page4

เดลินิวส์ 22/5/2542

ส่งฟ้องแล้วศาลสงฆ์ 'ไชยบูลย์' อวดอุตริ-อมที่ดิน 'ทัตตชีโว'โดนด้วยละเมิดเป็นอาจิณหลักฐานเพียบ

กรมศาสนา แทบแตก ขัดแย้งหนักสำนวนฟ้องศาลสงฆ์ ถกทั้งวันถึงขั้นอธิบดีต้องวิ่งหาสมเด็จวัดชนะฯ สุดท้าย ลงมติให้"มาณพ"ฟ้องล้างวัด ขุดราก เชื้อร้าย ลัทธิเดียรถีย์ "ไชยบูลย์-ทัตตชีโว"ไปด้วยกันในข้อหาสอนผิดเพี้ยนพระธรรมวินัย ยกเทป หนังสือ"พระแท้"มัด เป็นการ ละเมิดพระวินัย เป็นอาจิณ ส่วนพระปลอม หัวโจกเจออีกกระทงอมที่ดินวัด งาบที่ดินปทุมฯเข้าข่ายลักทรัพย์ปาราชิกตามลายพระหัตถ์ เสนอฟัน ตามกฎฉบับ 21 สึกก่อนสิ้นกระบวนการสอบ เจ้าคณะปทุมฯเตรียมปลดจากเจ้าอาวาสไปก่อน "อาคม"ยอมรับ มติมหาเถรฯ ให้ตั้งอนุกรรมการ ต้องให้พระสังฆราชลงพระนาม "พระพยอม" ระบุแผนเหนือเมฆ เป็นการลบล้าง พระบัญชาที่ย้ำชัด เป็นพระปลอมไปแล้ว

ปัญหา การจัดการพระปลอม"ไชยบูลย์ สุทธิผล" ยิ่งนานวันยิ่งเห็นความพยายามจะยื้อการตัดสินปัญหาออกไป ล่าสุด การประชุม หาเถรสมาคม ครั้งที่ผ่านมา ที่มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาปัญหาธรรมกายนั้น ปรากฎชัดเจน แล้วว่า จะต้องให ้สมเด็จพระสังฆราช ลงพระนาม และหาก มีการลงพระนาม ก็เท่ากับเป็นการ ลบล้างลายพระหัตถ ์ที่ได้มีพระบัญชา ไว้ก่อนหน้านี้ ว่า นายไชยบูลย์ สุทธิผล อดีตพระธัมมชโยเป็นพระปลอม และ เท่ากับพระองค์ยอมรับ ในมติมหาเถรฯ และกระบวนการสอบสวน ที่ต้องใช้เวลานาน ทั้งที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะยุ่งเรื่องนี้อีกต่อไป

ตูมตามรับแล้วตั้งอนุกก.ไม่ได้

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าการตั้ง คณะอนุกรรมการ ทีมีองค์ประกอบ ด้วยพระ 3 รูปและฆราวาส 2 คนตาม มติมหาเถรฯ และต้องขอความเห็นชอบจากสมเด็จพระสังฆราช อาจจะขัดต่อ พระบัญชา ที่วินิจฉัยว่า นายไชยบูลย์ต้องปาราชิก เป็นอดีต เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายไปแล้วนั้น เรื่องนี้คงแสดง ความเห็นอะไรไม่ได้ แต่ในมาตรา 19 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ก็บัญญัติ ไว้ชัดเจนแล้วว่า หากสมเด็จ พระสังฆราช ไม่ทรงลงพระนาม ก็ไม่สามารถตั้งคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้

"ผมไม่ทราบว่า พระองค์จะลงพระนามหรือไม่ และก็ไม่อยากไปพูดแทนท่าน สำหรับเรื่อง นิคหกรรม เมื่อเข้าสู่การพิจารณาแล้ว ผมอยากขอร้องให้ ทุกฝ่ายตั้งหลักรอไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการเผชิญหน้ากัน และกระทบกระทั่ง ปัญหานี้ความจริงเป็นเรื่องของสงฆ์ แต่เมื่อตัดสินไม่ได ้เลยดึงประชาชนเข้าไปด้วย ซึ่งดูไม่ดีนัก" พระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโน ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว กล่าวว่า การตั้งคณะอนุกรรม เป็นแผนเหนือเมฆ การให้ลงพระนาม เท่ากับลบล้างลายพระหัตถ์ในครั้งแรก และชาวพุทธ ต้องต่อส ู้โดยใช้วิธี แมลงหวี่ตอมตาช้าง โดยตอมไม่ยอมหยุด สุดท้ายช้างก็ต้องยอมตาม

ส่วนการที่ ม ีการเกณฑ์พระ-เณรมา 1 หมื่นรูป จะไปว่าพระ-เณรเหล่านี้ไม่ได้ เพราะถูกหลอกมา บอกว่าชวนมาเที่ยว มาเคารพ พระผู้ใหญ่ ต้องหาคนชวน ต้องหาต้นตอใครเป็นเจ้ามือจ่าย

