page4

เดลินิวส์ 14/5/2542

แฉนิติกรรมเท็จ'ไชยบูลย์' ! แหกตาโอนที่ดิน เจ้าของที่ 5 แปลงลุยฟ้องคดีอาญา

สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถประทานช่อดอกไม้ พร้อมเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ กราบนมัสการสมเด็จพระสังฆราช เจ้าของโฉนด 5 แปลง"สาลี่" เมืองสุพรรณฯ ลุยฟ้องอาญาพระปลอม"ไชยบูลย์" แฉแจ้งทำนิติกรรมเท็จ ผิดกฎหมายชัด จะโอนให้วัด กลับมุมมิบทำสัญญาซื้อ-ขาย เข้ามูลนิธ ิที่ตัวเองมีอำนาจจัดการเด็ดขาด ปั้นตัวเลขที่ดิน 1.6 แสน ต่ำกว่าราคาประเมินอื้อ โกหกซ้ำเป็นที่เปล่าทั้งที่มีเรือนไทยหลังงาม 4 ล้านบริจาคให้ด้วย ถ้าถึงขั้นแจ้งความตำรวจจับสึกได้ทันที กรมศาสนาถูกแหกตาซ้ำซากนัดโอนที่ดินปรากฎเจียด มาให้แค่ 100 ไร่จาก 1,700 ไร่เจอปัญหาใหญ่ ต้องเสียภาษีอื้อซ่าฐานเอาเงินบริจาคไปซื้อใส่ชื่อตัวประจานชัด ๆ ปาราชิก "เสฐียรพงษ์" ระบุชาวพุทธอาจถูกหลอก มติมหาเถรฯ ไม่มีเรื่องนิคหกรรม แต่ถูกบิดข้อมูลยื้อจัดการโล้นห่มเหลือง อนาถพฤติกรรมวัดฉาวคุ้มกันแน่นหนาแต่กลับวิ่งโร่แจ้งความถูกวางระเบิด 7 จุด แถมส่งคน แทรกซึมประชุมสงฆ์ปทุมธานี

ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาเวลา 11.20 น. เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง 4 นาย อัญเชิญแจกัน ดอกบัวสีชมพู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ประทานเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช และในเวลา 19.00 น.สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์มาที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศ และสมเด็จพระสังฆราชทรงลงไปรับเสด็จ

ฟ้องที่ดินจัดการพระปลอม

ผู้สื่อข่าว รายงานว่าสำหรับการจัดการกับพระปลอมนายไชยบูลย์ สุทธิผล หรืออดีตพระธัมมชโย ที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงมีลายพระหัตถ์ วินิจฉัยแล้วว่าปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ในฐานะลักทรัพย์นำเงินที่ได้จากการบริจาคไปซื้อที่ดิน แม้กระบวนการทางสงฆ ์ในการปลดผ้าเหลืองออกจากร่างจะต้องใช้เวลาและต้องผ่านกฎนิคหกรรม รวมถึงกฎมหาเถรว่าด้วย แต่ได้มีความพยายาม ที่จะใช้อำนาจทางโลก ยื่นฟ้องนายไชยบูลย์ในคดีอาญา และให้ใช้ในกระบวนการยุติธรรมจับนายไชยบูลย์ถอดผ้าเหลืองไปก่อน โดยเฉพาะ ตามกฎหมายพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 มาตรา 29 ให้อำนาจตำรวจจับสึกได้หากถูกแจ้งความฟ้องร้องคดีอาญา

การยื่นฟ้องคดีอาญา นายไชยบูลย์ สภาทนายความรวบรวมหลักฐานสำคัญคือการซื้อ-ขายที่ดินในจ.สุพรรณบุรี จำนวน 5 แปลง ที่ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ของนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี อายุ 62 ปี เป็นโฉนดเลขที่20377, 20379, 20380,20381,20382 มีเนื้อที่รวมกัน 2 ไร่ 3 งาน 84.5 ตารางวา โดยนางสาลี ต้องการบริจาคให้วัดพระธรรมกาย ปรากฎว่าได้มีการนำที่ดินทั้งหมดไปทำสัญญาซื้อ-ขายกันในราคา160,000 แสนบาท เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2539 มีมูลนิธิธรรมกายเป็นผู้ซื้อ ทั้งที่ราคาประเมินสูงถึง 2,818,500 บาท ผิดวัตถุประสงค์ของนางสาลี ดังที่"เดลินิวส์" ได้ติดตามหลักฐาน มานำเสนออย่างต่อเนื่อง

แฉจะๆเจอตุ๋น

ในวันเดียวกันนี้ นางสาลีได้มาที่สภาทนายความ เพื่อมอบหลักฐาน ให้ปากคำ รวมถึงพาพยานที่เป็นญาติพี่น้องมาด้วยจำนวน 2 คน โดยเดินทาง มาพบกับนายอุดม ศุภสินธิ์ คณะกรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชน สภาทนายความ เพื่อมอบหลักฐาน ยืนยันในการฟ้องร้อง และต้องการเรียกที่ดินคืน จากที่บริจาคไปจำนวน 3 ไร่ แต่กลับไปใช้วผิดวัตถุประสงค์

ทางด้านนายอุดม เปิดเผยว่าเดิมนางสาลี่เป็นผู้หนึ่งที่เข้าปฏิบัติธรรมในวัดพระธรรมกาย ต่อมา มีเจ้าหน้าที่วัด เป็นผู้ชายพยายามพูดจาโน้มน้าว ให้บริจาคที่ดินให้กับวัด เนื่องจากทราบว่ามีที่ดินอยู่ที่จ.สุพรรณบุรี โดยอ้างว่า จะนำไปก่อสร้าง เป็นที่จอดรถ สำหรับผู้ที่มาสักการะ อนุสรณ์ของหลวงพ่อสด จันทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งนางสาลี่แสดงความต้องการบริจาค 1 ไร่ แต่ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ได้รบเร้า ต้องการให้บริจาค เพิ่มอีก 2 ไร่ โดยอ้างว่าไม่พอต่อการใช้ประโยชน์ ขณะเดียวกันมีหนังสือแสดงคำมั่นสัญญาจะหาที่มาชดเชยให้ 2ไร่

