ถูกหลอกยกหมู่บ้านเตรียมหอบเอกสารฟ้องเจ้าคณะ จว.ปทุม เจ้าของที่ 5 แปลงเมืองสุพรรณฯ ขอเป็นโจทก์จัดการโล้น"ไชยบูลย์"นำหลักฐานปาราชิกฉ้อโกงที่ดินฟ้องเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ กระชากผ้าเหลืองจากร่างสนองลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช แฉคนสองพี่น้องถูกหลอกยกหมู่บ้าน หลาน "หลวงพ่อสด" ยังโดน บริจาคที่ให้หวังสร้างอนุสรณ์สถาน แต่ไปมุบมิบทำเป็นสัญญาซื้อ-ขายเข้ามูลนิธิ สุดท้ายต้องเอาเงินอุด 10 ล้าน ผู้เชี่ยว ชาญกรมศาสนาระบุเป็นสมีไปแล้ว ชาวบ้าน-พระพิจิตรสุดทนออกโรงโล้นเหลืองไปกว้านซื้อทำเหมืองทองไม่ใช่บริจาคโกงกระทั่งวัด ล่า สุดด้านขนาดจะมาเกณฑ์พระไปเป็นพยานเท็จแหกตามหาเถรฯ-กรมศาสนา 224 องค์กรพุทธฟ้องซ้ำจันทร์นี้ข้อหาอวดวิเศษ งัดกฎปลดจากเจ้าอาวาสไปก่อน เลขาฯ "พิภพ" ว่างจัดออกวิทยุธรรมกายให้สาวกใช้เป็นผงซักฟอกล้างคราบคาวให้วัด "สันติอโศก" เคลื่อนไหวขับ พระพยอม ทำสติกเกอร์ "บูชาสังฆราช ขจัดมารไชยบูลย์" ติดทั่วประเทศ ชาวพุทธจุดตะเกียงเจ้าพายุหาสมเด็จเกี่ยวทำไมวัดนี้มันมืดมิด "อาคม" ใกล้พังเพราะปากจะถูกฟ้องหมิ่นกล่าวหาลายพระหัตถ์ปลอม

จากกรณีที่ "เดลินิวส์" ได้นำเสนอหลักฐานการดำเนินคดีอาญาและการเล่นงานพระปลอมนายไชยบูลย์ สุทธิผล หรืออดีตพระธัมมชโย เจ้าสำนักวัดพระธรรมกาย เกี่ยวกับการยักยอกที่ดินจำนวน 5 แปลง ที่จ.สุพรรณบุรี ของนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี อายุ 62 ปี โดยนางสาลี่ต้องการจะถวายที่ดินให้วัดพระธรรมกาย แต่ทว่ากลับไปทำสัญญายักยอกและโอนเป็นของมูลนิธิธรรมกาย ที่มีนายไชยบูลย์เป็นประธานมีอำนาจเด็ดขาดในการซื้อ-ขายจัดการที่ดินแต่เพียงผู้เดียว โดยคดีดังกล่าวสามารถกระชากผ้าเหลืองออกจากร่างโล้นห่มเหลืองนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระวินิจฉัยที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรงมีลายพระหัตถ์ออกมาแล้วนั้น

@ เอา "หลวงพ่อสด" หากิน

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ผู้สื่อข่าว "เดลินิวส์" ประจำจังหวัดสุพรรณบุรี เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 56 ถนนราษฎร์อุทิศ ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และพบนางสาลี่ พร้อมนายเมือง เพ็ชร์ชูดี สองสามีภรรยา รวมถึงนายประเสริฐ วรรณศิริ อายุ 43 ปี ผู้เป็นบุตรเขย ที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนนางสาลี่ในการฟ้องร้องจัดการกับนายไชยบูลย์และมูลนิธิ

นายประเสริฐ เปิดเผยว่านางสาลี่เป็นคนที่ชอบเข้าวัดเข้าวามาตลอด และเคยมาที่วัดพระธรรมกายโดยมาคนเดียว จากนั้นตนและครอบครัวก็รู้ว่านางสาลี่ต้องการบริจาคที่ดินให้วัด 1 ไร่ โดยมีการนัดโอนที่ดินในวันที่ 7 ก.พ. 2539 ซึ่งเกิดจากความศรัทธาของนางสาลี่ ที่ดินจำนวนนี้ทางวัดอ้างว่าจะเอาไว้ทำที่จอดรถ สำหรับการก่อสร้างอนุสรณ์สถานของหลวงพ่อสด จันทสโร และหลวงพ่อสดเป็นคนสองพี่น้อง จึงถือเป็น ความภูมิใจของชาวบ้านที่จะบริจาคที่ดินให้

ก่อนที่จะมีการโอนที่ดินนางสาลี่เล่าให้ฟังว่าได้ไปที่วัดพระธรรมกายก่อน และทางวัดให้มีการลงนามในเอกสารหลายแผ่นที่นางสาลี่ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ลงนามไปเพราะไว้วางใจวัด โดยไม่รู้มาก่อนว่าจะถูกโกงในภายหลัง จากนั้นเมื่อถึงวันนัดโอนที่ดินนางสาลี่ก็ไปคนเดียว และไปลงนามในสัญญาขายที่ดินเรียบร้อย

