เปิดหลักฐาน ฟ้องอาญา โล้นห่มเหลือง"ไชยบูลย์"พบโฉนด 5 แปลงเมืองสุพรรณฯ ชาวบ้าน บริจาคให้วัด แต่กลับแอบไปทำเป็นสัญญา ซื้อ-ขาย เข้ามูลนิธิธรรมกาย หวังต่อ ให้เป็น ที่ผืนเดียวกัน กับที่ดินที่ส่งสาวกไปกว้าน ซื้อใส่ชื่อมูลนิธิที่ตัวมีอำนาจซื้อ-ขายคนเดียว งานนี้หนักแน่ "ชวน" ลั่นคำวันใดพบทำผิดคดีอาญาจะฟันทันที จี้อธิบดีศาสนา สรุปผล การโอนที่ดิน-การรวบรวมหลักฐาน ฟ้องปาราชิกเข้า ครม. ครั้งหน้า งานไม่เดินเก้าอี้หักแน่ ผบ.ตร. รับลูกพร้อมเข้าจับสึก สั่งตรึงกำลัง กันเผ่น ไปต่างประเทศ

ที่ 5 แปลงฟ้องถลกผ้าเหลือง

ผู้สื่อข่าว รายงานด้วยว่าการยื่นฟ้องนายไชยบูลย์ตามกฎนิคหกรรมนั้น องค์กรที่ได้รับข้อ มูลอย่างมากมาย คือพุทธสมาคม แห่งประเทศไทย ที่มีนายสมพร เทพสิทธา เป็นอุปนายกฯ และจะมีการ ยื่นฟ้องเปลื้องผ้าเหลือง นายไชยบูลย์แน่ ทั้งเรื่องการอวดอุตริ มนุสสธรรม หรืออวดวิเศษไม่มีในตัวเอง กับเรื่องที่ดิน ที่ได้ประสานงาน กับสภาทนายความ โดยเฉพาะเรื่องที่ดินนั้น จะดำเนินการคดีอาญา จากหลักฐานที่สภาทนายความกำลังรวบ รวมคือการซื้อ-ขายที่ดินในจ.สุพรรณบุรีจำนวน 5 แปลง ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุร ีของนางสาลี เพ็ชร์ชูดี เป็นโฉนดเลขที่ 20377, 20379, 20380,20381,20382

ที่ดินทั้ง 5 แปลง มีเนื้อที่รวมกัน 2 ไร่ 3 งาน 84.5 ตารางวา โดยนางสาลี ต้องการบริจาคให้วัดพระธรรมกาย ปรากฏว่า ได้มีการนำที่ดินทั้ง หมดไป ทำสัญญา ซื้อ-ขายกัน ในราคา 160,000 แสนบาท เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2539 มีมูลนิธิธรรมกายเป็นผู้ซื้อ ทั้งที่ราคาประเมิน สูงถึง 2,818,500 บาท

ที่ดิน ของนางสาลีนั้น หากมีการบริจาคให้กับวัดพระธรรมกายจะสร้างปัญหามาก เพราะเป็นที่ดิน ของนางสาลี อยู่หว่างกลาง ที่ดินที่มูลนิธิธรรม กายไปกว้านซื้อ ถ้าบริจาค ให้วัด การนำที่ดินทั้ง หมดไปใช้ประโยชน์จะมีปัญหาเพราะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ หลายขั้นตอน แต่ถ้าเป็นของมูลนิธิจะดำเนินการได้ทันที โดยเฉพาะ มูลนิธิธรรมกาย มีนายไชยบูลย์เป็นประธาน และสามารถ สั่งซื้อ-ขายทรัพย์สินทั้งหมดได้เพียงคนเดียว