แจ้งนิติกรรมเท็จ"อม"บ้าน

อย่างไรก็ตามปรากฎว่าวัดกลับไปทำเป็นสัญญาซื้อ-ขายและมอบให้มูลนิธิที่มีนายไชยบูลย์เป็นประธาน โดยระบุว่าซื้อ-ขายราคา 1.6 แสนบาท ขณะที่ราคา ประเมินสูงถึงไร่ละ 2 ล้านบาท นอกจากนั้นที่ดินของนางสาลี่ยังมีสิ่งปลูกสร้างเป็นเรือนไทยราคา 4 ล้านบาทอยู่ด้วย แต่สัญญาซื้อ-ขาย กลับบอกว่า เป็นที่ดินเปล่า นางสาลี่ลงนามโดยไม่รู้ว่าเป็นสัญญาซื้อ-ขาย ทั้งที่เจตนายกที่ดินให้วัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อทางญาติพี่น้อง นางสาลี่รู้ข่าววัดพระธรรมกาย จึงให้นางสาลี่นำเอกสารที่ดินมาตรวจสอบ ก็พบว่าที่ดินบริจาคกลับเป็นที่ดินที่นำไปซื้อ-ขาย โดยมีการมอบให ้นายปรัชญา เป็นทนายความมอบอำนาจของมูลนิธิธรรมกาย โดยได้มีหนังสือจากคณะกรรมการ 13 คน มอบอำนาจ ให้นายปรัชญาเรียบร้อย อาทินายไชยบูลย์,พระภาวนาวิริยะคุณ(เผด็จ ทัตตชีโว) พระสุวิทย์ สุวิชชาโภ,พระสุธรรม สุธัมโม ,พระมหาชาติชาย ตักสรโน,พระพิพัฒน์ ฐิตสุทโธ,พระภูเบศ ญาณภิโญ,พระมหาสุวิทย์ วิชเชสโก,นายสถาพร สุนทรวิทยา,น.ส.วิชชญา ไตรวิเชียร,น.ส.ศิริมาศ พัฒนศรี,ดร.ศิริพร ศิริขวัญชัย,ร.ท.หญิงเครือวัลย์ แนบชิด

ผู้สื่อข่าว รายงานด้วยว่าในสัญญาซื้อ-ขายที่ดินระบุเงินซื้อขายไว้ 1.6 แสนบาท แต่นางสาลี่ไม่ได้รับเงินด้วย และที่ที่วัดโอนมาชดเชยให้ราคาเพียง 5 แสนบาทเท่านั้น

นอกจากนั้น จากการตรวจสอบหลักฐานจากกรมที่ดินพบว่านางสาลี่โอนที่ดินไป 2 ครั้งจริงๆ โดยครั้งแรกทำสัญญา 1 ไร่ 8.5 ตารางวา ราคาประเมิน ตารางวาละ 5 พันบาทเป็นเงิน 2,042,500 บาท และครั้งที่ 2 โอนอีก 1 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ราคาประเมินตารางวาละ 1 พันบาท เป็นเงิน 776,000 บาท หากรวมทั้ง 2 ครั้งจะเท่ากับเป็นที่ดิน 2 ไร่ 3งาน 84.5 ตารางวา

ไชยบูลย์โอนที่แค่100ไร่

ที่กรมการศาสนา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวัดพระธรรมกายนัดกับนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา จะมาดำเนินการ เรื่องการโอนที่ดิน ของนายไชยบูลย์ ให้วัดโดยนัดเวลา 11.00 น. แต่ต่อมาวัดได้เลื่อนเป็น14.00น. โดยอ้างว่ารวบรวมเอกสารต่าง ๆ ไม่พร้อม และระหว่างรอ ได้มีกลุ่มชาวพุทธ ย่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และนักธุรกิจย่านวรจักรนำกระเช้าดอกไม้ให้นายพิภพให้กำลังใจในการทำงาน

จนกระทั่ง ถึงเวลานัดตัวแทนวัด 11 คนเดินทางมาพร้อมหนังสือมอบอำนาจของนายไชยบูลย์ รวมถึงเอสการต่าง ๆ เช่นใบสุทธิของพระ ตราตั้งเจ้าอาวาส และโฉนดที่ดินฉบับจริง โดยหารือกับนายพิภพ 30 นาที หลังจากนั้นนายพิภพแถลงว่าวัดยังขาดเอกสารบางอย่าง แต่จะให้ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาเป็นประธานรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน รวมถึงหากจะมี การร้องเรียนเรื่องที่ดิน ขอให้ประชาชนแจ้งข้อมูลมาได้ เพื่อส่งไปให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีดำเนินการต่อไป ขณะนี้ศูนย์รวบรวมข้อมูล จากประชาชนกรณี วัดพระธรรมกาย มีผู้ร้องเรียนอีก 17 ราย รวม 35 ราย และคาดว่าเมื่อถึงวันที่ 20 พ.ค.น่าจะมีถึง 100 ราย และจะมีการประมวลข้อมูลอย่างชัดเจน โดยนายพิภพ กล่าวว่านายปัญจะ เกสรทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้โทรศัพท์มากำชับด้วย