นายประเสริฐกล่าวอีกว่าเรื่องทั้งหมดก็ผ่านมาโดยที่ครอบครัวและนางสาลี่ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งหลังจากโอนที่ดินได้ 3 วันมีด.ต.สุพจน์ สุขเจริญ เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายธุรกิจ สภ.อ.สองพี่น้อง ได้มาหาที่บ้านและบอกว่าครอบครัวของตนรวยแล้ว เพราะขายที่ดินไป 5 แปลง เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 84.5 ตารางวา ซึ่งราคาซื้อ-ขายกันต้องไร่ละ 2 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว และครั้งนี้ทางครอบครัวต้องได้เงินราว ๆ 6 ล้านบาท

เมื่อด.ต.สุพจน์บอกเช่นนี้ ทำให้ครอบครัว ตกใจมากและสอบถามนางสาลี่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยนางสาลี่กล่าวว่าโอนให้วัดเพียง 1 ไร่ และไม่ได้ขายให้กับมูลนิธิ นายประเสริฐจึงได้มาตรวจสอบที่ดินอำเภอและรู้ว่านางสาลี่ถูกหลอก โดยที่ดินทั้ง 5 แปลง ได้มีการทำสัญญาซื้อ-ขายเข้ามูลนิธิเรียบร้อย และระบุด้วยว่าซื้อ-ขายกันแค่ 1.6 แสนบาท

@ ฟ้องปาราชิกถอดผ้าเหลือง

นายประเสริฐกล่าวอีกว่าเมื่อรู้ตัวถูกหลอกทางครอบครัวจึงได้ติดต่อกับวัดพระธรรมกาย เพื่อขอพบเจ้าอาวาส แต่ไม่เคยได้พบ จน กระทั่งได้มีการพาไปหาพระภาวนาวิริยะคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาส และได้รับปากว่าจะคืนที่ดินดังกล่าวให้ โดยมอบหมายให้นายพลกิจ กิจประชา เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งในอ.สองพี่น้อง ซึ่งเป็นผู้นำบุญของวัดมาสะสางปัญหาให้ นายพลกิจจึงได้ไปซื้อที่ดินจำนวน 1 ไร่ 3 งาน ราคาประมาณ 4 ล้านบาท มามอบให้เป็นค่าชดเชยสำหรับที่ดินที่มีการโอนเกินไป

นอกจากนั้นนายพลกิจยังตกลงว่าจะมีการให้เงินอีก 4 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการปลูกบ้านในที่ดินแห่งใหม่ เพราะที่ดินเดิมที่ได้มีการยักยอกไปมีบ้านพัก 4 หลังด้วย จนกระทั่งมีการเปิดโปงข้อมูลของวัดแห่งนี้ จึงทำให้ต้องมาร้องเรียนสภาทนายความให้ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา

นายประเสริฐกล่าวอีกว่านอกจากการฟ้องคดีอาญา ตนและครอบครัวจะพากันมาฟ้องร้องข้อหาปาราชิกนายไชยบูลย์ด้วยฐานลักทรัพย์ และเป็นไปตามลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช โดยจะร้องเรียนเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในวันที่ 18 พ.ค. นี้ เพื่อกระชากผ้าเหลืองจากร่างนายไชยบูลย์

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าการฉ้อโกงของวัดและของมูลนิธิธรรมกายที่มีนายไชยบูลย์ เป็นประธานครั้งนี้มีเบื้องหลังซับซ้อน โดยทางวัดได้มีการวางแผนไปฮุบที่ดินที่ต.สองพี่น้อง และขึ้นป้ายว่าจะสร้างเป็นอนุสรณ์สถานหลวงพ่อสด จันทสโร ทำให้ชาวสองพี่น้องภูมิใจมากเพราะหลวงพ่อสดเป็นคนสองพี่น้อง โดยเกิดขึ้นในสกุลของนายเงิน นางสุดใจ มีแก้วน้อย

ให้ทางวัดพระธรรมกายเริ่มเข้าไปติดต่อกว้านซื้อที่ดินที่สุพรรณบุรีตั้งแต่ปี 2536 จาก เป้าหมายอยู่ที่ลูกหลานของหลวงพ่อสด ได้แก่ ครอบครัวเจริญสุข โฉนดเลขที่ 944 จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา และจากครอบครัวมีแก้วน้อย ราว ๆ 1 ไร่ เป็นโฉนดเลขที่ 945 โดยทั้ง 2 ครอบครัวถวายที่ให้วัดพระธรรมกาย เพราะถือว่าเป็นหลานหลวงพ่อสด โดยตรง และจะมาสร้างอนุสรณ์ให้บรรพบุรุษก็ยินดีให้ที่ดินฟรี ๆ

จากนั้นวัดโดยที่มีนายไชยบูลย์เป็นผู้นำก็ได้มากว้านซื้อที่ดินฝั่งตรงกันข้ามกับของครอบครัวเจริญสุข กับครอบครัวมีแก้วน้อย โดยเป็นที่ดินของนางย้อม โกมล ซื้อจำนวน 6 ไร่ 1 งาน โฉนดเลขที่ 940 และต่อมาซื้อเพิ่มอีก 1 ไร่ และซื้อจากนางองุ่น ทองอ่อน อีก 277 ตารางวา เป็นโฉนดเลขที่ 20378 โดยที่ดินฝั่งนี้มีการอ้างว่าจะทำที่จอดรถและทำปั๊มน้ำมัน