ที่ดิน ที่มูลนิธิธรรมกาย ไปซื้อติด ๆ กับนางสาลี อาทิ โฉนดเลขที่ 20378 ซื้อจากนางองุ่น ทองอ่อน จำนวน 277 ตารางวา ในราคา 20,000 บาท จากราคาประเมิน 1,385,000 บาท, โฉนดเลขที่ 20395,20316 จากนางชวนพิศ ศรีสมปอง ขาย 3.5 แสนบาท จำนวน 387 ตารางวา ราคาประเมิน 1,935,000 บาท มารศาสนา โจมต ี"พระสังฆราช" สำหรับ โฉนดอื่น ๆ มีโฉนดเลขที่ 940 ซื้อ 7 แสนบาท จาก นางย้อม โกมล จำนวน 7 ไร่ 1 งาน แต่ราคาประเมินสูงถึง 2.9 ล้านบาท, โฉนดที่ 944 ครอบครัว สุขเจริญ ราคาขาย 3 แสนบาท ราคาประเมิน 3.67 แสนบาท จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา, โฉนด 945 จากนายฉลอม มีแก้วน้อย ซื้อ 2 แสนบาท ราคา ประเมิน 356,000 บาท, โฉนดที่ 995 จากนางถนอม ศรีทองสุข จำนวน 1 ล้านบาท ราคาประเมิน 2,310,000 บาท จำนวน 3 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา และซื้อจาก นางทองสุข ลูกสาว นางถนอม อีกแปลง เป็นโฉนดเลขที่ 12911 จำนวน 50 ตารางวา ราคา 35,000 บาท แต่ราคาประเมิน 50,000 บาท ที่ดินทั้งหมด มูลนิธิเข้าไปไล่ซื้อตั้งแต่ปี 2535-2539 รวม 13 แปลง เนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 54.5 ตารางวา

ขณะเดียวกัน ได้มีใบปลิวจากแก๊งนรกสนับสนุนธรรมกายโดยกล่าวดูหมิ่นลายพระหัตถ์ว่า ไม่ใช่ พระประสงค์ ของสมเด็จพระสังฆราช และได้มีการ จัดทำขึ้นมาเอง แจกจ่ายไปทั่ว เป็นแผนทำลายศาสนา ซึ่งบังเอิญ เหมือนกับที่เป็นข้ออ้าง ของวัดพระธรรมกาย ที่ใช้มาตั้งแต่อดีต และยังม ีใบปลิว โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยในการแก้ปัญหา วัดพระธรรมกายที่ล่าช้า

หาช่องผิดอาญาจับสึก

ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในระหว่างการประชุม ครม. นั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการ ให้กรมการศาสนา สะสางปัญหา ทุกเรื่องตามมติ ครม. โดยให้นำ ความคืบหน้าในการดำเนินการ ทั้งเรื่องของการโอนที่ดินที่กำหนดไว้ให้เสร็จภายใน 7 วัน และเรื่องการดำเนินการ รวบรวมข้อมูล ที่จะเป็นโจทก์ ฟ้องนายไชยบูลย์ ตามกฎมหาเถรฯ มารายงานให้แก่ ครม. รับทราบ ในการประชุมครั้งต่อไป (18 พ.ค.) เพื่อจะได้พิจารณาดูว่าเรื่องใดบ้างที่สามารถดำเนินคดีอาญาได้

พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้กล่าวถึงการดำเนินการนายไชยบูลย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่กระแส ประชาชน ต้องการให้จับสึก ตามลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชว่า เรื่องนี้ได้สั่งการ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตา และตรวจสอบ ความเคลื่อนไหว ทุกระยะอย่างใกล้ชิด แต่ในขณะนี้ ตำรวจยังไม่สามารถ ดำเนินการอะไรได้เอง จนกว่าจะมีผู้เสียหาย เข้าแจ้งความเสียก่อน หากมีความผิดชัดเจนก็จะดำเนินการจับกุมทันที ส่วนที่หลายฝ่าย เกรงกันว่า อาจจะเกิดการหลบหนี ไปต่างประเทศ เหมือนอย่างกรณีอดีตพระยันตระนั้น ยืนยันว่าตำรวจจะดูแลเรื่องนี้อย่างดีที่สุด

"ชวน"มั่นใจหนีไปตปท.ไม่ได้

และเมื่อเวลา 14.30 น. ของวันเดียวกัน นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา มีผลประโยชน์ เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายว่า เป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อปฏิบัติที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย พระธรรมวินัย และมติมหาเถรฯ ไม่เชื่อว่า จะมีข้าราชการ รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่การปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องระมัดระวังให้ดี