ด้านนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ผู้แทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายกล่าวว่าวันนี้มีการมอบโฉนดเพียง 5 จังหวัด เพราะที่ดินมีมาก และทุกแปลง มีผู้บริจาค ไม่ใช่ที่ดินของวัด ต้องสอบถามไปยังผู้บริจาคก่อน

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00น.นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา และนางจุฬาลักษณ์ บุญญากร ผู้อำนวยการ กองศาสนสมบัติ เดินทางมา ยังกรมที่ดินเพื่อเป็นตัวแทนมอบที่ดินของนายไชยบูลย์ให้วัดพระธรรมกาย ปรากฎว่าที่ดินที่นายไชยบูลย์นำมามอบให้มีแค่ 100 ไร่เศษ ใน 5 จังหวัดคือที่นนทบุรี,ปทุมธานี,ตราด,ชลบุรีและจันทบุรี จากจำนวนที่ดินที่นายไชยบูลย์ใช้ชื่อตัวเองครอบครองทั้สิ้น 79 แปลงใน 16 จังหวัด เนื้อที่ 1,747 ไร่

สำหรับ ที่ดินที่โอนได้แก่น.ส.3ก.เลขที่ 651 ต.มากไผ่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี 21 ไร่ 23 ตารางวา ,โฉนดเลจที่ 1045 ต.หนองรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี 5 ไร่ 20 ตารางวา ,โฉนดเลขที่ 17927 ต.ไทรใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนบุรี 2 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา,โฉนดเลขที่ 15502 ต.บึงบอนใต้ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี 1 ไร่,น.ส.3ก. เลขที่ 163 ต.แหลมกลับ อ.เมือง จ.ตราด 62 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา และน.ส.3ก.เลขที่ 164 จำนวน 47 ไร่อยู่ติดกัน

ยื้อกลัวเสียภาษีประจานปาราชิก

ทางด้านร.ต.สอาด ชมบุญ รองอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้รับเรื่องการโอนที่ดินกล่าวว่ากรมจะดำเนินการตามคำขอ โดยจะเสียค่าธรรมเนียม ในฐานะตัวแทน ตัวการแปลงละ 50 บาท และต้องนำโฉนดที่ดินมาด้วยใช้เวลาการโอน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่มีโฉนดมาต้องออกใบแทน และออกประกาศใน 30 วัน

ขั้นตอนหลังจากนี้ คือการประเมินราคาที่ดินและเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติ และส่งให้สำนักงานที่ดินแต่ละจังหวัดดำเนินการ แต่กรมที่ดิน ไม่มีอำนาจไปตรวจสอบว่ามีการนำเงินบริจาคไปซื้อหรือไม่ เพีงแค่ต้องออกใบเสร็จรับรองเมื่อโอนที่ครบ

อย่างไรก็ตาม หากในโฉนดที่ดินระบุว่าธัมมชโยเป็นผู้ซื้อ ก็อาจพิจารณาได้ว่าเป็นการครอบครองแทนวัด และต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยหากโอนที่ดิน ไม่เกิน 50 ไร่ จะเสียร้อยละ 0.1 แต่ถ้าสูงกว่านี้ต้องเสียร้อยละ 2 ของราคาประเมินและต้องเสียภาษีที่ดินด้วย

ผู้สื่อข่าว รายงานว่าขณะนี้ปัญหาการโอนที่ดินของนายไชยบูลย์เกิดขึ้นแล้ว เพราะการโอน ที่ดินครั้งนี้ นายไชยบูลย์ต้องเสียภาษี ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย เนื่องจาก พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น รัษฎากร(ฉบับที่ 326) พงศ.�2541 ระบุว่าการโอนที่ดินให้วัดจะได้รับการยกเว้นภาษีก็ต่อเมื่อโอนที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ แต่ที่บางจังหวัด ของนายไชยบูลย์มีที่ดิน นับร้อยไร่ที่ต้องโอนให้วัด อาทิที่เพชรบูรณ์มี 789 ไร่,ที่พิจิตร 158 ไร่

ที่สำคัญ ที่ดินเหล่าน ี้ใช้ชื่อนายไชยบูลย์สมัยเป็นพระไชยบูลย์เข้าไปเป็นผู้ซื้อ และต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วยในอัตรา 2% ของราคาประเมิน และเสียภาษีที่ดิน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นายไชยบูลย์ยังไม่ยอมโอนที่ดินเหล่านี้เพราะกลัวต้องเสียภาษี และเมื่อเสียภาษี จะเป็นการยืนยันว่า นายไชยบูลย ์เอาเงินชาวบ้านไปซื้อ

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า สำหรับบรรยากาศในศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์วัดพระธรรมกายชั้น 3 กรมการศาสนา มีโทรศัพท์เข้ามา แต่ไม่มีใคร ยอมเป็นโจทก์ฟ้องร้อง และมีสาวกธรรมกายโทรฯเข้ามาด้วย

เลือกใครพระสังฆราช-ไชยบูลย์

พระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี กล่าวว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ชาวพุทธทุกคน ต้องตัดสินใจว่า จะเลือกสมเด็จพระสังฆราช หรือจะเลือกไชยบูลย์ ซึ่งถ้าเปรียบไปแล้วสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่เป็นหลักชัยแห่งพระพุทธศาสนา ทรงทำนุบำรุง จรรโลงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองในทางที่ถูกต้องได้ดีกว่าไชยบูลย์เยอะ ไชยบูลย์นั้นเป็นแค่กิ่งใบ ใครไปหลง งมงายเกาะเกี่ยวอยู่ ระวังจะตกลงมาตาย