แต่ปัญหาของที่ดินที่เข้ามากว้านซื้อใหม่คือเป็นที่ตาบอด ไม่มีทางเข้าออก ซึ่งปรากฏว่าที่ดินที่ติดถนนและสามารถเปิดช่องทางเข้าออกได้คือที่ดินของนางสาลี่ จึงได้มีการติดต่อขอให้บริจาคที่ดิน นางสาลี่ก็ยินดีบริจาคให้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นไปทำสัญญาซื้อ-ขายที่ดินแทน โดยของนางสาลี่เป็นโฉนดเลขที่ 20377, 20379, 20380, 20381 และ 20382 รวม 5 แปลง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าหลังจากที่นางสาลี่รู้ตัวว่าถูกหลอก ทำให้เจ้าของที่ดินหลายรายที่เคยบริจาคที่ดินให้วัดอาทิครอบครัวเจริญสุข และครอบครัวมีแก้วน้อยไปตรวจสอบที่ดินของตัวเอง และพบว่าที่ดินที่เดิมบริจาคให้วัด ก็กลับมีการไปทำเป็นสัญญาซื้อ-ขายไปเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เกิดการเรียกร้องเงินค่าที่ดินเพราะถือว่าผิดสัญญา โดยที่ดินของครอบครัวเจริญสุขได้รับชดเชยไป 6 ล้านบาท ส่วนครอบครัวมีแก้วน้อยได้ไป 4 ล้านบาท

สำหรับเหตุผลที่ต้องมีการยักยอกที่ดินไปเป็นของมูลนิธิทั้งที่เจ้าของต้องการบริจาคให้วัด เนื่องจากถ้าเป็นที่ดินของมูลนิธิการดำเนินงานจะทำได้ง่าย โดยนายไชยบูลย์จะสั่งการผู้เดียวแม้กระทั่งจะขายทิ้งก็ได้ แต่ถ้าเป็นที่ดินของวัดจะติดขัดขั้นตอนมาก และต้องขออนุญาตซึ่งไม่ใช่วิสัยนายไชยบูลย์ที่จะไปขอใคร

@ คนพิจิตรแฉไชยบูลย์ซื้อที่

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานหลักฐานที่ดินสำคัญอีกชิ้นที่พิสูจน์ว่า นายไชยบูรณ์ต้องปาราชิกขาดจากความเป็นพระก็คือการนำเงินบริจาคไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง โดยเฉพาะการกว้านซื้อที่ดินที่พิจิตรจำนวน 158 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา และที่เพชรบูรณ์ 789 ไร่ 1 งาน 32 ตารางวา เพื่อทำเหมืองทองคำหวังรวยทางลัดคาผ้าเหลือง เรื่องดังกล่าวนางละเอียด จิตรมา อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ 7 เขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ออกมายืนยันว่าเป็นผู้ชายที่ดินให้นายไชยบูลย์ไป โดยคนที่มากว้านซื้อที่ดินให้คือนายชาญวิทย์ เปรมกมล กับนายถาวร พรมถาวร ที่มาบอกว่านายไชยบูลย์อยากได้ที่ดินมาทำเหมืองทอง โดยให้ราคาสูง ตนก็ยอมขาย ทั้ง 2 คนนี้มาบอกว่าเป็นลูกศิษย์วัด ชาวบ้านหลายร้อยหลังคาเรือนยืนยันได้หมดว่าที่ดินนายไชยบูลย์ซื้อมาไม่ใช่การบริจาค

นายเสงี่ยม แก้วทองคำ อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 34 หมู่ 7 เพื่อนบ้านนางละเอียดกล่าวว่าเรื่องที่นายไชยบูลย์มาซื้อที่ดินเป็นเรื่องจริง ตนก็รู้เพราะน้าสาวคือนางทวี หลิมเทศก็ขายที่ดินให้ และอยากให้นายไชยบูลย์มาพูดความจริง ใครจะไปบริจาคที่ดินให้จำนวนมากอย่างนี้

"เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังมีลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมานิมนต์พระตั้งหลายวัด ไปที่วัดพระธรรมกายโดยให้ไปเป็นพยานเรื่องที่ดิน แต่ไม่มีใครไป"

พระจันทร์ สารกรรโท พระลูกวัดเขาพนมพาเปิดเผยว่า เรื่องที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายออกมากว้านซื้อที่ดินเป็นความจริง โดยมีนายชาญวิทย์และนายถาวรมากว้านซื้อ รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านคือนายสมบูรณ์ ใจซื่อก็มาบังคับให้วัดย้ายออกไปเพราะไปอยู่ติดกับที่ดินที่ธรรมกายจะทำเหมืองทอง

"พวกเราอยากให้นายชาญวิทย์ นายสมบูรณ์ และเจ้าอาวาสธรรมกายเอาที่ดินมาคืน เพราะมีหลักฐานว่าโกงที่วัดไป"

@ "ปรีชา" ชี้ฟ้องร้องยาก !

ส่วนปัญหาการโอนที่ดินของนายไชยบูลย์มาเป็นของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเกิดการยึกยักโดยโอนแค่ 100 ไร่เศษ จากทั้งหมด 1,700 ไร่ นั้นนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าคงจะมีการโอนที่ดินทั้งหมดให้ เมื่อตั้งใจแล้วจะช้าจะเร็วก็ไม่เป็นไร ขอให้ตั้งใจ ตนได้กำชับให้กรมที่ดินและกระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวก กรณีมีปัญหาก็เร่งรัดให้เสร็จโดยเร็ว กรมการศาสนาก็รับเรื่องที่จะดำเนินการ "เท่าที่ฟังข่าวยังไม่โอนที่ดินให้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าจะโอนให้หมด เรื่องนี้ไม่ใช่มติ ครม. แต่ ครม. เห็นว่าถ้าใช้เวลาโอน 3-4 เดือนช้าไป ไม่ควรให้นานขนาดนั้น จึงกำชับให้กรมที่ดินช่วยดำเนินการให้"