ส่วนข้อกล่าวหา ที่ว่านายอาคมรับผลประ โยชน์ด้วยนั้น นายกฯกล่าวว่า ตอบแทนได้ทันทีว่าไม่มีอย่างแน่นอน สำหรับข้อสันนิษฐาน ที่ว่าอาจจะมีการ ถ่ายโอนทรัพย์สิน และหนีไปต่างประ เทศนั้น เชื่อว่าคงกระทำได้ยาก เพราะทรัพย์สินที่มีอยู่นั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์ มีหลักฐาน มีการขึ้นทะเบียนชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ และใคร ที่รับโอนทรัพย์สินนี้ไป ก็ถือว่ามีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย เพราะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ทรัพย์สินอื่นไม่เข้าข่ายนี้ เพราะมติมหาเถรฯ ให้ดำเนินการ เฉพาะเรื่องที่ดิน เท่านั้น

โอนที่ดินลัดขั้นตอนลดภาษี

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐ มนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ไม่รู้ว่า จะแสดงความคิดเห็น ในเรื่องนี้อย่างไร ส่วนเรื่อง วัดพระธรรมกาย ที่มองกันว่าเป็นเรื่องศาสนาที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในประเทศนั้น คิดว่า เรื่องนี้คงไม่ถึงขั้นนั้น เป็นเพียง ความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่ม ที่สนับสนุน กับกลุ่มไม่สนับสนุนเท่านั้น

ต่อข้อถามที่ว่า มีการกล่าวกันว่ามีการรับเงินสินบนจากนายไชยบูลย์นั้น พล.ต.สนั่นกล่าวว่า เรื่องนี้ หากสื่อไม่วิพากษ์วิจารณ์ ก็คงไม่มีใครวิจารณ์ และเรื่องนี้ ทุกคนก็อยากให้หยุด โดยเร็ว เพราะจะกระทบกระเทือนไปยังพระพุทธศาสนา อยากให้พระทุกรูป มีขันติกันบ้าง อย่างไรก็ตามไม่อยากพูดเรื่องนี้มากนัก เพราะส่วนตัวแล้ว ทะเลาะกับใครก็ได้ แต่ไม่อยากทะเลาะกับพระ

พล.ต.สนั่นกล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องของการโอนที่ดินนั้นเป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน และก็ ได้บอกแล้วว่า ที่ดินของวัดพระธรรมกายนั้น จะไม่ต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาก ให้ลัดขั้นตอน และเก็บภาษีให้ถูกเรื่องจะได้ยุติ แต่ที่มีการวิจารณ์กันว่า นายอาคม ไม่ดำเนินการ อย่างจริงจัง เพราะมีเรื่องสินบนเข้ามาเกี่ยวนั้น คงไม่เป็นความจริง รัฐมน ตรีทุกคน ระมัดระวังในเรื่องนี้มาก เรื่องพระเรื่องพระพุทธศาสนานั้น จะทำอะไรรุนแรงมากไม่ได้ ต้องใช้ความรอบคอบ

ทหารพร้อมรอรัฐบาลสั่งการ

นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติกล่าวว่า ปัญหาวัดพระ ธรรมกายส่งผลกระทบต่อสังคม เพราะคนในบ้านเมือง มีความแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย ในขณะที่บ้านเมือง ต้องการความสามัคคี โดยส่วนตัวแล้ว อยากให้ใช้ การประนีประนอม เป็นตัวแก้ปัญหา เพราะขณะนี้ มีการพูดถึง พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในลักษณะก้าวร้าว อย่างไรก็ตามจะไม่มีการนำประ เด็นนี้เข้าที่ประชุม สมช.อย่างแน่นอน เพราะแนว ทางการแก้ไขปัญหานั้นก็มารวมกันอยู่ที่จุดเดียวแล้ว

กมธ.ศาสนาตั้งคณะทำงานจี้รัฐ

ส่วน ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 14.00 น. ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ภายหลังการประชุม นายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ ลือชัย เลขานุการ คณะกรรมาธิการฯ ได้เปิดเผยผลการประชุมว่า จากการที่ คณะกมธ.ได้ติดตามปัญหา ของวัดพระธรรมกาย และมีข้อสรุปเสนอไปยังรัฐบาลนั้น ขณะนี้ เรื่องดังกล่าว ได้บานปลายออกไป ไม่มีท่าทีว่าจะยุติ จึงเห็นว่า ปล่อยไว้ จะกลายเป็นปัญหา ในอนาคต กมธ. จึงได้มีการแต่งตั้ง คณะทำงานเพื่อติดตาม และวิเคราะห์ กรณีวัดพระธรรมกาย ขึ้นมาชุดหนึ่ง