หากชาวพุทธ เลือกยืนอยู่ข้างสมเด็จพระสังฆราชก็ขอให้ช่วยกันแสดงพลังออกมาในทางสันติ อย่าวู่วามบ้าคลั่ง แค่ทุกคน ช่วยกันติดป้าย หน้าบ้านว่า "ไม่รับไชยบูลย์-เทิดทูน สมเด็จพระสังฆราช" ก็เป็นการแสดงพลังได้ทางหนึ่ง หากชาวพุทธ ทั่วประเทศทุกค นร่วมแรงร่วมใจกัน พลังแห่งชาวพุทธ ที่แท้จริงที่ทุกคนแสดงออกมา ก็จะเป็นที่ประจักษ์เองว่า มีมากมายกว่า พลังที่บางกลุ่มบางลัทธิที่ผิดเพี้ยนเชื่อว่าตนเองมีหลายเท่าตัวนัก

พระพยอม ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ เคยระบุว่ามติมหาเถรฯที่ไม่เด็ดขาด จะยิ่งทำให้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ยืดเยื้อ และยุ่งหนักกว่าเดิมว่า ตอนนี้ ก็เริ่มส่งผล บ้างแล้ว ดีๆไม่ดีพระชั้นราชจะลากพระชั้นธรรมร่วงตามไปด้วย เพราะชาวพุทธ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ อย่างเคลือบแคลงกันแล้วว่า อาจจะมีลาภสักการะ เข้ามีเกี่ยวข้อง เรื่องถึงไม่จบเสียที อาจจะกลัวถูกแฉ หากมีการ จัดการไชยบูลย์ อาจจะหวังประโยชน์จากโครงการใหญ่ๆที่วัดพระธรรมกายมีอยู่เป็นประจำ หรืออาจหวังพึ่ง ทุนรอนของ วัดพระธรรมกายในการขยับสมณศักดิ์ไปถึงจุดที่หมายปองอยู่ให้ง่ายขึ้น

สำหรับบรรดกา สาวกที่เป็นนักธุรกิจใหญ่โตหรือที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ การที่ยังอุ้มไชยบูลย์ ยังเข้าข้างกันอย ู่ก็อาจเป็นเพราะ กลัวจะเสียหน้าหากไชยบูลย์ ถูกจัดการ คนจะว่าเอาได้ว่าไปหลงงมงายอยู่ตั้งนาน ก็อยากจะบอกว่า อย่ากลัวเสียหน้าเลย กลัวเสียหลักชัยศาสนา

กลัวเสียพระพุทธศาสนา ไปจะดีกว่า

"มีคนโทรศัพท์ มาหาอาตมาร้องห่มร้องไห้ว่าเจ็บใจนัก ต่อไปนี้ จะเลิกใช้สินค้าเลิกใช้บริการ ของบางบริษัท ที่ประกาศตัวชัดเจน ว่าอยู่ข้างไชยบูลย์โดยไม่สนสมเด็จพระสังฆราช"

รถ"พระธรรมวโรดม"ถูกต้อง

ส่วนกรณ ีที่มีการตรวจสอบทะเบียนรถยนต์นั่งของกรรมการมหาเถรฯ เนื่องจากมีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า กรรมการมหาเถรฯ หลายรูปได้รับรถยนต์มาจากวัดพระธรรมกายถวายให้ โดยล่าสุด ได้มีการระบุว่า ทะเบียนรถหมายเลข ทะเบียน 7 ฐ 6936 กรุงเทพมหานครของพระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรรมการมหาเถรฯ เป็นทะเบียนรถของนางภาวดี ตลิ่งจิตร และได้มีการ ยกเลิกทะเบียนหมายเลข ดังกล่าวนี้ไปตั้งแต ่เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2540 นั้น พระธรรมวโรดม เปิดเผยว่า รถยนต์คันดังกล่าวนี้ไม่ได้มีการสวมทะเบียนแต่อย่างใด รถคันนี้ได้ซื้อมา และจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2537 โดยลำดับที่เจ้าของรถก็ระบุว่า เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ คนแรกด้วย ที่ผ่านมาจึงอาจจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เรื่องน ี้สามารถตรวจสอบ กับเจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางบกได้

"เรื่องนี้อาตมา ไม่ได้ถือเป็นประเด็นเลย และไม่ได้มีความขุ่นข้องใจ อีกไม่นานก็ตายกันหมดแล้ว เกิด แก่ เจ็บตาย เป็นธรรมดา แต่ที่อาตมาห่วง คือพระศาสนาที่ขณะนี้มีปัญหา และเราเป็นกรรมการมหาเถรฯจะต้องทำอะไรถูกต้อง "

นอกจากนั้น จากการตรวจสอบอีกครั้งของ "เดลินิวส์"พบว่าเลขทะเบียนรถ 7ฐ 6936 ของพระธรรมวโรดม เป็นรถทะเบียนถูกต้อง

เสนอสังคายนามหาเถรฯ

น.พ.ประเวศ วะสี นักวิชาการ กล่าวถึง ปัญหาวัดพระธรรมกายที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นการแสดง ให้เห็นถึงความอ่อนแอ ของพุทธสาสนา สมควรที่สังคมจะต้องเข้ามาช่วยกันดูแลและเริ่มสังคายนาทั้งหมด เนื่องจากศาสนา กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต อันเนื่องมาจากลัทธิบริโภคนิยม โดยมีประเด็นที่ต้องสังคายนาอยู่ 5 ประ เด็นคือ 1.หลักธรรม ที่จะต้องทำให้ถูกต้อง 2.ต้องสังคายนาการรับคนเข้าบวชเรียน บางแห่งรับโจรก็มี การไม่พิถีพิถันว่าใครเหมาะไม่เหมาะ 3.การสังคายนา ในเรื่องการศึกษาของพระ เพราะหลักสำคัญของพุทธศาสนาคือการศึกษาไม่ใช่มาบวชเฉยๆ ดังนั้นควรจัดการ เรื่องการศึกษาใหม่ 4.ต้องสังคายนาการลงโทษพระที่ผิดวินัย และ 5.จะต้องปฏิรูป องค์กรการจัดการและการปกครองสงฆ์ เพราะที่ผ่านมา ใช้ระบบราชการ เข้าไปทำงานจึงก่อให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจไปไว้ที่พระเถระ ซึ่งแต่ละองค์ก็มีอายุมากแล้วอาจสนใจโลกน้อยลง