นายปรีชา สุวรรณฑัต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเอาผิดตามกฎหมายและการมาบอกว่า ต้องขอความเห็นชอบกับเจ้าของที่ดินก่อน เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะเจ้าของที่ดินเก่านั้นเมื่อยกให้แล้วก็ไม่มีสิทธิใดๆทั้งสิ้น โฉนดในปัจจุบันเป็นชื่อเจ้าอาวาสที่ผ่านมาเป็นเพียงข้อหลีกเลี่ยงที่ไม่ต้องการคืนที่ดิน คิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าต้องออกมาในรูปนี้ และการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดลายพระหัตถ์อย่างชัดเจน

ส่วนกรณีที่นายสมพร เทพสิทธา แกนนำพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย จะไปเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในเรื่องการอวดอุตริฯนั้น เห็นว่านายสมพรทำได้เพียงผู้กล่าวโทษและเรื่องนี้ก็ไม่มีผู้เสียหายโดยตรงในทางกฎหมาย เพราะเมื่อพระรูปใดรูปหนึ่งกระทำการอวดอุตริฯ แล้ว พระรูปนั้นจะต้องขาดจากความเป็นพระทันที เป็นไปตามพระธรรมวินัย และการยื่นฟ้องครั้งนี้ทำได้เพียงแค่ให้คณะสงฆ์มาเริ่มต้นพิจารณาใหม่ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเจ้าของเดิมจะคัดค้านไม่ให้นายไชยบูลย์โอนที่ดินที่ถือครองอยู่ ให้กับวัดพระธรรมกายก็ไม่มีสิทธิที่จะทวงคืนได้ เนื่องจากได้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อป้องกันการทวงคืนที่ดินเอาไว้

@ ระบุธรรมกายพลิ้วคืนที่ดิน

ด้านนายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการสภาทนายความกล่าวว่า ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นสิทธิของนายไชยบูลย์ที่ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับฟังความเห็นจากเจ้าของที่ดินที่บริจาค นอกจากนี้ยังได้ทำหนังสือแสดงเจตนาที่จะส่งมอบที่ดิน 1,747 ไร่ ให้กับวัดโดยไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่แรกแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า หากมีประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินที่บริจาคให้นายไชยบูลย์ จะขอที่ดินคืนสามารถทำได้หรือไม่ นายวันชัยกล่าวว่า ไม่สามารถ ทำได้ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวได้ตกเป็นกรรมสิทธิของนายไชยบูลย์ ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัยจึงไม่สามารถทวงคืนที่ดินกลับคืนมาได้อีก เพราะไม่เข้าข่ายข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า เจ้าของที่ดินมีสิทธิทวงคืนที่ดินที่บริจาคให้กับบุคคลอื่นได้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายกรณีที่ผู้รับบริจาคทำ ร้ายเป็นคดีอาญาหรือถูกผู้รับหมิ่นประมาท และเป็นผู้ยากจนไม่ได้รับการดูแลจากผู้รับบริจาค

สำหรับกรณีนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาวบ้านสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่ยื่นความประสงค์ที่จะฟ้องร้องเรียกที่ดินคืนจากมูลนิธิธรรมกาย ถือว่าเป็นเรื่องทางโลก ซึ่งขณะนี้สภาทนายความกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลหากพบว่านายไชยบูลย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็จะยื่นฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับคณะกรรมการมูลนิธิธรรมกาย

พระศรีปริยัติโมฬี รองอธิการบดีมหาจุฬาฯ กล่าวว่า การคืนที่ดินของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น ต้องดูที่เจตนาและดูที่เอกสารหลักฐานต่าง ๆ ว่าเขาถวายให้เป็นชื่อเจ้าอาวาสจริงหรือไม่ ถ้าโอนให้เจ้าอาวาสจริงนายไชยบูลย์ก็ ไม่นˆาที่จะอ้างว่าต้องไปขออนุญาตกับเจ้าของที่ดินเดิมก่อน อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยมีหนังสือแสดงเจตนาคืนที่ดินไปแล้ว หากจะมาขัดขืนอีกก็เท่ากับมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ต้องการหลบเลี่ยงเอาที่ดินของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง จะต้องถูกลง โทษตามพระธรรมวินัยถึงขั้นอาบัติปาราชิกขาจากความเป็นพระทันที

นายวีระศักดิ์ ฮาดดา ไวยาจักร วัดพระ ธรรมกาย กล่าวว่า ยังกำหนดวันไม่ได้ว่าจะนำโฉนดที่ดินที่เหลือมามอบให้กรมการศาสนา เพื่อดำเนินการโอนเป็นของวัดได้เมื่อใด อาจจะไม่ทันใน 1 สัปดาห์ตามที่ครม. กำหนดก็ได้ แต่ทางวัดก็จะชี้แจงว่าทำไมถึงล่าช้า นายวีระศักดิ์ยืนยันว่าขณะนี้นายไชยบูลย์ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังผู้บริจาคแล้วว่า ยินยอมที่จะให้โอนเป็นของวัดหรือไม่ แต่บางคนอยู่ต่างจังหวัดที่ไกลจึงต้องใช้เวลารอหนังสือตอบกลับมา ส่วนที่ดินของนายประกอบ จิรกิตติ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงาน แต่ในส่วนนี้ไม่รวมอยู่ในที่ดิน 139 ไร่ที่ได้มีการโอนไปแล้ว