คณะกรรมการชุดนี้ จะดำเนินการใน 9 ประเด็นหลักก็คือ 1.การแก้ปัญหา เฉพาะหน้า เพื่อให้เป็นไปตามมติ ของมหาเถรฯ ให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว 2.หากเกิด กรณีเช่นนี้ขึ้นอีก รัฐบาลและกมธ.ควรจะทำอย่างไรให้ไวกว่าที่ผ่านมา 3.มาตร การเชิงรุก ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก 4.สามารถ ที่จะมีมติที่แก้มติมหาเถรฯเดิมได้ 5.ควร ปรับปรุงมหาเถรฯ โดยกำหนด คุณสมบัติของพระ ที่เป็นกลาง ระหว่างธรรมยุตและมหานิกาย ให้อยู่ในศักยภาพที่ทำงานได้ 6. คณะกรรมการที่ กรมการศาสนาตั้งไว้ ให้แก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ ์ไม่เคยมีการประชุมเลย 7.รัฐบาลที่ใช‰อำนาจดูแลพระศาาสนาในกรณีธรรมกายได้ทำหน้าที่เต็มที่หรือยัง 8.ส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องได้ทำหน้า อย่างเต็มที่หรือยัง และ 9.การแก้ไขปัญหาระยะยาวในพุทธศาสนาเพื่อรองรับการกระจาย อำนาจฝ่ายปกครอง ทำแล้วหรือยัง

นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนาฯกล่าวว่า คณะกมธ. ได้ให้ฝ่ายกฎหมาย ของสำนักเลขาธิการสภาฯ ไปรวบรวมข้อกฎหมาย พระธรรมวินัย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของมหาเถรฯนำมาเสนอต่อคณะทำงานให้ชัดเจน ซึ่งจะสามารถ ทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยทั้ง 9 ข้อนี้ จะต้องพิจารณา ให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ควรปลดมหาเถรฯแก้ปัญหา

สำหรับ กรณีการใช้กฎมหาเถรฯ ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการนิคหกรรมนั้น นายอำนวยกล่าวว่า จากการฟังผู้เชี่ยวชาญ ทางศาสนา มีการตีความไว้เหมือนกันว่า พระวินิจฉัย ของสมเด็จพระสังฆราช ถือเป็นพระบัญชาแล้ว ถือว่าขาดจากการเป็นพระไปแล้ว ไม่จำเป็น ต้องใช้กฎนิคหกรรม เพราะกฎนี้จะใช้กับความผิดที่ต่ำกว่าปาราชิก ถ้าคิดจะแก้ปัญหา ไม่ให้ยืดเยื้อมหาเถรฯก็ควรจะมีมติออกมาใหม่ แต่ฝ่ายสนองงาน คือเลขาธิการมหาเถรฯ จะต้องรวบรวมกฎเกณฑ์ทั้งหมด รวมทั้งคำพิพากษา ฎีกา ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนองพระราโชบาย ของสมเด็จพระสังฆราช ให้เสร็จสิ้นไป

กรรมการมหาเถรฯนั่งรถเถื่อน

มีรายงานข่าว จากกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามรถของพระเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูปถึงที่มาที่ไปว่า ล่า สุดได้มีการตรวจสอบ รถเบนซ์ สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน 7 ฐ 6939 กรุงเทพมหานคร ซึ่งรถคันดังกล่าวนี้ เป็นพาหนะมีที่พระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตร กรรมการมหาเถรฯ ใช้นั่ง มาเข้าร่วมประชุม มหาเถรฯ ซึ่งจากการตรวจสอบ ปรากฎว่า รถยนต์คันดังกล่าว สวมทะเบียน เนื่อง จากทะเบียนรถดังกล่าวนั้นเป็นของนางภาวดี ตลิ่งจิตร ได้จดทะเบียน เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2537 ระบุยี่ห้อว่า รถนิสสัน สีเทา ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2540 ได้มีการแจ้งย้ายรถและขอคืนทะเบียน เปลี่ยนทะเบียนใหม่ เป็น ทะเบียน กข 143 ตรัง เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2540 และโอนกรรมสิทธิ์รถมาเป็นของนางอำภา บุรินทราภิบาล หลังจากนั้น กรมการขนส่งทางบก ไม่เคยออกทะเบียนรถนี้ ให้กับใครอีกเลย