"เรื่องนี้ ยากพอสมควร จะต้องมีการเชื่อมโยงกันระหว่างสงฆ์ พระสังฆราช รัฐบาล และสำนักพระราชวัง ทั้งนี้บุคคล ที่เหมาะสม ที่จะเข้ามาทำเรื่องนี้คือ พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้และบารมีมาก มีคนเชื่อถือ น่าจะ ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ฝ่ายฆราวาสเองก็ต้องให้ความร่วมมือ ไม่ใช่ถือคติว่าชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์

ส่งสายสืบประชุมสงฆ์ปทุมฯ

ที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งมีการคุ้มกันแน่นหนา ห้ามคนเข้าออก ก็กลับวิ่งโร่มาแจ้งความว่าถูกขู่วางระเบิด เมื่อเวลา 14.00 น. ตำรวจ สภ.อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รับแจ้งเหตุจากมูลนิธิวัดพระธรรมกาย มีคนโทรศัพท์ มาขู่ว่า ได้มีการวางระเบิดไว้ ทั้งหมด 3 จุดอยู่ในบริเวณสภาธรรมกายสากลและที่มหาธรรมกายเจดีย์อีก 4 จุด ซึ่งระบุว่าจะระเบิดขึ้น เวลา 19.00 น.กำลังเจ้าหน้าที่ชุดปราบจลาจลจำนวน 150 นาย เจ้าหน้าท ี่พลาธิการตำรวจหน่วย เก็บกู้วัตถุระเบิด 1 ชุด สุนัขตำรวจ 2 ตัว พร้อมด้วยผู้ควบคุม 4 นาย ได้เดินทาง เข้าไปตรวจค้นหาวัตถุระเบิด ตามที่มีผผู้โทรศัพท์ขู่ ถึงเวลา 18.30 น.ก็ไม่ปรากฏว่าจะพบวัตถุระเบิด

ส่วนที่ศาลา หอประชุมวัดมูลจินดา อ.ธัญบุรี จ. ปทุมธานี ได้มีการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ มีพระสงฆ์เข้าร่วมประชุมจำนวน 40 รูป โดยมีพระสุเมธาภรณ์เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน ซึ่งพระสงฆ์ หลายรูปได้มีการพูดถึงกรณีวัดพระธรรมกายว่า จะนำเข้าที่ประชุมด้วย แต่ปรากฏว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิธรรมกาย ได้มาเฝ้าสังเกตการณ์พร้อมอัดเทป จึงทำให้การประชุม ของพระสังฆาธิการ ไม่กล้าที่จะนำเรื่อง ของวัดพระธรรมกายเข้าที่ประชุม พระสงฆ์ทุกรูป ต่างปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล เกี่ยวกับ วัดพระธรรมกาย

พระสุเมธาภรณ์ ปฏิเสธไม่มีข่าวจะให้พร้อมกับโบกมือห้ามถ่ายภาพ และกล่าวว่า ตนไม่เหมือนคนอื่น บอกว่า ห้ามถ่ายภาพ วัดพระธรรมกายเป็นเรื่องสงฆ์ ฝ่ายสงฆ์จะจัดการกันเอง ไม่ต้องมายุ่ง

อย่างไรก็ตาม พระสุเมธาภรณ์ กล่าวภายหลังว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครมาฟ้องร้องกล่าวหาธัมมชโยเลย ส่วนข้อเสนอ ที่ให้สึกธัมมชโย ก่อนเข้ากระบวนการนิคหกรรมนั้น จะพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อมีการกล่าวโทษให้จบก่อน จากนั้น จะพิจารณา ตามขั้นตอน ไม่หนักใจอะไรเลย ต้องรอให้เริ่มกระบวนการเสียก่อน ตอนนี้มหาเถรฯ ก็ยังทำงานอย ู่และไม่ได้เสื่อมศรัทธา แต่สื่อมวลชนพากันวิจารณ์ไปเอง

นิคหกรรมไชยบูลย์มวยล้ม!! \

ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการจัดสัมนาเรื่อง "ถึงเวลาปฏิรูป การปกครอง คณะสงฆ์ไทย : บทเรียนจากกรณีธัมมชโย" พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตฺโต) รองอธิการบดี มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยกล่าวว่า ปัญหาที่ ทวีความรุนแรง อยู่ในขณะนี้เกิดจากองค์ประกอบ หลายกรณีคือความอ่อนแอ ขาดความเข้าใจพุทธศาสนา ,การปกครองคณะสงฆ์หละหลวม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ทำให้เกิดการรวมอำนาจ แถมกำหนดให้พระผู้ใหญ่อายุมากมาเป็นกรรมการมหาเถรฯ ไม่ทันยุค มหาเถรฯ ส่วนใหญ่ กิดในยุคเกษตรกรรม แต่โลกปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ที่สำคัญคณะผู้ปกครองต่างๆ ไม่มีองค์กรรองรับ ดังนั้นการปกครองคณะสงฆ์จึงถึงเวลาต้องปฏิรูป โดยให้ยึดแก่นพระธรรมวินัยเป็นหลัก