@ ชี้อมที่สุพรรณฯปาราชิก

นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนาฯ กล่าวว่า เชื่อว่านายไชยบูลย์คงจะไม่ตุกติกดึงเรื่อง น่าจะโอนที่ดินทั้งหมดได้ภายใน 7 วัน แต่อยากจะเตือนว่าเรื่องของศาสนาไม่ใช่เรื่องที่จะมาเล่นเหลี่ยมชั้นเชิงกัน และไม่อยากให้มองกันเฉพาะเรื่องที่ดินเพราะยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องติดตามด้วย เช่นเรื่องหลักธรรมที่มหาเถรฯ ต้องชี้ให้ชัดว่าสิ่งที่วัดพระธรรมกายสอนส่งผลกระทบเสียหายอย่างไรบ้าง ที่สำคัญสำนักงานเลขาธิการมหาเถรฯจะต้องประมวลข้อมูลว่า คำสอนของวัดพระธรรมกายมีความคลาดเคลื่อนอย่างไร

นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา กล่าวว่า ไม่ควรไปกังวลแต่เรื่องการโอนที่ดิน ต้องล้วงลึกลงไปว่าที่ดินแต่ละแปลงมีที่มาอย่างไร เป็นไปได้ว่าในช่วงแรกผู้บริจาคไม่สามารถโอนให้เป็นของวัดได้ในทันที เนื่องจากที่ดินบางแปลงมีจำนวนเกิน 50 ไร่ จึงต้องใส่ชื่อนายไชยบูลย์ไปก่อน แต่หากภายหลังรับไว้แล้วไม่ยอมโอนก็ถือว่าปาราชิก

"ส่วนกรณีที่ดิน จ.สุพรรณบุรี ที่เจ้าของระบุว่าบริจาคให้กับวัด แต่วัดกลับไปทำเป็นสัญญาซื้อขายยกให้มูลนิธิธรรมกายถือว่าผิดแน่นอน ไม่ต้องเข้ากฎนิคหกรรม ถือว่าปาราชิกทันที ผู้ที่กระทำย่อมรู้ว่าผิด และจะกลายเป็นพระปลอมทันที"

@ ระวัง "ไชยบูลย์" ไป "เผด็จ" มา

นายมาณพกล่าวต่อไปว่า อยากให้ติดตามในเรื่องการเผยแผ่ศาสนาที่ไม่ถูกต้อง เช่นที่ระบุว่านิพพานเป็นอัตตา การก่อสร้างศาสนสถานใหญ่โต และการเรี่ยไรด้วย เพราะเรื่องที่ดินอย่างเดียวไม่สามารถเอาผิดพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ เนื่องจากเรื่องที่ดินมีการระบุชื่อนายไชยบูลย์คนเดียว หากเป็นเรื่องการเผยแผ่ศาสนาไม่ถูกต้องจะรวมไปถึงพระทัตตชีโว เมื่อสึกนายไชยบูลย์อย่างเป็นทางการพระทัตตชีโวก็จะกลายเป็นเจ้าอาวาสแทนโดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้เรื่องที่ดินจบโดยเร็วกรมการศาสนา ไม่จำเป็นต้องรอให้วัดพระธรรมกายนำหลักฐานโฉนดที่ดินมาให้ แต่ควรส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลยังสำนักงานที่ดินจังหวัดทั้ง 16 จังหวัด ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และนำมาประกอบการพิจารณาเรื่องนิคหกรรม ขณะนี้กรมการศาสนาทำแต่ตั้งรับอย่างเดียวทำให้พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชไม่เด็ดขาดหรือถูกต้อง

@ ฟ้องถอดผ้าเหลือง 4 ข้อ

นายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังให้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานคำสอนของนายไชยบูลย์ ทั้งที่เป็นเทปบันทึก เอกสารเผยแพร่ เพื่อดำเนินการกล่าวโทษและร้องเรียนกับกรมการศาสนาในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ จากหลักฐานต่างๆมันใจว่าเพียงพอจะเอาผิดนายไชยบูลย์ได้โดยดิ้นไม่หลุดใน 4 กรณี คือ บิดเบือนพระธรรมวินัย, อวดอุตริมนุสธรรม, ฉ้อโกง และจากลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชที่ชี้ว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พ้นจากความเป็นพระแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าศาลสงฆ์จะรับฟังข้อกล่าวหา

"ส่วนที่มีการว่าผมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงนั้น คงไม่ถูก ที่ฟ้องไม่ใช่กรณีที่ดินอย่างเดียว แต่รวมถึงเรื่องพระธรรมคำสอนที่ถูกนายไชยบูลย์บิดเบือนจนเสียหาย พฤติกรรมอวดอุตริฯ เช่นพาญาติโยมขึ้นไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ ตรงนี้เรามีหลักฐานเป็นเทปบันทึกคำพูดชัดเจน ผมในฐานะยุวพุทธิกสมาคมต้องออกมาฟ้อง"

นอกจากนั้นจากการหารือกับนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการดำเนินการทางวินัยและการปกครองของสงฆ์ นักฎหมายแนะนำว่านอกเหนือการร้องเรียนตามกฎนิคหกรรมแล้ว น่าจะดำเนินการด้านการปกครองคณะสงฆ์ ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการด้วย เพราะในส่วนที่ 3 ของกฎดังกล่าวระบุว่าพระสังฆาธิการคือพระชั้นปกครองตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป ถ้าทำละเมิดจริยสามารถปลดจากตำแหน่งได้ ตามรูปการณ์สามารถนำมาฟ้องปลดธัมมชโยจากเจ้าอาวาสไปได้ก่อนในฐานะละเมิดจริยา

