค ให้เป็นสมบัต ิของวัดของพระพุทธศาสนา ก็สามารถ จะฟ้องร้อง ดำเนินคดี ตามกฎหมาย ทางโลกฐาน ยักยอกทรัพย์ได้ ทั้งทางแพ่ง และอาญา ซึ่งหากตรวจสอบแล้ว พบว่า มีความผิดจริงก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนี้ ในส่วนของ กรมการศาสนา หากมีหลักฐาน ก็สามารถ จะฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทันทีเช่นกัน

"ถ้าปรากฏชัดว่า มีความผิดตามกฎหมายทางโลกก็หมายถึงมีความผิดทางธรรมด้วย ซึ่งไม่จำเป็น ต้องให้คดี ทางโลกจบก่อน แค่พิสูจน์ได้ว่า มีเจตนา ในทางธรรม ก็ถือว่า อาบัติปาราชิกแล้ว ส่วนนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาว จ.สุพรรณบุรี ร้องเรียนต่อสภาทนายความว่าถูกยักยอกที่ดินว่า คณะทำงาน ยังอยู่ระหว่าง การตรวจสอบหลักฐาน เรื่องนี้นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ก็กำชับให้สรุปหลักฐานต่าง ๆ ให้ได้ครบถ้วน ภายในสัปดาห์นี้"

หาโจทก์เล่นงานทางโลก

นายปรีชา สุวรรณทัต ส.ส.กท. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการไม่ยอมโอนที่ดินจากการถือครองของนายไชยบูลย์ เรื่องที่เกิดขึ้นน ี้ได้ทำนาย ไว้ล่วงหน้า มาก่อนแล้ว และต้องมา พบเจอ กับสิ่งที่ได้ทำนายไว้ จึงไม่แปลกใจ เป็นการพิสูจน์ ได้อย่างชัดเจน ขนาดพระธรรมวินัย ยังกล้าหาญ ที่จะบิดเบือน ประสาอะไร กับการกระทำผิดสัญญา โดยต้องยอมรับว่า วัดมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ใช้ช่องโหว่แก้ต่างไปวันหนึ่ง ๆ

"ก่อนหน้าน ี้ได้แสดงความโอนอ่อนผ่อนตามด้วยการทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลา ก็เฉไฉด้วยการ ส่งมอบเอกสาร ให้กรมการศาสนา ไม่ครบถ้วน จากนั้น ก็หันเหขอเวลาสอบถามผู้บริจาค ก่อนที่จะอ้าง ให้กฎนิคหกรรมจบกระบวนการลงไปก่อน สุดท้า ค่อนข้าง มั่นใจว่าจะไม่ยอมโอนที่ดิน"

ส่วนการ เอาผิด คงไม่สามารถนำกฏหมายมาดำเนินคดีได้ เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้มีช่องโหว่ ต่อให้มีการปลด นายไชยบูลย ์เจ้าอาวาสคนใหม่ ก็ไม่สามารถ ดำเนินคดีได้ เพราะในโฉนด เป็นชื่อของ นายไชยบูลย ์เมื่อถอดผ้าเหลืองออกไปก็เป็นสินทรัพย์ติดตัวออกไปด้วย

สำหรับ การเอาผิดกัน ทางโลกยังพอมีช่องทาง โดยจะต้องหา เจ้าทุกข์ที่มีความชัดเจน ประสงค์ถวาย ที่ดินให้กับ วัดพระธรรมกาย แต่ นายไชยบูลย ์กลับบิดเบือน ไปทำเป็น สัญญาซื้อ-ขาย จะมีความผิด ตามประมวล กฎหมายอาญา ใน หลาย ๆ กรรมเรื่องแรกเป็นการฉ้อโกงวัด นำที่ดิน ที่ผู้บริจาค ต้องการถวายให้วัดมาครอบครองเสียเอง เรื่องต่อมา เป็นการกระทำ ในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายแจ้งความเท็จ โดยการแจ้งว่า ที่ดิน ที่ได้รับการบริจาค เป็นการซื้อหาด้วยเงินทอง และสุดท้าย การครองสมณศักด ิ์เป็นเจ้าอาวาสวัด ก็เท่ากับว่า นายไชยบูลย ์เป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น การเบียดบัง เอาที่ดินของวัด มาเป็นของตัวเอง จะต้องมีโทษหนัก ที่เป็นเจ้าพนักงาน กลับกระทำ ความผิดเสียเอง ขณะนี้ จึงต้องค้นหาคนลักษณะดังกล่าวนี้นำมาฟ้องร้องให้ได้เรื่องก็จะได้จบ