"กรณีธรรมกาย ควรใช้ศาลระดับจังหวัดตัดสินได้เลย ไม่ต้องส่งมายังมหาเถรฯ และถ้ามีการ ปฏิรูปองค์กรสงฆ์กรณีนี้ ก็ควรจะให้ศาลระดับจังหวัดพิจารณาก่อน เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วค่อยถึงขั้นอุทธรณ์ ฎีกา โดยใช้พระระดับสูง ขึ้นมาพิจารณา"

อย่างไรก็ตาม พระศรีปริยัติโมลีกล่าวว่า กรณีธรรมกายนั้นหากใช้กฎนิคหกรรมเชื่อว่าจะเป็นมวยล้ม ความจริง ยังมีขบวนการอีกหลายอย่าง ที่มหาเถรฯจะนำมาใช้ได้เลย เช่นการถอดถอนจากตำแหน่งพระสังฆาธิการ หรือแม้แต่รัฐบาลเอง ก็สามารถถอดถอนสมณศักดิ์เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้

พระชั้น"ธรรม"ยอดนักวิ่ง

ด้านนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตกล่าวว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีศาลสงฆ์ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่มีลักษณะบิดเบี้ยว ในอดีตเคยใช้พระธรรมวินัยปกครองสงฆ์กันมาอย่างต่อเนื่องและก็ได้ผลมาตลอด กรณีไชยบูลย์ ผิดนี้แน่นอน เป็นการยักยอกทรัพย์ตามพระวินิจฉัย แต่กลับเอากฎหมายสงฆ์มาใช้ โดยเฉพาะกฎนิคหกรรม เป็นการตามรอย กรณียันตระ หากทำอย่างนี้จะไม่มีวันจบง่ายๆ เพราะต้องพิจารณากันถึง 3 ศาล

"ถ้าใช้หลักพระธรรมวินัย การตัดสินเรื่องนี้จะสรุปได้ทันทีทันใด ขอย้ำว่าพ.ร.บ. สงฆ์ไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา น่าจะยกเลิกทิ้ง คณะสงฆ์เองก็รู้อยู่เต็มอกว่าใช้กฎนิคหกรรมแล้วจะล่าช้า จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงนำวิธีการนี้มาใช้ ถ้าพูดไป ก็เหมือนทำตามลายพระหัตถ์เหมือนกัน แต่เป็นการทำที่ล่าช้า"

นายเสฐียรพงษ์กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวไม่สนับสนุนกฎหมายสงฆ์ที่จะออกมาใหม่เลย ยืนยันว่า พระธรรมวินัย อย่างเดียวก็ปกครองสงฆ์ได้ กฎหมายสงฆ์นั้นคนอื่นเขียนให้พระใช้ การเขียนก็บ่งบอกว่าไม่เข้าใจลักษณะของสงฆ์ อย่างกรณีเขียนให้พระ ชั้นสมเด็จเป็นกรรมการมหาเถรฯโดยตำแหน่ง โดยความเป็นจริงกว่า จะไต่เต้ามาถึงชั้นนี้ ก็แก่มากแล้ว ต้องประคองกันมาประชุม ชั้นธรรมกว่าจะได้ก็แก่เช่นกัน ยกเว้นบางวัดที่เป็นนักวิ่ง จึงเป็นพระชั้นธรรม ที่หนุ่มที่สุด หากจะมีการ แก้กฎหมายก็ควรแก้ให ้กรรมการมหาเถรฯ มาจากพระหนุ่ม อย่างพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย

กรณีปัญหาธรรมกาย ที่เกิดขึ้นนี้ชี้ว่าพระพุทธศาสนาอ่อนแอมาก ได้เวลาแล้วที่จะต้องยกเครื่องพระพุทธศาสนา ทำพระพุทธศาสนา ให้บริสุทธิ์

พระบัญชา สังฆราชสึกได้

นายเสฐียรพงษ ์ยังได้กล่าวถึงทางออกของวิกฤติที่เกิดขึ้นว่า 1.มหาเถรฯต้องไม่มองด้านเดียว การมองแต่นิคหกรรม ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 2.สมเด็จสังฆราชสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 8 ของพ.ร.บ.สงฆ์ได้ ซึ่งได้ตรวจดูแล้ว เห็นว่าสามารถ ออกเป็นพระบัญชาได้ ยืนยันว่าทำได้แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่าทำไม่ได้ จึงเห็นควรจะเลิก นำกฎนิคหกรรม มาใช้กับกรณีธรรมกาย 3.ฝ่ายบ้านเมืองต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ดำเนินการจับกุมพระยักยอกทรัพย์ เพราะหลักฐาน ชัดแจ้งแล้ว สามารถหาได้จากกรรมาธิการศาสนาฯ โดยเฉพาะโฉนดที่ดิน ที่ระบุชัดว่าเป็นการซื้อขายไม่ใช่ถวายให้อย่างเดียว

"ในพระนิจฉัย ยังได้ระบุถึงการลบหลู่พระธรรมวินัย บิดเบือนให้มีการปรับเปลี่ยนพระไตรปิฎก เท่ากับนับถือ ศาสนาอื่น ไม่ใช่พุทธเถรวาท รัฐบาลต้องกำจัดเดียรถีย์ออกไป ถ้าเห็นว่า กระทบต่อประเทศชาติ ก็มีกฎหมาย ให้ทำได้โดยใช้อาญาบ้านเมือง หากแก้ปัญหาธรรมกายได้ความอึมครึมจะอยู่คู่พระพุทธศานาต่อไป"