คำฟ้องทั้งหมดจะยื่นฟ้องในวันที่ 17 พ.ค. นี้ โดยมีทั้งฟ้องปาราชิกกับการฟ้องให้ปลดจากเจ้าอาวาสที่จะมีการระบุว่าธัมมชโยทุจริตต่อหน้าที่ นำเงินวัดมาซื้อที่ดิน ขัดคำสั่งอันชอบด้วยคณะสงฆ์ ประพฤติชั่วประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ หากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีพิจารณาตั้งกรรมการสอบสวนจะเข้าข่ายในข้อ 56 ที่ว่าพระสังฆาธิการรูปใดต้องอธิกรณ์ หรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องข้อหาว่าละเมิดจริยาร้ายแรงอยู่ระหว่างการสอบ สวน ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นหากอยู่ในตำแหน่งจะเกิดความเสียหายจะสั่งให้พักจากตำแหน่งหน้าที่ก็ทำได้

@ ฟ้องอาคมหมิ่นประมุขสงฆ์

ด้านพระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดีมหาจุฬาฯ กล่าวว่า เหตุผลของนายไชยบูลย์ที่ยังไม่ยอมคืนโฉนดทั้งหมดโดยระบุว่า ต้องไปถามเจ้าของที่ดินเดิมก่อนนั้น เป็นข้ออ้างที่มีเลศนัย เพราะการบริจาคนั้นเขาถวายเป็นสมบัติของวัด แต่ใส่ชื่อเจ้าของที่ดินเป็นของตนเอง แล้วทำไมต้องมารอถามเจ้าของที่ดินเดิมด้วย เรื่องนี้ทางบ้านเมืองโดยเฉพาะนายอาคมและอธิบดีกรมการศาสนาสามารถเอาผิดได้ทันที เพราะถือว่าขัดมติของมหาเถรฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎโดยไม่มีข้ออ้าง

"นายไชยบูลย์ต้องรีบโอนที่ดินคืนมาเป็นของวัด จะมาเล่นแง่อยู่ไม่ได้ ถือว่านายไชยบูลย์ต้องปาราชิกไปแล้วตอนนี้ไม่ใช่พระ เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกฝ่ายควรจะปลดจีวรนายไชยบูลย์เพื่อไม่ให้ศาสนาเสื่อมไปมากกว่านี้"

ส่วนบรรยากาศที่คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหารนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนาแน่นเพื่อให้การอารักขาสมเด็จพระสังฆราช และก็ยังมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาลงชื่อเพื่อถวายพระพรต่อสมเด็จพระสังฆราชอย่างต่อเนื่อง

ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราชกล่าวว่า หลังจากที่มีลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชออกมา ทั้งนายอาคมและนายพิภพ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นลายพระหัตถ์ของปลอม พร้อมทั้งระบุว่าเป็นการกระทำของศิษย์ห้องกระจก เรื่องนี้ถือว่าเป็นการหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชเป็นอย่างมาก ทั้งยังกล่าวหมิ่นประมาทศิษย์ห้องกระจกด้วย จึงได้ปรึกษากับฝ่ายกฎหมายเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 2 แล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังรอดูว่านายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชแล้ว จะมีรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร หลังจากนั้นจึงจะตัดสินใจดำเนินการในเรื่องคดีต่อไป

@ วัดฉาวเดี้ยงคนตาสว่าง

รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากสมเด็จพระสังฆราชทรงมีลายพระหัตถ์ระบุว่า นายไชยบูลย์พ้นจากความเป็นพระเพราะต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ส่งผลให้ญาติธรรมที่เคยมาร่วมกิจกรรมของวัดพระธรรมกายต่างหายหน้าไปเป็นจำนวนมาก เงินบริจาคที่ทางวัดเคยได้รับแต่ละครั้งที่จัดงานไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท เหลือเพียงไม่เท่าไหร่ ขณะที่รายจ่ายยังคงสูงอยู่ เพราะต้องดูแลเจ้าหน้าที่กว่า 1,000 คน อาทิ ยามรักษาความปลอดภัยกว่า 100 คน อีกทั้งยังมีอาสาสมัครกว่า 300 คนที่ต้องจ่ายเงินให้คนละ 2,500-3,000 บาทต่อเดือน รวมถึงค่าไฟฟ้าอีกเดือนละไม่ใช่น้อย

นอกจากนี้ ทางวัดยังมีภาระค่าอาหารทั้งในส่วนของพระภิกษุ-สามเณร และฆราวาส ซึ่งที่ผ่านมาพระของวัดพระธรรมกายไม่เคยมีการออกบิณฑบาตเลย อาหารที่ใช้เลี้ยงฆราวาสในวันที่มีงานบุญ และที่ใช้เลี้ยงพระ-เณร เป็นอาหารที่โรงทานปรุงขึ้นเองและสั่งจากภายนอก ซึ่งจุดนี้ต้องจ่ายวันละกว่า 60,000 บาท ในส่วนของการก่อ สร้างต่าง ๆ ขณะนี้ทางบริษัท คริสเตียนนี & เนลสัน ก็ได้ถอนกำลังคนและเครื่องจักรออกไปบ้างแล้ว เหลืออยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทางวัดไม่ยอมจ่ายค่าก่อสร้างให้ทางบริษัท