ประชวรห้ามเข้าเฝ้า 15 วัน

ผู้สื่อข่าว รายงานจากวัดบวรนิเวศวิหารว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ยังคงมีผู้เดินทาง ไปร่วมลงนาม ถวายพระพร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งล่าสุด ยอดผู้ไป ลงนาม มีจำนวนกว่า 1 แสนคนแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการ เปิดโอกาสให้ บุคคลและคณะบุคคล เข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราชอย่างใกล้ชิดแต่อย่างใด

พระสะท้าน จิตตวโร ผู้สนองงานในสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า เช้าวันนี้สมเด็จพระสังฆราชยังทรงมีพระอาการอ่อนเพลียอยู่ จึงงด ปฏิบัติศาสนกิจ ทุกอย่าง รวมถึงพิธีบรรพชาอุปสมบทข้าราชการกรมชลประทาน 35 คน ก็ได้ทรงมอบหมายให้พระราชรัตนมงคล พระเลขานุการ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ พระอุปัชฌาย์แทน สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจในวันที่ 2 มิ.ย. นั้น ยังไม่มีการกำหนด

เวลา 09.00 น. น.พ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ น.พ. สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร แพทย์เฉพาะทาง จาก โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้เดินทางมาตรวจพระอาการอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งภายหลัง การตรวจ ทางคณะแพทย์ ปฏิเสธ ที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าว แจ้งว่าจากการวินิจฉัย ของแพทย์ในเบื้องต้น เห็นว่าพระอาการของสมเด็จพระสังฆราชยังไม่น่าเป็นห่วง แต่คงต้องงด ปฏิบัต ิศาสนกิจ เป็นระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป

ซัด "สมชาย" ทำลายพุทธ

นายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติเปิดเผยว่า คำสอนเรื่องนิพพานเป็นอัตตานั้นเป็นคำสอนของฝ่ายมหายาน ซึ่งนับถืออย ู่ในประเทศจีน และญี่ปุ่น โดยเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีหลายองค์เมื่อดับขันธ์ก็ไปอยู่ในแดนสุขาวดี การที่พระสมชาย ฐานวุฑโฑ ผู้อำนวยการ ฝ่ายเผยแผ ่พุทธศาสนา ของวัดพระธรรมกายสอนตามฝ่ายมหายานเพราะจบการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น จึงนำเอาคำสอนน ี้ไปสอดแทรกไว้ ส่วนกรณ ีที่ระบุว่าวิชชาธรรมกายมีอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นก็เป็นพระไตรปิฎกจีน การยึดถือ เรื่องดังกล่าวจึงเป็นการลบหลู่พระไตรปิฎกบาลีของไทย ซึ่งถือว่า เป็นฉบับดั้งเดิมและสมบูรณ์ที่สุดด้วย

"คนเหล่าน ี้น่าจะแยกตัวออกจากพุทธฝ่ายเถรวาท เพราะเป็นคนละลัทธิกันแล้ว ไม่น่ามาอยู่สอนให้ชาวพุทธไทยเกิดความสับสน เท่ากับ เป็นการ หลอกลวง ประชาชน เป็นกลยุทธ์ ในการทำลายพุทธศาสนา อย่างที่เคยเกิดขึ้น ในอินเดีย ที่มีชาวฮินดูปลอม เข้ามาบวช เพื่อเข้ามา ทำลายพุทธศาสนา อย่างที่พระธรรมปิฎกยกตัวอย่างเรื่องปูเสฉวนแอบเข้ามาอาศัยเปลือกหอยแล้วก็หลอกกินหอยนั่นแหละ"

เชื่อฐานะการเงินวัดฉาวแย่

นายสมพร กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 6 มิ.ย. นี้จะเดินทางไปนมัสการพระสุเมธาภรณ์เพื่อนำหลักฐานเพิ่มเติมไปมอบให้โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน และหากมีอะไร ที่ต้องการให้ชี้แจงก็ขอให้บอกมา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเข้าร่วมฟังการพิจารณาตามกฎนิคหกรรม ส่วนเรื่องของ การระดมคน และเงินบริจาค ในขณะนี้ แสดงว่าวัดกำลังแย่ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ยิ่งภาพในขณะนี้ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก เพราะประเมินสถานการณ์ผิด