ก่อนหน้านี้ รถยนต์ของพระธรรมกิตติวงศ์ วัดราชโอรส กรรมการมหาเถรฯก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน โดยพระธรรมกิตติวงศ ์ได้เช่าซื้อรถเบนซ์ทะเบียน ภก 6353 จากบริษัท ไฟแนนซ์แห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ปิดกิจการไป จึงไม่มีการโอนชื่อ มาเป็นของพระธรรมกิตติวงศ์ และได้มีการร้องต่อศาล แพ่งจนสุดท้ายกรมการขนส่งทางบกต้องจด ทะเบียนให้ ตามคำพิพากษา ของศาลแพ่ง แต่รถคันดังกล่าวนี้ปรากฏว่ารายละเอียดในการจดทะเบียนรถไม่ได้ระบุยี่ห้อ สีของรถ เลขหมายเครื่องยนต์ และเลขตัวรถ มีแจ้งเพียงว่า เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 2 ตอนบรรทุกไม่เกิน 7 คน มีผู้ถือกรรม สิทธิ์คือพระธรรมกิตติวงศ์เท่านั้น จึงได้ให้ ทางกรมศุลกากร ตรวจสอบถึงที่มาของรถคันนี้

คณะสงฆ์ท้อยื้อเวลาฟัน"ธรรมกาย"

ส่วนที่วัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.คลองหลวง เฝ้าอยู่ทั้ง 3 ประตู ๆ ละ 2 นายผลัดเปลี่ยนเวรตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งบรรยากาศ ภายในวัดก็ยังคงมีการทำบุญ เลี้ยงภัตตาหารเพล ตามปกติ โดยมีญาติโยมประมาณ 20 คนมาทำบุญ เลี้ยงพระ 500 รูป นอกจากนี้แล้ว จากการสำรวจวัดต่าง ๆ ที่มีบรรดา เจ้าคณะจำวัดอยู่ทั้งเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดนั้น ปรากฏว่า ภายในวัด มีแท็งก์น้ำขนาด 2,000 ลิตรอยู่ทุกวัด และข้างแท็งก์น้ำเขียนว่าอภินันทนา การ จากมูลนิธิธรรมกายทั้งสิ้น

พระมหาปัญญา ขันติธัมโม เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการสั่งการใด ๆ จากมหาเถรฯ ในเรื่องของการนิคหกรรม กับนายไชยบูลย์ ที่ผ่านมา ไม่เคยมีการใช้ กฎมหาเถรฯฉบับ 11 นี้ ซึ่งครั้งนี้คาดว่าคงจะใช้เวลาในการดำเนินการนานพอสมควร อย่างไรก็ด ีเรื่องของที่ได้รับบริจาค จากมูลนิธิธรรมกายนั้นเมื่อเทียบ กับทรัพย์สิน ที่มูลนิธิธรรมกายมอบให้แก่พระเถระชั้นผู้ใหญ่แล้ว วัดต่าง ๆ ใน จ.ปทุมธานีได้รับทรัพย์สินมูลค่าเล็กน้อยมาก

เจ้าคณะจังหวัดระบุมีวิธีฟัน

พระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ลงมาจากทางมหาเถรฯ ให้ดำเนินการ เรื่องวัดพระธรรมกาย แต่ก็มีวิธีการ ที่จะดูแลปัญหาอยู่ในใจบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม โดยขั้นตอนแล้ว หากจะมีการฟ้องนิคหกรรม นายไชยบูลย์ก็จะต้องไปเริ่มเจ้าคณะจังหวัด ต่อไปยัง เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่หนกลางจนไปถึงมหาเถรฯ ที่ผ่านมา มีการพุ่งเป้าเรื่องนี้ข้ามไปที่ระดับมหาเถรฯ กรมการศาสนาและกระทรวงศึกษาฯเลย เรื่องจึงยืดเยื้อ และต้องมานับหนึ่งกันใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะจบ เพราะไม่มีกฎระบุชัดว่าแต่ละขั้นตอนการพิจารณาจะต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ ส่วนที่ว่า ยืนอยู่ฝ่าย วัดพระธรรมกายนั้น ยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริง และพร้อมจะดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เวลานี้มีคนบอกว่าการแก้ปัญหาวัดพระ ธรรมกายล่าช้า เป็นเพราะมีนายประกอบ จีรกิตติ ส.ส.พรรค ปชป. เข้าไปปฏิบัติธรรม และบริจาค เงินและที่ดินให้กับวัดพระธรรมกายนั้น เชื่อว่า คนที่เข้าไปปฏิบัติธรรม ในวัดพระธรรมกาย ก็มีทุกอาชีพ ไม่เฉพาะนักการเมืองเท่านั้น ส่วนการดำเนินการ แก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายนั้นคิดว่าต้องพูดกับวัดโดยตรง แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า ที่มีการเจรจากับผู้แทนวัดเรื่องการโอนที่ดิน บางครั้ง นายประกอบ ก็ไปร่วมด้วย แต่ก็เพื่อให้ การเจรจาเกิดความสำเร็จมากกว่า