แหล่งข่าวในวัดพระธรรมกายเปิดเผยว่า แม้แต่พิธีทำบุญทอดผ้าป่าที่ทางวัดจะจัดขึ้นในวันวิสาขบูชา วันที่ 29 พ.ค.ที่จะถึง ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เงิน 13-15 ล้านบาท ขณะนี้เพิ่งจะได้ไม่ถึง 3 ล้านบาท โครงการสร้างหลังคาสภาธรรมกายสากลหลังใหม่ที่ทางวัดบอกบุญไว้ตารางเมตรละ 1,000 บาท ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ

"เรื่องนี้ทางวัดพยายามปิดเป็นความลับมาตลอด เวลานี้แม้แต่พระและเณรก็เริ่มย้ายวัดหนีไปเป็นจำนวนมากแล้ว จากเดิมที่เคยมีอยู่กว่า 800 รูป ขณะนี้เหลือไม่ถึง 500 รูป เวลาจัดงานบุญก็ต้องไปเกณฑ์จากวัดสาขา และหาวิธีดึงพระ-เณรจากวัดอื่นมาเสริม ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปเชื่อว่าคงไปไม่รอดแน่"

@ เลขาพิภพออกวิทยุธรรมกาย

ในวันเดียวกันนายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการพุทธมณฑล กล่าวผ่านรายการวิทยุ "ชิตังเม" ของวัดพระธรรมกายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ข่าวที่ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นความคิดเห็นมากกว่า เรื่องนี้เจ้าคณะตำบลต้องเข้าไปดำเนินการจัดการให้เหมือนกับพ่อปกครองลูก ในลักษณะของพระ โดยพระเองต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย 2 ฉบับคือศีล วินัยที่เป็นกฎประจำตัวพระ และประการที่ 2 คือกฎหมายบ้านเมือง ยกตัวอย่างเช่นพระทำผิดเรื่องเพศถ้าสืบสวนพบว่าเป็นจริงจับสึกได้ทันที ถือว่าสิ้นสุดในทางพระ พอจบก็ต้องมาว่าตามกฎหมายบ้านเมือง สืบสวนอีกว่าทำจริงหรือไม่ ถ้าเกิดสมยอมกันก็ฟ้องร้องไม่ได้ จะเห็นว่าแบ่งเป็น 2 ส่วน

"เช่นเดียวกับมหาเถรสมาคม ตัดสินวัดพระธรรมกาย ถ้ามองในแง่พระธรรมวินัย เมื่อดูแล้วข้อกล่าวหาบางกรณีไม่สามารถเอาผิดได้ มีแต่ข้อกล่าวหาแต่หลักฐานไม่ชัดเจน ถ้าบอกว่าผิดจริงในทางโลก ก็ต้องค้านว่ามีโจทก์หรือไม่ ไม่ใช่พระจะไปเป็นโจทก์ฟ้องร้อง ต้องมีผู้เสียหาย เช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้มีลูกไปฟ้องร้องกับตำรวจว่าแม่ถูกหลอกลวง ถามจริง ๆ ในแง่กฎหมายฟ้องได้หรือไม่ เพราะลูกไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่แม่เอาเงินไปให้ แม่เป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ลูก เงินจำนวนนั้นยกให้ลูกหรือยัง ก็ยังไม่ได้ให้ ตามกฎหมายฟ้องไม่ได้ ตำรวจก็รับแจ้งความตามหน้าที่ เมื่อดูหลักฐานแล้ว และส่งให้อัยการไปก็ฟ้องร้องไม่ได้ หลักฐานอ่อน"

นอกจากนั้นกรณีลายพระหัตถ์นายอำนาจกล่าวว่าที่มีข่าวนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาหมกเม็ด ไม่ยอมเสนอให้ที่ประชุมมหาเถรฯ มีการปฏิเสธออกมาแล้วว่าไม่ใช่ ได้ให้ไปหมดแล้ว และนายพิภพเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่อยากเป็นข่าว แต่นักข่าวก็อยากจะให้พูด ตนอยู่ในเหตุการณ์ตลอด เพราะเป็นเลขาฯ นักข่าวก็ลงว่าเดินหนีบ้าง วิ่งหนีบ้าง ไม่ใช่อย่างนั้น

"ข่าวที่ออกมามีพระผู้ใหญ่บางรูปห้ามไม่ให้เสนอลายพระหัตถ์เข้ามหาเถรฯ ก็กลายเป็นอธิบดีกับพระผู้ใหญ่รูปนั้นมองหน้ากันไม่ติด จริง ๆ แล้วไม่มีการพูดกัน กรมทำตามขั้นตอนทุกอย่าง และที่ว่าใช้เวลาพิจารณา 2 เดือน อยากถามว่าคดีปัจจุบันใช้เวลาเป็นปี แต่ครั้งนี้ใช้เวลาแค่นี้ แต่ที่มีข่าวเพราะไม่ทันใจ ต้องเข้าใจข้อมูลมีมาก ไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย ยังมีมาจากออสเตรเลีย และยุโรปด้วย การพิจารณาไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การจะชี้ชัดทำไม่ได้เพราะหลักฐานไม่ชัด อย่างกรณีสีกา 6 คน อยากถามว่ามีรูปถ่ายมายืนยันหรือไม่ ใครจะฟ้อง การที่กรมการศาสนาถูกวิจารณ์ว่าทำงานล่าช้า ขอยืนยันได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว พอชี้แจงไปว่าความจริงเป็นอย่างไร สื่อก็ยังลำดับเหตุการณ์อย่างนี้ให้เห็นอีก ถามว่ายุติธรรมหรือไม่ คนอ่านหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าที่ลงจริงหมด"