สำหรับ กรณีที่ วัดพระธรรมกายอ้างจะโอนที่ดินให้หลังจากดำเนินการตามกฎนิคหกรรมเสร็จสิ้นนั้น ถือว่าเป็นการฝืนมติมหาเถรฯ และไม่ปฏิบัติตาม สัญญาที่ให้ไว้ เพราะหากโอนที่ดินให้คงเกรงว่าจะยกข้ออ้างเรื่องฉ้อโกง เท่ากับยอมรับว่ารับมอบโดยใช้ชื่อของตนเอง หากศาลสงฆ์ มีมติให้สึกก็จะหมดสิทธิ์ครอบครองที่ดินด้วย

ด้าน นายปรีชา เรืองวิชาธร ผู้ประสานงานคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา (ศ.พ.พ.) กล่าวว่า คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้อธิบดี กรมการศาสนา จะออกมายืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 31 พ.ค. ก็ตาม กระบวนการของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการ อะไรเลยแถม ยังปิดปาก คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่างหาก แม้แต่ ศ.พ.พ. ก็ยังโดนปรามขอให้ดูการจัดการตามขั้นตอนแต่ก็ไม่เห็นมีความชัดเจนใด ๆ และจะเกิด ปัญหาใหญ่ ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะคำถามในใจประชาชนที่ว่าจะให้สมเด็จพระสังฆราชอยู่ตรงไหน

ทุ่ม 500 จัดงานปัดระเบิด

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า วัดพระธรรมกายเตรียมจัดงานใหญ่อีกครั้ง โดยหลังจากที่จัดงานวันวิสาขบูชาเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมาไปแล้ว ทางวัด พระธรรมกาย ได้วางแผนต่อไปที่จะดูดคนเข้าวัดเพื่อแสดงพลังอีก โดยตั้งเป้าหมายไว้เป็นวันที่ 8 ส.ค. นี้ โดยจะจัดงาน 4 งานใน วันเดียวกัน คือการจัดงานบุญวันแม่, งานคืนสู่เหย้าอุบาสิกาแก้ว, งานวันสมาธิโลก, เป็นวันครบรอบ 91 ปี แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง และเป็นวัน ครบรอบ การที่วัดกล่าวอวดอ้างปาฏิหาริย์ว่าแม่ชีจันทร์เหาะขึ้นไปปัดระเบิดให้พ้นประเทศไทยไปตกที่ญี่ปุ่น

ความสำคัญ ในงานวันนั้นคือการวางแผนดึงคนพร้อมกับพระภิกษุเข้าวัดให้ได้จำนวนแสนขึ้นไป โดยในส่วน ของประชาชน ทั่วไปมุ่งที่จะดึงเอา อุบาสิกาแก้ว ที่เคยบวชไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2541 ให้กลับเข้าวัด ส่วนการดึงพระนั้นครั้งนี้ได้กำหนดงานคร่าว ๆ จะแจกเงินให้กับวัดทั่วประเทศ เพราะมองเห็น แล้วว่าการแจกเงินให้พระ-เณรได้ผล โดยเห็นได้จากการจัดงานตอบปัญหาธรรมะเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา วัดพระธรรมกาย ได้แจกเงิน พระ-เณร ที่มาตอบปัญหารูปละ 500 บาท ผลปรากฏว่ามีพระเณรมาเต็มวัดและในงานวันวิสาขบูชาเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ยังใช้เงิน ซื้อเณรรูปละ 1,000 บาทให้มาที่วัด

สำหรับ งานวันที่ 8 ส.ค. ครั้งนี้จะแจกตรงถึงให้เจ้าอาวาสเลย โดยจะให้วัดละ 20,000 บาท ขณะนี้วัดทั่วประเทศมีราว ๆ 25,000 วัด รวมแล้ว จะใช้เงิน 500 ล้านบาท และจะใช้วิธีเดียวกับ ที่เคยทำมาแล้ว ในการแจกทุนพระ-เณร ที่มาร่วม ตอบปัญหา คือการตั้งกองทุน เพื่อรับบริจาค ถวายเงิน ให้วัดทั่วประเทศ และเจ้าอาวาสต้องมารับเงินที่วัดพระธรรมกายพร้อมกับพระ-เณรลูกวัด

การเลือก จัดงานวันที่ 8 ส.ค.ของวัดถือเป็นวันสำคัญ เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2488 สหรัฐฯได้นำลูกระเบิดไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา และในวันที่ 8 ส.ค. ปีเดียวกันไปทิ้งที่เมืองนางาซากิ ซึ่งวัดพระธรรมกายโอ้อวดปาฏิหาริย์ของแม่ชีจันทร์ตลอดมาว่าเป็นผู้ปัดระเบิดทั้ง 2 ลูกไปทิ้งที่ญี่ปุ่น จากเดิม ที่จะทิ้งในประเทศไทย