นอกจากนี้ นายเสฐียรพงษ์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ไม่เคยปรากฏ มาก่อนว่าสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระวินิจฉัยออกมา ขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่มีการปฏิบัติตาม กลับไปตีความขัดแย้งกับพระวินิจฉัย และไม่เคยมีเหตุการณ์ ที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถวายอารักขาสมเด็จพระสังฆราชขนาดนี้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ในสังคม ที่ผ่านมารัฐบาลอ้างแต่ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแล้วก็ไม่ทำอะไร ถ้าทิ้งไว้ทุกอย่าง จะพังกันหมด เรื่องทางสงฆ์นั้นไม่มีสิ่งใดสูงกว่าสมเด็จพระสังฆราช รัฐบาลมัวแต่ ไปอ้างว่าพระวินิจฉัย ของพระองค์เป็นเพียงพระราชดำริ ในเมื่อทรงวินิจฉัยออกมาเป็นลายพระหัตถ์ใน 2 ประเด็นคือ บิดเบือนพระธรรมวินัย เรื่องนี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองสามารถจัดการเอาคนที่คัดค้านพระธรรมวินัยออกจากศาสนาได้ และเรื่องการยักยอกทรัพย์สิน ถือว่าธัมมชโยขาดจากความเป็นพระตั้งแต่คิด ฉะนั้นปัญหา จะสึกหรือไม่อยู่ ที่รัฐบาลจะจริงจังหรือไม่

มติมหาเถรฯ ที่ออกมาก็ไม่ชัดเจน บอกว่าสนองพระดำริทุกอย่างแสดงว่ายอมรับว่ามีการบิดเบือนพระธรรมวินัย ยอมรับว่านายไชยบูลย์ ไม่ใช่พระแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก แต่กลับไม่มีคำสั่งอะไรออกมา อีกทั้ง การที่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งต้องสนองพระวินิจฉัยและปฏิบัติตาม แต่กลับไม่ทำ ถือว่าละเลยหน้าที่มีความผิด อธิบดีกรมการศาสนา ก็แถลงไม่ชัด และที่ระบุว่าต้องใช้กฎนิคหกรรมนั้นส่วนราชการพูดกันเอง ไม่รู้ว่า เป็นมติหาเถรฯ หรือไม่ รายงานการประชุมมหาเถรฯไม่มีใครนำออกมาเปิดเผย เหมือนหลอกคน ให้คิดว่าต้องเริ่มต้น นิคหกรรมกันใหม่ ดังนั้นขอให้ตรวจสอบจุดนี้ด้วย

กลุ่มบุคคล ที่เรียกตัวเองว่าธรรมกายไม่ได้ทำผิดและกระทบความมั่นคงของสถาบันสงฆ์เพียงอย่างเดียว แต่กระทบกับ ความมั่นคงของชาติด้วย ถ้านายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ไม่ลงมาล้วงลูกเองปัญหาก็จะไม่จบสิ้น มัวแต่โยนกันไป โยนกันมา ทำเหมือนไม่ได้มองเห็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ในสายตา

ส่วนที่มีการกล่าวถึง พระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่าลายพระหัตถ์ที่มีออกมาเป็นฝีมือของคงในห้องกระจกนั้น อยากให้มองว่าคนระดับ สมเด็จพระสังฆราชจะให้ใครมาจับมือเซ็นชื่อได้อย่างไร ใครพูดในทำนอง ดูหมิ่นสามารถฟ้องร้อง เอาผิดได้เลย ทั้งนายอาคมและนายชวนเพราะเป็นการหมิ่นพระเกียรติ สำหรับกรณีที่ มีข่าวว่าตนได้กล่าวว่า นายอาคมรับเงิน 150 ล้านบาทนั้น ตนไม่ได้พูด นายอาคมกินปูนร้อนท้องไปเอง ที่จริงแล้ว ผู้สื่อข่าวเป็นคนตั้งข้อสังเกตุ ตนพูดแค่ประเด็นเดียวคือเรื่องลายพระหัตถ์ ที่มีคนพูดกันว่าเป็นของปลอมหรือไม่ ซึ่งจะปลอมหรือไม ่ต้องถามพระองค์เอง คนระดับท่านคงไม่เขียนเอง แต่ทรงลงพระนามเท่านั้น

ระวังมติมหาเถรฯบิดเบือน

นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศานา ฯสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในการปฏิรูป การเมืองระบอบใหม่ ควรจะมีการปฏิรูปคณะสงฆ์ด้วย เชื่อว่าพระสงฆ์ 90% ทั้งประเทศอยากให้ปรับปรุง รัฐบาลต้องเข้าไป ดำเนินการในเรื่องพ.ร.บ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ปัญหาในตอนนี้ คือฝ่ายบริหาร ยังแก้กฎหมายไม่ได้ แต่ก็สามารถทำได้โดยการแก้เป็นพระราชกำหนด ถ้าเห็นว่า กรณีธรรมกาย เป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา และบ้านเมือง สำหรับมติมหาเถรฯที่มีอยู่แล้ว หากเห็นควรให้ยกเลิก ปรับปรุง แก้ไข ฝ่ายบริหาร ควรรวบรวม เรียบเรียง เสนองานขึ้นไปเป็นระบบไม่น่าจะยาก เป็นการสนอง ลายพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสังฆราชด้วย ทางออกของปัญหาธรรมกายควรเป็นไปตามพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช

พ.อ. (พิเศษ) ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาจุฬาฯ กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่า มีการบิดเบือน มติมหาเถรฯหรือไม่ ทั้งนี้มติที่ออกมาไม่ได้ระบุให้ใช้กฎนิคหกรรมเลย จึงอยากให้ ชาวพุทธช่วยกันตรวจสอบ ดูด้วยว่า มีประโยคใดบ้างที่บอกให้ใช้กฎนิคหกรรมแก้ไขกรณีวัดพระธรรมกาย ในมติคณะสงฆ ์บอกเพียงว่า ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัยและกฏหมาย หรือว่าจะมีผู้หนึ่งผู้ใด สามารถส่งเรื่องให้กฤษฎีกา ตีความได้ เรื่องนี้จะได้กระจ่างชัดเสียที ซึ่งการใช้กฎนิคหกรรมเป็นการดำเนินการที่ล่าช้ามาก กรรมการมหาเถรฯ อาจอยู่ไม่ทันวินิจฉัยกรณีธรรมกายก็ได้

สำหรับการแก้ไข ควรให้ใช้แก่นพระธรรมวินัยเป็นหลัก ส่วนกฎหมายเป็นเรื่องรองอาจไม่จำเป็นด้วยซ้ำ อย่างการให้ไป แจ้งความกล่าวโทษนายไชยบูลย์กับเจ้าคณะต้นสังกัดไม่น่าจะมีประโยชน์ ความผิดที่เกิดขึ้น เป็นความผิด ที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว หลักฐานก็ปรากฏชัดว่าเป็นการซื้อขายในโฉนด หากจะมีการถวายที่ดินกันจริง พระที่มีหิริโอตัปปะ ก็ควรแนะนำให้ถวายที่ดินแก่วัด เพราะจะได้บุญกุศลมากกว่า "กรณีอวดอุตริมนุสธรรมก็เช่นกัน เที่ยวบอกใครต่อใคร ไปทั่วว่าสามารถนำข้าวขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าได้ โดยจับเข่าได้ด้วย อย่างนี้มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่ทำได้ หากไม่บ้าก็ต้องละเมอหนักมากๆ"

พ.อ.(พิเศษ) ทองขาวกล่าวอีกว่า เรื่องของพ.ร.บ.คณะสงฆ์อยากเรียกว่า "พ.ร.บ.ฉบับโลงศพ" เพราะคนเขียนไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้เขียน กฏหมายฉบับนี้เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติ ถือว่าเป็นกฏหมายที่ออกมาเพื่อทำลายพระศาสนา การประชุม คณะสงฆ์ไม่ควรมีฆราวาสเข้าไปเกี่ยวข้อง ควรเป็นเรื่องของพระ หากต้องมีฆราวาส เข้าร่วมเป็นการผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะเรื่องการครองตำแหน่งในเวลาเดียวกันหลายๆตำแหน่ง ควรสละตำแหน่งอื่น ลงบ้างไม่ใช่เป็นหมดทุกตำแหน่งแต่เอาดีไม่ได้สักอย่าง

การปกครองสงฆ์ ก็ควรมีการกระจายอำนาจออกไป กรณีของทรัพย์สิน ไม่ว่าจะได้มาด้วยกรณีใดๆให้ใช้ชื่อเป็นของวัดทั้งหมด ตัวอย่างที่กำลัง ตกเป็นข่าว เกี่ยวกับพระผู้ใหญ ่สู้อุตส่าห์เก็บเงินอดออมสะสมเงินไว้ซื้อรถเบนซ์ ซึ่งก็น่าที่จะมีกฏหมาย ให้การทำนิติกรรม เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เป็นของวัด

สันติอโศกร่วมวงเฉดไชยบูลย์

การสัมนาครั้งน ี้มีประชาชนสนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 200 คน และมีการตั้งโต๊ะ ลงชื่อสนับสนุน การประกาศไม่ยอมรับ ความเป็นพระของธัมมชโย ซึ่งนายอำนวย สุวรรณคีรี และ พ.อ. (พิเศษ) ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ ได้ร่วมลงชื่อด้วย นอกจากนี้ยังมีนักบวชจากพุทธสถานสันติอโศกกว่า 30 คนเดินทางมา ร่วมฟังสัมนา และร่วมลงชื่อประกาศไม่ยอมรับธัมมชโยด้วย โดยให้เหตุผลว่า เห็นชอบกับแนวทาง ของสมเด็จพระสังฆราช

ทางพ.อ. (พิเศษ) ทองขาว กล่าวอีกครั้งถึงกรณีที่พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กรรมการมหาเถรฯ นำเงินเก็บจำนวน 3 ล้านบาทไปซื้อรถเบนซ์ว่า เราพูดกันอยู่ว่าฆราราวาสต้องรวยพระต้องจน หรือหมูต้องพีฤาษีต้องผอม ถึงจะถูกต้อง พระต้องแสดงออกในลักษณะที่ไม่สะสม ในด้านกฎหมาย อาจจะบอกว่าไม่ผิด แต่ในทางพระธรรมวินัยไม่ถูกต้อง เพราะพระต้องเป็นตัวอย่างของชาวบ้าน เพื่อเป็นที่เคารพกราบไหว้ กรณีที่ท่าน นำเงินไปซื้อรถเบนซ์ ถ้าท่านนำเงินของวัดไปซื้อ มันก็เข้าประเด็นเดียวกับธัมมชโย ถ้าเป็นเงินส่วนตัว ท่านอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมา 10 ปี จนมีเงิน3 ล้านบาท เอาเงินไปซื้อรถเบนซ์ ทางเลียนแบบชาวบ้าน

นายกมล ศรีนอก ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา กล่าว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้องแน่นอน พระภิกษุ ไม่จำเป็นต้องมีรถเบนซ ์เพื่ออวดร่ำอวดรวย อย่างชาวบ้านพระไม่ควรทำอย่างนี้ เอาเงินเก็บไปซื้อรถเบนซ์นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ในฐานะชาวพุทธ ตนเห็นว่าเงิน 3 ล้านบาทนำไปสร้างโรงเรียนดีที่สุด ประชาชนจะสรรเสริญมาก