นายปรีชา สุวรรณทัต ส.ส.กทม.และนักกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า มติมหาเถรฯ นั้นต้องดูว่าเจตนารมย์นั้น เป็นอย่างไร กรณี เป็นการแต่งตั้ง ตามมาตรา 19 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ก็เป็นพระราช อำนาจของสมเด็จพระสังฆราชว่า จะทรงลงนาม หรือไม่ แต่พระบัญชานั้น ระบุชัดแล้วว่า นายไชยบูลย์ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว เป็นอดีต เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ก็ไม่จำเป็น ต้องมีคณะอนุกรรมการนี้ขึ้นมาอีก และขอยืนยันให้จัดการได้โดยไม่ต้องอะไร ทำตาม ลายพระหัตถ์

พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า ถ้าพระองค ์แต่งตั้งกรรมการ ตรวจสอบ ก็เท่ากับทรงยอมรับ ในมติมหาเถรฯ และเท่ากับลบล้ายลายพระหัตถ์ ถือว่า ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวง

"ชาวพุทธ เราต้องออกมาแล้ว แต่ใช้แบบสันติ ใช้คุณธรรมผลักดันเรื่องนี้ให้เห็นว่าต้องการอะไร เพราะได้มีใบปลิว โจมตีสถาบัน อันเป็นที่รัก ของชาวไทยหลายครั้ง ทหารทั้งหมดก็ออกมาตบเท้ามา แสดงออกมา ให้เห็ฯแล้วว่า ทหารอยู่ขัางประชาชน ปกป้องสถาบันศาสนา และสถาบัน อันเป็นที่รัก "

ส่วนกรณี ที่มีการนำพระ-เณร 1 หมื่นรูปมาก่อม็อบ นั้นพระมหาบุญถึงกล่าวว่าถูกหลอกมา และมีพระ-เณร อีสานด้วย เช่นที่จ.สกลนคร และเป็นเณรบวชใหม่ ในภาคฤดูร้อน จีวรยังห่มไม่เรียบร้อย ผู้นำมาคือครูบาอาจารย์ มีเจ้าหน้าที่ ธรรมกาย ไปคุมลงมา เณรเด็ก ๆ ไม่รู้ ถูกหลอก พาไปเที่ยวกรุงเทพฯ และอาจเป็นการ ดิ้นกันครั้งสุดท้าย เพราะจนตรอกเต็มที่

ถวายพระพรยังเนื่องแน่น

ผู้สื่อข่าว รายงานบรรยากาศที่วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ที่ตำหนักเพชร ยังคงมีผู้เดินทาง มาลงนาม ถวายพระพร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กันอย่างเนืองแน่น มีทั้งคณะนักเรียน โรงเรียนสตรีวิทยา 20 คน ทหาร จากกรมการแพทย์ทหารบก กว่า 200 นาย จากกรมทหารราบ 300 นาย เจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมือง 150 คน นอกจากนี้ ก็ยังมี พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร วุฒิสมาชิก อดีตอธิบดีกรมตำรวจ นายสุธรรม แสงประทุม รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายวัฒนา อัศวเหม รมช.มหาดไทย นายชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ได้นำ พานดอกไม้ มาถวายสักการะ และร่วมลงนาม ถวายพระพร ภายหลังลงนาม พล.ต.สนั่น ได้สั่งการให้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประสานไปยัง จังหวัดต่างๆ ให้มีการตั้งโต๊ะลงนาม ถวายพระพรด้วย นอกจากนั้น พล.ต.สนั่นนกล่าวว่า การที่มีการเสนอให้ตรำวจจัดการกับวัดพระธรรมกายนั้น ต้องรอผลสรุป ของมหาเถรฯ ก่อนจะไปจับสึก ทันทีไม่ได้ และกรมการศาสนาต้องแจ้งมา

นายธงทอง จันทรางศุ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะ ผู้ประสานงาน จัดตั้งโตีะ ถวายลงนามพระพร เปิดเผยว่า คณะแพทย์ ได้ตรวจพระอาการสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่อ น่ายินดีที่พระอาการ ดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม พระองค์ต้องใช้เวลา พักผ่อน อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมา ปฏิบัติภารกิจ ทางศาสนาเช่นเดิม ทั้งนี้ การลงนามถวายพระพรจะยังดำเนินต่อไป และในวันที่ 23 พ.ค. จะมีการรวบรวม ถวายแด่ สมเด็จพระสังฆราช อย่างไรก็ตาม วันที่ 24 พ.ค.จะมีการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมที่ตำหนักเพชร ดังนั้น จึงจะเปลี่ยน การลงนามไปที่สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ด้านหน้าตำหนักคอยท่าปราโมชแทน

พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร กล่าวถึงการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกายว่า เห็นด้วย กับแนวทางที่ว่า ในส่วนของวินัยสงฆ์ ก็ให้คณะสงฆ์จัดการ แต่ในส่วน กฎหมายบ้านเมือง หากมีความผิดชัดเจนก็ให้ดำเนินคดีทันทีโดยไม่ต้องรอฝ่ายสงฆ์ ยกตัวอย่าง มีพระภิกษุเมาสุรา แม้จะถูกจับสึกแล้ว แต่ตำรวจยังสามารถจับมาลงโทษตามกฎหมายได้