สร้างศาสนเงินตรา

นายไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์ อาจารย์พิเศษวิชาพุทธศาสนศึกษา คณะสถาปัตยกรรม จุฬา-ลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้บรรยายธรรม ประจำ สมาคม ศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา บริเวณวัดสระเกศ กล่าวว่าพระเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ เพราะคำว่า ที่ดินของวัดนั้น ระบุชัดให้วัด เป็นนิติบุคคล วัดและพระเป็นนิติกรรมไม่ได้ ต้องให้เฉพาะไวยาวัจรกรเท่านั้นที่ทำหน้าที่รักษาศาสนสมบัติ กรณีนายไชยบูลย ์ที่ไปถือครอง ที่ดินไม่ถูก ตามวินัยของพระพุทธเจ้า และลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชถูกต้องแล้ว ที่มีการระบุว่า การที่พระไปถือครอง ที่ดิน ไม่ขัด กฎหมาย ไม่ขัดรัฐธรรมนูญต้องกล่าวทุกสังคมต้องมีกฎ มีระเบียบ อย่างเช่นถ้าเป็นนักเรียนไม่เข้าห้องเรียน 70% ก็หมดสิทธิ์สอบ แม้ว่า การไม่เข้า ห้องเรียน จะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ผิดกฎของการเรียน พระก็ต้องมีพระธรรมวินัยถ้าขัดพระธรรมวินัยก็ไม่ใช่พระ นายไชยบูลย ์ขาด จาก ความเป็นพระ ไปแล้ว

นอกจากนั้น ความผิดอีกประการที่ผิดชัดเจนคือการอวดอุตริมนุสธรรม ที่พิสูจน์ความผิด ได้อย่างฉับพลัน แต่ก็แปลก ที่คำฟ้องของ กรม การศาสนา ไม่ได้ระบุไว้ มีแต่ของนายสมพร เทพสิทธา ในฐานะประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติฟ้องร้องไว้ คำฟ้อง ของกรมการศาสนา เหมือนกับ ต้องการเอาของเบาไปฟ้อง เรื่องอวดอุตริพิสูจน์ได้ทันที เพราะตามพุทธบัญญัติบอกชัดว่าใครพูดอวดวิเศษต้องปาราชิก นอกจาก การเข้าใจผิด เป็นบ้า เวทนาครอบงำ หรือเป็นภิกษุคนแรกที่ทำผิด แต่นายไชยบูลย์ ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เข้าใจผิดสอนอย่างนี้มานาน และไม่ได้บ้า โดยถ้าบ้า จะฉลาดหาเงินได้อย่างนี้หรือ รวมถึงไม่ใช่อยู่ในช่วงเวทนาครอบงำหรือเป็นไข้

คำพูด ของนายไชยบูลย์มีเจตนาชัดเพื่อให้คนฟังเข้าใจว่ามีญาณพิเศษ นึกจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ และที่มาอ้างว่าจะต้องมีภูมิธรรมสูง ๆ ถึงไปพิสูจน์ว่า ใครอวดอุตริหรือไม่ได้อวดวิเศษ ก็ไม่จริง เพราะใน พุทธศาสนา บัญญัติไว้ชัดว่า หากมีธรรมวิเศษ ในตัวเอง การแสดงสิ่งวิเศษนั้น จะทำได้ บางกรณีเท่านั้น เช่นช่วยภิกษุด้วยกัน แต่ทำได้ เป็นครั้งคราว ไม่ได้ทำกันทุกสัปดาห์เหมือนกับที่นายไชยบูลย์ทำ

ปัญหา วัดพระธรรมกายนายไชยวัฒน์กล่าวว่า จะทำให้เกิดการแตกแยกอย่างแรงเพราะมีการยกขบวนพระมาสนับสนุน ซึ่งพระ ที่มาแบบนี้ ผิด พระวินัย การแก้ปัญหาองค์กรสงฆ์เหมือนอ่อนเปลี้ย รัฐบาลต้องลงมาแล้ว แต่ท่าทีของรัฐบาลเหมือนกับไม่ยอมแก้ไข ขณะนี้ วัดพระธรรมกาย ส่งพระ ไปอบรมถึงโรงเรียนอนุบาลในวันสำคัญทางศาสนา หากไม่อยากให้ปัญหาลุกลามต้องเร่งแก้ไข ขณะนี้ใช้เงินซื้อพระ-เณรให้เข้าวัดกันแล้ว.