"ตูมตาม" ไม่เปลี่ยนอธิบดีศาสนา

สำหรับ ในกรณีนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาที่เกี่ยวพันกับ ส.ส.พรรค ปชป.นั้น นายอาคมกล่าวว่า คงไม่มีใครปฏิเสธ เพราะข้าราชการ ระดับผู้ใหญ่ ในกระทรวงศึกษาฯ หลายคนก็มีพี่น้องเป็นนักการเมือง แต่การปฏิบัติงาน ตามหน้าที่นั้น เป็นคนละเรื่อง กับการเป็นพี่น้อง เพราะหากทำงานไม่ดี ก็ต้องถูกปลดออก จากตำแหน่ง พี่น้องคงช่วยอะไรไม่ได้ และได้พูดเรื่องนี้กับนายพิภพแล้ว พร้อมบอกว่า ให้โอกาสในการทำงาน ซึ่งนายพิภพก็ตอบว่าหากทำงานไม่สำเร็จ ก็ยินดีให้รัฐมนตร ีเปลี่ยนแปลง เวลาน ี้ก็ได้เตรียมใจ รับสถานการณ์ไว้แล้ว

"การแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ ระดับอธิบดีเป็นอำนาจของ รมว.ศึกษาธิการโดยตรง หากมีการเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่มีอำนาจในการทัดทาน โดยส่วนตัว ไม่มีความคิด ที่จะเปลี่ยน แปลง เพราะต้องให้โอกาสทำงานก่อน และอยากให้เข้าใจว่า การแก้ไขปัญหา วัดพระธรรมกายไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องให้ความเป็นธรรมกับอธิบดีด้วย เพราะแม้แต่ตัวผมเอง การแก้ไขยังมีข้อจำกัดมากมาย ทั้งนี้หาก รมว.ศึกษาฯ ต้องการเปลี่ยน แปลงจริงก็คงได้ และจะไม่มีความขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น"

ต่อข้อถาม ถึงกรณีที่มหาเถรสมาคมจะใช้กฎมหาเถรฯฉบับที่ 21 สึกก่อนได้หรือไม่ นายอาคมกล่าวว่า จากการสอบถาม นักวิชาการ กรมการศาสนาแล้ว บอกว่า สามารถทำได้ แต่ต้องให้มหาเถรฯ เป็นผู้พิจารณาและมีมติออกมา ส่วนกรณี ที่ยังสงสัยกันว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายขาดจากความเป็นพระหรือยังนั้น เรื่องน ี้ตามมติมหาเถรฯ ที่ชี้แจงออกมา ถือว่ายังไม่สึก แต่ความเห็นทางกฎหมาย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการเปลี่ยนแปลงองค์กรปกครองสงฆ์นั้นไม่ใช่เรื่อง ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างหนึ่ง อย่างใดได้ เพราะเรื่องของสงฆ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมี 2 นิกาย คือมหานิกายและธรรมยุต หากจะเปลี่ยนแปลง ต้องทำความเข้าใจกันอีกนาน แต่มาถึงจุดนี้แล้ว คิดว่าต้องทำประชาพิจารณ์ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้อง

รับโฉนด"ไชยบูลย์" 13 พ.ค.