สำหรับกรณี มีพระภิกษุสามเณรเดินทางมาให้กำลังใจกรรมการมหาเถรฯนั้น พล.ต.อ.วสิษฐ์กล่าวว่า พระเณรเหล่านี้ ควรจะอยู่วัด แต่ก็ไม่ใช ่เรื่องแปลกอะไร พราะวัดพระธรรมกายมีความถนัดในด้านระดมคนอยู่แล้ว ส่วนที่มีใบปลิว จาบจ้วงเบื้องสูง ออกมาเผยแพร่นั้น ตนก็ได้รับ แต่ไม่อ่าน เมื่อส่งมาก็จะขว้างหรือเผาทำลายเสีย

ด้านนายสุธรรม แสงประทุม กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่เด็ดขาดในการจัดการปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะ การใช้อำนาจ ของรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล หากไม่เร่งดำเนินการปล่อยให้ปัญหาบานปลาย มีการวิพากษ์วิจารณ์ กันมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เกิด ความแตกแยกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี กรณีมีพระเณร ออกมาเคลื่อนไหวนั้น คิดว่าสาธารณชน คงทราบดี ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

ผู้สื่อข่าว รายงานจากกองทัพบกว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ. ได้มีคำสั่งให้ หน่วยขึ้นตรงกับกองทัพบก เดินทาง ไปร่วมลงนาม ถวายพระพร สมเด็จพระสังฆราชให้ทรงหายประชวรโดยเร็ว ล่าสุด ยังได้มีคำสั่ง อีกฉบับให้กำลังพล ในกองทัพภาคที่ 1, 2, 3 และ 4 รวมถึง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ลงนามในสมุดในพื้นที่ของตน ก่อนที่จะรวบรวม ส่งไปยังวัดบวรนิเวศฯ โดยไม่ต้องเดินทางมาเอง ทั้งนี้ ในคำสั่งดังกล่าว ได้ขอให้กำลังพล อยู่ในความสงบ งดการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเพราะเกรงปัญหาจะบานปลาย

ในส่วนของกองทัพอากาศ มีรายงานว่า แม้ขณะนี้ พล.อ.อ.ธนนิตย์ เนียมทันต์ ผบ.ทอ. ยังไม่ได้มอบนโยบาย หรือมีคำสั่งในเรื่องนี้โดยตรง แต่หากกำลังพล ต้องการ จะเข้าลงนามถวายพระพร ทางกองทัพอากาศ ก็จะสนับสนุน อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ได้มีกำลังพล บางส่วนของกองทัพอากาศ ทะยอยไปร่วมลงนาม ถวายพระพร สมเด็จพระสังฆราช กันบ้างแล้ว

ธรรมกายมาด้วย

เมื่อเวลา 12.00 น. นายแผน วรรณเมธี ประธานองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) ได้เดินทาง มาร่วมลงนามถวายพระพร จากนั้น ได้เปิดเผย ถึงกรณีวัดพระธรรมกายว่า ไม่อยากแสดง ความคิดเห็น เพราะอยู่ในตำแหน่ง ประพสล. หากพูดอะไรออกไป จะเป็นการไม่เหมาะสม ขณะน ี้ประเทศไทย กำลังเป็นศูนย์ที่ตั้ง มหาวิทยาลัย พุทธศาสนาแห่งโลก กรณีที่พุทธศาสนา มีปัญหา ในประเทศขึ้นก็ต้องดูกันว่า ได้รับการแก้ไข ตามระบบ หรือขั้นตอนหรือไม่ ดังนั้นการพูดอะไรออกไปในเวลานี้จะมีผลกระทบในวงกว้าง

ต่อมาในเวลา 13.10 น. ได้มีรถตู้จำนวน 8 คันและรถยนต์ส่วนตัว อีกจำนวนหนึ่ง นำบรรดาลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ประมาณ 100 คนมาบริเวณ หน้าตำหนักเพชรเพื่อร่วมลงนามถวายพระพร ภายใต้การนำของนายสมหมาย ครสาคู รองประธานพสล. และกรรมการ วัดพระธรรมกาย โดยนายสมหมายกล่าวว่า การเดินทางมา ครั้งนี้เพื่อ แสดงความจงรักภักด ีต่อสมเด็จพระสังฆราช ในฐานะที่เป็นองค์ประมุข สูงสุดของสงฆ์ วัดพระธรรมกาย ไม่ได้ชี้นำ หรือสั่งการอะไรมา สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ก็อยากให้รู้ว่า เราก็เป็นชาวพุทธ

กำลังพล จากกองทัพบก ทะยอยกันมาลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่องจำนวนกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ ยังมีนักเรียน จากโรงเรียนเทพศิรินทร์ กว่า 600 คนจัดขบวนพานพุ่มถวาย เครื่องสักการะมาถวายนำโดยนายประชา ปฏิสัมพิธา ผู้ช่วย ผู้อำนวยการ โรงเรียนฝ่ายปกครอง

ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ศิษย์ห้องกระจก เปิดเผยกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชไม่เข้าร่วมประชุมมหาเถรฯนั้น ว่า เป็นเพราะ ไม่เป็นมิตร และไม่ให้ความเคารพ อีกทั้งประกาศตัวชัดเจนและมีความพยายามที่จะเชิญสมเด็จพระสังฆราชไปร่วม ทั้งที่ผ่านมา พระองค์ไปประชุม ก็เหมือนไม่มีอำนาจ และเสียงก็น้อยกว่า เวลาพระองค ์มีพระบัญชาอะไร ออกไป ก็ไม่มีใครรับฟัง การให้พระองค ์เป็นองค์ประธาน การประชุมก็เหมือนกับ นำพระองค์ท่านไปเย้ยหยัน ผวามือที่ 3 ล้มรัฐบาล

รายงานข่าว จากหน่วยข่าวด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการทำรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมของวัดพระธรรมกาย เพื่อส่งตรง ถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมทั้งจะมีการส่งถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วย ทั้งน ี้เนื่องจากได้มีการเคลื่อนไหว ที่ค่อนข้าง รุนแรงเกิดขึ้น จากกรณ ีการเดินทางมา ชุมนุมกันของ พระภิกษุสามเณร จำนวนมากเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการใช้เงินว่าจ้างรูปละ 200 บาท และคาดว่า จะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้อีก

ทั้งนี้ หน่วยข่าว ด้านความมั่นคง ได้ระบุในรายงานถึง นายกรัฐมนตร ีให้เร่งดำเนินการบางอย่าง เพื่อคลี่คลายปัญหา ก่อนที่จะลุกลามรุนแรง เนื่องจาก ได้มีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อรัฐบาลและประเทศชาติ เป็นมือที่สาม พยายามเคลื่อนไหว โดยอาศัยสถานการณ ์กรณีวัดพระธรรมกาย มาเป็นประเด็นโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งขณะทางสมช. ศูนย์รักษา ความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด หน่วยข่าวกรองทหารบก และเจ้าหน้าท ี่ตำรวจสันติบาล ได้ติดตามพฤติกรรม ของบุคคลกลุ่มนี้อยู่อย่างใกล้ชิด

กาญจน์ฮึ่มขนคนบุก

ขณะเดียวกัน ที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเวลา 9.00น.นายศักดิ์ เตชาชาญ ผวจ.กาญจนบุรี เป็นประธาน ลงนามถวายพระพร ให้ทรงมีพระราช พลานามัยสมบูรร์ หายจากทรงพระประชวร และเป็นกำลังใจตามลายพระหัตถ์ โดยได้จัดสมุด ถวายพระพรไว้ที่ศาลากลางจังหวัด และตามอำเภอ ต่าง ๆ 13 อำเภอ จนถึงเวลา 14.00 น. มีผู้ลงชื่อ ถวายพระพรแล้ว 30,000 ชื่อ

ผู้สื่อข่าว รายงานด้วยว่า ประชาชนที่ร่วมลงชื่อถายพระพรได้วิจารณ์การทำงานของมหาเถรฯ และกรมการศาสนา ที่ไม่ฟังคำบัญชา ขององค์ประมุขสงฆ์ และหากมีการเคลื่อนไหวนำมวลชนไม่ว่าจะเป็นม็อบพระ หรือฝ่ายสนับสนุน กลุ่มตรงกันข้าม มากดดันพระสังฆราช ชาวกาญจนบุรี จะรวมตัวกันชุมนุาเรียกร้องให้ดำเนินการตามพุทธบัญญัติต่อไป โดยไม่ยอมให ้องค์กรใดมาหมิ่นศาสนา หรือหมิ่นพระสังฆราช โดยสภาวัฒนธรรม จังหวัดกาญจนบุรี ประสานงาน ไปยังสภาวัฒนธรรมภาคตะวันตก เพื่อระดมรายชื่อหนุงลายพระหัตถ์ เพื่อหาแนวร่วม การดำรงพระพุทธศาสนาต่อไป

ฟ ้องอวดอุตริฯเป็นเป้า

เมื่อเวลา 12.00 น. นายอาคม รมช.ศึกษาธิการแถลงว่า ข้อฟ้องร้อง ของกรมการศาสนานั้น จะเน้นไปในเรื่องของ การอวดอุตริ มนุสสธรรมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องการลักทรัพย์ฉ้อโกงทรัพย์นั้น ผู้เสียหาย คือนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาวบ้านจังหวัดสุพรรณบุร ีไดเ้ยื่นฟ้องร้องเรียนไปก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับกา รดำเนินการสอบ นิคหกรรมนั้น ได้สั่งการให ้กรมการศาสนา จัดเจ้าหน้าท ี่คอยสนองงานตามที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 มีบัญชามา พร้อมทั้ง จัดเตรียมสถานท ี่ให้ทางคณะสงฆ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยปราศ จากความกดดัน ส่วนประชาชน ที่จะไปฟังการสอบสวนนั้น คงจะห้ามไม่ได้ แต่ขอร้องว่าอย่าให้เกิดความวุ่นวาย และจะมีการเปิดเผย ข้อมูลหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์