ภายหลังนายอำนาจกล่าวจบผู้ดำเนินรายการ "ชิตังเม" กล่าวกับผู้ฟังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการติดตามข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ จำเป็นต้องพิจารณา และใช้สติปัญญาให้รอบคอบ อย่าคิดว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ลงเป็นเรื่องจริงทั้งหมด นายอำนาจที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ยืนยันมีทั้งจริงและเท็จปนกัน ทางรายการ "ชิตังเม" ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ฟัง และจะยืนหยัดในเส้นทางของการสร้างบารมีต่อไป

@ บูชาสังฆราช ขจัดมารไชยบูลย์

ขณะเดียวกันพระพิศาลธรรมพาที (พระ พยอม กัลยาโณ) ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว เปิดเผยว่า ในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค. นี้ เวลา 09.00-14.00 น. ทางวัดสวนแก้วจะมีการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับการขจัดพระปลอมในพุทธศาสนา โดยเน้นประเด็นด้านกลยุทธŒเชิงรุกและคืบหน้าแบบหวังผลมากที่สุด ในวันและเวลาดังกล่าวจะเปิดเวทีให้พุทธศาสนิกชนได้แสดงความคิดอย่างเต็มที่ แต่ต้องอยู่ในประเด็นเพื่อกำจัดพระปลอมเท่านั้น ความคิดเห็นที่ได้จะนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์ขจัดพระปลอมต่อไป

ประเด็นที่จะเปิดให้แสดงความคิดเห็นมากเป็นพิเศษก็คือ กรณีพระเถรฯผู้ใหญ่ที่อุ้มซากศพของพระปลอมอันเป็นพฤติกรรมของเหล่าเดียรถีย์ หากพระเหล่านี้ได้ขึ้นเป็นพระสังฆราชในอนาคต ญาติโยมที่ไปกราบไหว้ก็ถือว่ากราบไหว้ เดียรถีย์ไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้ หากเดียรถีย์อุ้มศพเดียรถีย์ด้วยกันจะมาเป็นพระสังฆราชให้คนมากราบไหว้ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นประเด็นหลักที่จะนำมาแสดงความเห็นกัน

"ได้มีญาติโยมแสดงเจตนาให้อาตมาคิดคำขวัญสำหรับใช้รณรงค์กำจัดพระปลอม โดยคำ ขวัญที่ได้จะนำไปจัดทำสติกเกอร์เผยแพร่ เป็น การรุกไล่พระปลอมอีกทางหนึ่ง ส่วนตัวอย่างของคำขวัญพอเปิดเผยได้ อาทิ รักในหลวง ห่วงศาสนา บูชาสังฆราช ขจัดมารไชยบูลย์"

@ สันติอโศกร่วมไล่

นายรักษ์ รักพงษ์ หรืออดีตพระโพธิรักษ์ ผู้นำกลุ่มสันติอโศก เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มนักบวชของสันติอโศกได้มีการเคลื่อนไหวสนับสนุนคำประกาศ ไม่ยอมรับความเป็นพระของไชยบูลย์มีการรวบรวมรายชื่อจากสาขาต่าง ๆ ประมาณ 800 คนแล้ว ซึ่งส่วนตัวก็ร่วมลงชื่อด้วยเช่นกันถือเป็นการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิในฐานะประชาชน เพราะไม่เห็นด้วยกับคนที่มักจะอ้างว่าวางตัวเป็นกลางแล้วอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย ตีความได้ 2 ประการ คนโง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิดถูก กับคนกลัว ทั้งที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ก็ไม่กล้าเข้าข้างคนที่ถูกต้องเพราะเกรงว่าจะถูกทำร้าย ในภาวะเช่นนี้จึงต้องการรวมพลังกันสนับสนุนทุกฝ่าย

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายหันมาตรวจสอบ พระผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการมหาเถรฯ ในขณะนี้ อดีตพระโพธิรักษ์กล่าวว่า การที่สังคมวิพากษ์ วิจารณ์พระเถระจนเกินขีดความมีสัมมาคารวะนั้นต้องมองว่ามีความชอบมาพากลหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่ทุกอย่างจะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่นั้น เรื่องนี้สังคมจะตัดสินกันเอง สถาน การณ์ในขณะนี้สุกงอมจนใกล้ระเบิดอยู่แล้วเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามคงไม่วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของนายไชยบูลย์ในการถือครองที่ดินจำนวนมาก เพราะไม่ได้เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ แต่ถ้าจะพิจารณาจากข้อมูลตามข่าวสารต่าง ๆ ก็จะเห็นว่าพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชถือเป็นที่สุดแล้ว จ จุดตะเกียงหาสมเด็จเกี่ยว

ส่วนศูนย์เฉพาะกิจกรณีธัมมชโยจะจัดกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค.นี้เช่นกัน โดยจะมีพุทธบริษัทจุดตะเกียงเจ้าพายุไปชุมนุมกันที่วัดสระเกศ เพื่อแสดงให้พุทธมามกะรับทราบว่าขณะนี้พุทธจักรกำลังต้องมนต์ดำตกอยู่ในความมืดมิด ไม่มีองค์กรใดเลยที่จะนำพาศาสนาให้ออกไปพบกับแสงสว่างได้ กล่าวได้ว่าศาสนาพุทธยามมีภัยไม่สามารถพึ่งใครได้อีก นอกจากพุทธบริษัทเท่านั้นที่จะเป็นตัวจักรสำคัญในการแก้ไขกันเอง และยังเป็นการเตือนให้พระผู้ใหญ่ได้ตาสว่าง ไม่หลับหูหลับตาอุ้มพระปลอมอยู่อีก