ต่อข้อถามที่ว่า หลายฝ่ายแสดงความไม่มั่นใจในกระบวนการพิจารณาทางนิคหกรรม และมีผู้เสนอให ้แก้ไขกฎนิคหกรรม เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ในการสอบสวนนั้น รมช.ศึกษาฯกล่าวว่า เป็นมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อทุกอย่าง เข้าสู่กระบวนการ ตัดสินแล้ว ขอให้ทุกฝ่ายทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายที่คัดค้านได้ตั้งหลักรอก่อน เพราะถ้ามา ประจัญหน้ากัน อยู่เรื่อยๆ โอกาสที่จะ กระทบกระทั่งกันก็มีสูง และจะไม่เกิดผลดีต่อสถาบันศาสนาและบ้านเมือง

"อยากให้ทางฝ่าย รักษากฎหมายบ้านเมืองเข้ามาดูแล จะปล่อยให้เกิดความวุ่นวายระหว่างการไตรส่วนคงไม่ได้ ควรที่จะใช้หลักเหตุผล ในการอธิบาย และสกัดกั้นไม่ให้เกิดการชุมนุมที่นำไปสู่ความรุนแรง ที่ผ่านมา 5-6 เดือนนั้น สถานการณ์ ยังไม่รุนแรง เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนเคารพเหตุผล และยอมรับ มติสงฆ์ตลอดจน ข้อกฎหมาย ทุกอย่างจะไม่บานปลาย"

เสนอให้ลงโทษแกนนำม็อบพระ

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรมการศาสนา จะดำเนินการอย่างไร กับกรณีที่มีพระเณร เดินทางมาชุมนุม เพื่อแสดงพลัง สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นายอาคมกล่าวว่า ความจริงกรมการศาสนาได้พยายามสกัดกั้นไม่ให้เกิดการชุมนุมแล้ว โดยในครั้งแรก พระสงฆ์ที่เดินทางมาทั้งหมด อ้างว่าจะมาสัมมนา ที่พุทธมณฑล แต่เมื่อดูวัตถุ ประสงค์แล้วก็ทราบดีว่า เป็นการมาเพื่อแสดงมุทิตาจิต ต่อกรรมการมหาเถรฯ แม้จะไม่อนุญาต ให้ใช้สถานที่ แต่เมื่อพระเหล่านี้ เดินทางเข้ามา ก็ไม่รู้จะควบคุม อย่างไร

นายอาคม กล่าวต่อไปว่า การดูแลมิให้พระเณรเดินทางมาชุมนุมกันนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะผู้ปกครองของพระรูปนั้นๆ เพราะหากว่า พระเณรกลุ่มนี้ มาสนับสนุนใครได้ต่อไปก็จะมีการชุมนุมของพระเช่นนี้อีก พระทั่วประเทศนั้นมีกว่า 300,000 รูป จึงอยากให ้เจ้าคณะผู้ปกครองดูแลว่า กล่าวตักเตือนพระในปกครองด้วย และหากว่า มีการฝ่าฝืนขึ้นมาอีก ก็มีบทลงโทษตักเตือน ไล่ออกจากวัด ไม่ร่วม สังฆกรรมด้วย จนถึงจับสึกเลย

"พิภพ"ดึงคำร้องฟ้อง

ส่วนที่ กรมการศาสนา ในเวลาเดียวกัน นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญระดับ 9 กรมการศาสนา ที่ได้รับมอบหมาย ให้ร่า งสำนวนคำฟ้อง อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ได้รวบรวมเอกสาร หลักฐานและจัดพิมพ ์ร่างคำฟ้องเตรียมไว ้เพื่อให้อธิบดีกรมการศาสนาลงนาม แต่แทนที่ เรื่องจะยุติลงโดยง่าย กลับปรากฎว่านายมาณพกับนายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา กลับขัดแย้งกันเอง จึงไม่สามารถตกลงกันได้ นอกจากนี้แล้วนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ซึ่งต้อง ลงนามในหนังสือ คำร้องก็ไม่เดินทางมา จนกระทั่งเวลา 13.00 น.ผ่านไปแล้ว

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า สาเหตุที่นายพิภพไม่ยอมมาลงนามนั้น เพราะหลังจากเสร็จการบรรยายที่พุทธมณฑลแล้ว ได้เดินทางไป ที่วัดชนะสงคราม เข้านมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะหนกลาง โดยมีนายเริงฤทธ ิ์ตามไป สมทบเมื่อเวลา 13.40 น.เพื่อปรึกษาหารือ ถึงแนวทาง การใช้ข้อกฎหมาย โดยหารือร่วมกันนานกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้น ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า เป็นการมานมัสการเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องยังไม่ได้ลงนาม ในหนังสือคำร้องนั้น ก็เพราะต้องการ ให้ตรวจดูเพื่อความรอบคอบ นอกจากจะให้ทางคณะทำงานได้ตรวจสอบแล้ว ยังต้องเข้าสู่ คณะกรรมการ ชุดใหญ่ที่กระทรวงตั้งขึ้นด้วย แม้ว่าจะมีการแถลงข่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะยื่นฟ้องภายในวันที่ 21 พ.ค.นี้ก็ตาม แต่เมื่อทุกอย่าง ไม่พร้อมก็เลื่อนเวลาออกไปได้ แต่ก็จะพยายาม ดำเนินการให้เสร็จ หากว่าเสร็จช่วงค่ำก็จะไปยื่นในทันที

ฟ้องปาราชิก"ไชยบูลย์-พระเผด็จ"

นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาเปิดเผยว่า จากการหารือ กับนายพิภพได้สั่งการ ให้นายมาณพ เป็นผู้แทน กรมการศาสนา ไปกล่าวหาอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและรองเจ้าอาวาสฯใน 2 ข้อกล่าวหาคือ คำสอน ผิดไปจากพระไตรปิฎก เข้าข่ายอวดอุตริมนุสสธรรม และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการลักทรัพย์เรื่องที่ดิน เรียกว่า ทุติยปาราชิก คือ การลักทรัพย์เกิน 5 มาสก

นายมาณพ กล่าวก่อนเดินทางไปยื่นคำฟ้องว่า ได้นำหลักฐานประกอบข้อกล่าวหาไปยื่นต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรวม 16 รายการ โดยเป็นหลักฐาน ที่กรมการศาสนา ได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาตรวจสอบ คำสอน ของวัดพระธรรมกาย ทั้งจากเทป บันทึกเสียง เอกสาร และหนังสือพระแท ้ที่ระบุว่าขัดกับพระไตรปิฎก หลักฐานเอก สารการตรวจสอบ ของคณะกรรมการ ที่ตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการอีก 8 ประเด็น และเรื่องโฉนดที่ดิน ที่ถือครองโดยนายไชยบูลย์รวม 73 แปลง 1,747 ไร่ ซึ่งได้มาจากผู้บริจาคให้และจัดซื้อมาเอง

"เมื่อยื่นเรื่อง ต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯแล้วจะพิจารณาดูคำฟ้องเป็นอย่างไร ซึ่งมีสิทธิ์รับคำฟ้องและไม่รับคำฟ้องก็ได้ ในกรณี ที่ไม่รับคำฟ้อง สามารถยื่นอุทธรณ์ไ ด้ที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 หากยืนยันไม่รับคำฟ้องอีกเรื่องก็ตกไป แต่ในกรณ ีที่รับเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรม คือมีคณะสงฆ์ผู้พิจารณา ชั้นต้นรวม 3 รูปคือ เจ้าคณะจังหวัดปทุม พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 และพระราชปริยัติบดี เจ้าอาวาสวัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 โดยจะมีการแต่งตั้ง สงฆ์รูปหนึ่ง เป็นโจทก์แทนผู้กล่าวหา เพราะเป็นการพิจารณาของสงฆ์ นอกจากนี้ ในระหว่างการสอบสวนนั้น อาจจะใช้ กฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ข้อ 56 ปลดพระสังฆาธิการที่ต้องอธิกรณ์ออกก่อนก็ได้ และคณะสงฆ์ ผู้พิจารณาชั้นต้น อาจจะเสนอ มหาเถรฯให้ใช้กฎมหาเถรฯฉบับที่ 21 จับนายไชยบูลย์ถอดผ้าเหลืองออกก้ได้ เพราะเกรงว่า อาจจะทำให ้เกิดความเสื่อมเสีย แก่พระพุทธศาสนา"

"มาณพ"ยื่นฟ้องแทนกรม

เมื่อเวลา 19.30 น. นายมาณพพร้อมคณะได้เดินทางมาพบพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุม ธานี และพระปริยัติวโรปการ เลขานุการ และเจ้าคณะอำเภอธัญบุรี เพื่อยื่นคำฟ้องนายไชยบูลย์และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย หลังจาก แจ้งความประสงค ์พร้อมทั้งยื่นคำฟ้องแล้ว พระสุเมธาภรณ ์ได้ลงนามรับคำฟ้อง พร้อมด้วยพระปริยัติวโรปการ จากนั้น นายมาณพได้อ่านคำฟ้อง ให้แก่สาธารณชน ที่มาสังเกตการณ ืและสื่อมวลชนที่เฝ้าทำข่าว โดยคำฟ้องดังกล่าวระบุโดยสรุปว่า

ข้าพเจ้า นายมาณพ พลไพรินทร์ อาชีพรับราชการ ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ อายุ 50 ปี เป็นผู้กล่าวหา ขอกล่าวหา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) เดิมชื่อ นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง และพระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทัตตชีโว) เดิมชื่อ เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ดังมีข้อความ ดังต่อไปนี้

ด้วย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) เดิมชื่อ นายไชยบูลย์ สุทธิผล เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน

วัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์� พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 นิติ บุคคล ย่อมมีสิทธิ์ และหน้าที่ เช่นเดียวกับ บุคคลธรรมดาเช่น มีทรัพย์สินของตนเองได้ การที่มีบุคคลบริจาคทรัพย์สินให้แก่วัด จะต้องดำเนินกา รผ่านเจ้าอาวาส ในฐานะผู้แทนของวัด ในกรณี บริจาคอสังหา ริมทรัพย์ ให้แก่วัด ซึ่งจะต้อง ดำเนินการ เกี่ยวกับ การทำ นิติกรรมสัญญา ต้องให้ไวยาวัจกร เป็นผู้ดำเนินการ ตามกฎหมายมหาเถรฯ ฉบับที่ 18 พ.ศ.2536 ว่าด้วย การแต่งตั้ง ถอนไวยาวัจกร จึงจะถูกต้อง ตามกฎมหาเถรฯ และกฎหมายบ้านเมือง

อมที่ดิน-บิดเบือนพระธรรม

พระราชภาวนา ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย หลายบทหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ 1.เมื่อระหว่างปีพ.ศ.2535-2542 ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืนติดต่อกัน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ในฐานะเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยเจตนาทุจริต ได้บังอาจ ดำเนินการโอนที่ดิน จำนวนประมาณ 1,749 ไร่ ซึ่งบางแปลงอยู่ในจังหวัดปทุมธานี โฉนดที่ 15502 อ.หนองเสือ ปทุมธานี ที่มีผู้บริจาค ให้แก่วัด พระธรรมกายเป็นของตนเอง โดยรู้อยู่แล้วว่าผู้บริจาคมีเจตนาถวายที่ดินให้แก่วัดพระธรรมกาย โดยผ่าน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ในฐานะเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นการประพฤติละเมิดพระธรรมวินัยในพระวินัยปิฎก ปาราชิก สิกขาบทที่ 2 และอรรถกถา พระวินัยในอวหาร หมวดนานาภัณฑปัญจก ข้อว่า อาทิยนอวหาร (ฟ้องร้องตู่เอาที่นาสวน)

2.เมื่อระหว่างปี 2522 จนถึงปี 2542 ทั่งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 เป็นธุระ ในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย ตลอดจนบำรุงรักษากิจการ และศาสนสมบัต ิของวัด ให้เป็นไปด้วยดี

ได้ร่วมกันกับ พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) ไม่ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้องให้แก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ตามหน้าที่ กับบิดเบือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา อบรมสั่งสอนหลักธรรม คำสอนแก่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ หรือศึกษาหลักธรรม คำสอน ได้อย่างไม่ถ่องแท้ กล่าวคือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ร่วมกับ พระภาวนาวิริยคุณ สั่งสอนว่า นิพพานเป็นอัตตา ซึ่งผิดหลักคำสอน ในพุทธศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย อย่างร้ายแรง แก่คณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนา อันมีปรากฎ ในบาลีพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท แม้ไม่ได้จงใจก็ถือว่าประมาทเลินเล่อในหน้าที่ หย่อนความสามารถ ในการปฏิบัติหน้าที่ หากให้ดำรง ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต่อไป จะนำความเสื่อมเสีย มาให้แก่ พระพุทธศาสนา และการคณะสงฆ์ อันยากที่จะแก้ไขได้ในภายหลัง สมควรที่ คณะสงฆ์จังหวัดปทุมธาน ีจะได้พิจารณา แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว

การกระทำดังกล่าว เป็นการคัดค้านพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ตามนัยแห่งสิกขาบทที่ 8 แห่งสัปปาณวรรคที่ 7 และล่วงละเมิด เป็นอาจิณ กับทั้งได้ประพฤติละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ เมื่ออ่านจบนายมาณพได้กล่าวกับพระสุเมธาภรณ์ว่า ขอให้เจ้าคณะจังหวัด เร่งดำเนินการให้รวดเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ จากนั้นจึงเดินทางกลับ

ขอนิติกร"ศาสนา"ฟันอาญา

พระปริยัติวโรปการณ์ เลขานุการพระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม และเจ้าคณะจังหวัดปทุม ธานี เปิดเผยว่า หลังจาก ที่มีโจทก์ยื่นร้อง กล่าวโทษอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ จะดำเนินการ ตรวจสอบคุณสมบัติ ของโจทก์ผู้ร้อง ว่าเป็นผู้เสียหายจริง และยื่นฟ้องถูกต้องกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรมหรือไม่ จากนั้น ก็จะเรียก อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาว่า ยอมรับตามคำร้องหรือไม่ ถ้ายอมรับก็จะพิจารณาตามรับนั้น

"แต่คงเป็นไปไม่ได ้ที่อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจะยอมรับ และหากปฏิเสธก็ต้องมีการรวบรวมเอก สารข้อมูล หลักฐานทั้งหมด เสนอต่อไป ยังพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เพื่อพิจารณาคำร้องและสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งพยานฝ่ายโจทก์และพยานฝ่ายจำเลยต่อไป ซึ่งหากมีผลใด ออกมาก็สามารถที่จะอุทธรณ์ได้ทั้งโจทก์ผู้ร้องและผู้ถูกกล่าวหา โดยทางเจ้าคณะภาค 1 ก็จะเสนอเรื่อง ไปยังเจ้าคณะหนกลาง สมเด็จพระมหาธีรา จารย์ วัดชนะสงคราม และยังสามารถยื่นฎีกาต่อมหาเถรสมาคมได้ด้วย"

ขณะนี้ พระสุเมธาภรณ์จะรวบรวมเอกสารหลักฐานโดยแยกออกเป็น 2 ประเด็นไม่เกี่ยวข้องกัน ในส่วนของ เจ้าคณะจังหวัดนั้น ก็จะตรวจสอบ ความผิดด้านพระธรรมวินัยตามคำร้อง ในขณะที่ขอความร่วมมือไปยังกรมการศาสนา ให้จัดส่งนิติกร มาช่วยทีมงาน เจ้าคณะจังหวัด เพื่อตรวจสอบความผิดคดีอาญาพร้อมกันไปด้วย ซึ่งคงดำเนินการหลังจากที่นายสมพร เทพสิทธา ประธาน ยุว พุทธิกสมาคมแห่งชาติ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว จะได้ดำเนินการ พร้อมกันทีเดียว เนื่องจาก คดีบางส่วน มีความคล้ายคลึงกัน

สำหรับข้อกล่าวหานั้น คงแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่คือ 1.การฉ้อโกงที่ดินที่มีผู้มาร้องเรียนแล้ว ซึ่งในส่วนน ี้หากมีหลักฐาน ข้อมูลแท้จริง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็สามารถเข้ามาดำเนินคดีอาญาได้เลย ไม่ต้องรอการสอบสวนทางสงฆ์ และ 2.การอวด อุตริมนุสสธรรม

ส่วนความผิด ทางจริยาสังฆาธิการนั้น หากทางเจ้าคณะจังหวัดมีความเห็นว่าเป็นการเสื่อมเสียแก่สงฆ์แล้ว เจ้าคณะจังหวัด สามารถ ที่จะสั่งให้พระ ที่ต้องจริยารูปนั้นออกจากการเป็นเจ้าอาวาสได้โดยให้เจ้าคณะตำบลเป็นคนสั่งเป็นการชั่วคราว โดยไม่ต้องรอ การประชุมแต่อย่างใด เพราะเป็นอำนาจตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ

"ในส่วนที่ 3 การละเมิดจริยา ในข้อ 56 ระบุว่า พระสังฆาธิการรูปใดต้องอธิกรณ์ หรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา และอยู่ระหว่าง การพิจารณาวินิจฉัย หรือมีกรณีต้องหาว่าละเมิดจริยา อย่างร้ายแรงและอยู่ในระหว่างสอบสวน ถ้าผู้บังคับบัญชา ใกล้ชิดเห็นว่า จะได้อยู่ในตำแหน่ง หน้าที่ระหว่างพิจารณาหรือสอบสวนจะเป็น การเสียหายแก่คณะสงฆ์ จะสั่งให้พักตำแหน่งหน้าที่ก็ได้ การพัก จากตำแหน่งหน้าที่นั้น จะให้พักตลอดเวลาที่พิจารณาสอบสวน เมื่อพิจารณาหรือสอบสวนเสร็จ หากไม่มีความผิด ก็สามารถให้พระ ที่ต้องสังฆาธิการรูปนั้ นกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมได้"

พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องขอเวลาในการพิจารณาเอกสารอย่างถี่ถ้วน เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่สำคัญ และมีความละเอียดอ่อน จะทำโดยลวกๆไม่ได้ เมื่อพิจารณาแล้วในขั้นตอนต่อไป จะต้องเรียกผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 2 มาสอบสวนว่า จะรับตาม ที่ถูกกล่าวหาว่า ต้องอาบัติหรือไม่ หากรับก็สามารถที่จะลงโทษได้ทันที

ต่อข้อถามที่ว่า มีหลายฝ่ายเกรงว่าเมื่อมีการกล่าวโทษเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว ผู้ที่เป็นคณะสงฆ์ ที่เป็นผู้พิจารณา จะถูกกดดันจากทางวัดพระธรรมกาย พระสุเมธาภรณ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ต้องไปฟังใคร เพราะแรงกดดันนั้นไม่มีแน่ ทำตามกฎหมาย ก็สบายใจแล้ว ส่วนจะนำเอกสารข้อกล่าวหาไปยื่นต่อเจ้าคณะภาค 1 เมื่อใดนั้น ต้องดูว่าข้อมูลเป็นอย่างไรก่อน และต้องเรียก ผู้ถูกกล่าวหามาสอบถาม หากปฏิเสธข้อกล่าวหาก็จะเสนอไปยังคณะสงฆ์ผู้พิจารณาชั้นต้นเพื่อให้พิจารณา