ที่กรมการศาสนา เมื่อเวลา 13.00 น. นายวรัญชัย โชคชนะ ประธานกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทย ได้เข้ายื่นหนังสือ ร้องทุกข์แจ้งข้อมูล เพื่อฟ้องนายไชยบูลย์ต่อนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา โดยนายสำรวย สารัตถ์ ผอ.สำนักงานเลขาธิการมหาเถรฯ เป็นผู้รับเรื่องแทน ทั้งนี้ในหนังสือดังกล่าวระบุว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระ ธรรมกาย มีความผิดขั้นปาราชิกต้องจับสึก 4 เรื่องคือ ลักทรัพย์ หรือฉ้อโกงทรัพย์ เช่นนำเงินบริจาคไปซื้อที่ดินในชื่อตัวเอง, การอวดอุตริมนุสธรรม, ละเมิด พระธรรม วินัยเป็นอาจิณ และกล่าวหา พระไตรปิฎกบกพร่อง ทำให้สงฆ์แตกแยก ทั้งนี้ ในวันเดียวกันนายสมชัย โสธรธีรวัตน์ ก็ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในเรื่องนี้เช่นกัน

เมื่อเวลา 15.00 น. อธิบดีกรมการศาสนาได้เปิดแถลงข่าวร่วมกับนายสำรวย สารัตถ์ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา นายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักงาน พุทธมณฑล โดยนายพิภพ กล่าวว่า ได้เข้าพบนายอาคม เพื่อหารือ กรณีวัดพระธรรมกาย ซึ่งนายอาคม ได้มีบันทึกสั่งการ ให้กรมการศาสนา ดำเนินการเร่งด่วนใน 3 เรื่องคือ 1.โอนที่ดินที่มีชื่อของ นายไชยบูลย์ถือครองอยู่ 1,747 ไร่ 2 งาน 87 ตารางวาให้เป็นของวัด ซึ่งทางกรมฯ จะเร่งให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน โดยทางวัดพระธรรมกาย ยืนยันว่าในวันที่ 13 พ.ค.นี้ เวลา 11.00 น. จะนำหนังสือมอบอำนาจและโฉนดที่ดินตัวจริงมามอบให้ จากนั้นทางกรมฯ จะเดินทาง ไปยังกรมที่ดิน เพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินทุกแปลง คาดว่าจะเสร็จในเวลา 13.00-14.00 น. พร้อมกันนี้ กรมการศาสนา จะร่วมกับกรมที่ดิน ตรวจสอบแหล่งที่มา ว่าที่ดินได้มาจากการซื้อ หรือรับบริจาค ส่วนที่มีผู้สงสัยว่า อาจจะมีที่ดินที่มีชื่อ นายไชยบูลย์ถือครองหลงเหลืออย ู่ก็สามารถตรวจสอบต่อไปได้

วันแรกมี 18 รายยื่นปาราชิก

ประเด็นที่ 2 เรื่องปาราชิก ตามที่มีผู้ระบุว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายทำผิดวินัยสงฆ์อาบัติปาราชิก ซึ่งจากที่กรมการศาสนา ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้มีผู้มาร้องทุกข์แล้ว 18 ราย ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดวันรับเรื่องร้องทุกข์ในวันที่ 20 พ.ค. แล้วทางกรมฯ จะรวบรวมข้อกล่าวหาทั้งหมด และตั้งตัวแทน 1 คนนำข้อกล่าวหา ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อให้พิจารณาว่า ข้อกล่าวหามีมูลพอจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ถ้ามีมูล เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ก็จะนำเรื่อง เข้าสู่กระบวนการ นิคหกรรมทันที

ประเด็นที่ 3 ตามที่ ครม.ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มื่อเกิดกรณีวิพากษ์วิจารณŒ ในเรื่องพระสงฆ์ก็ควรจะให้พระ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง หลังการประชุมมหาเถรฯ ทุกครั้ง ซึ่งตนได้นำเรื่องนี้ เข้าหารือกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศแล้ว ท่านได้มอบ หมายให้กรมการศาสนา ตั้งคณะทำงานแถลงข่าวขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยฝ่ายสงฆ์ 2 รูปคือ พระสุธีรวรญาณ รองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และรองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ส่วนฝ่ายฆาราวาสมี 3 คนคือ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ นายสำรวย สารัตถ์ และนายอำนาจ บัวศิริ โดยจะใช้สถานที่ ของกรมการศาสนา เป็นที่แถลงข่าวทุกครั้ง หลังการประชุมมหาเถรฯ

นายพิภพ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมากรมการศาสนาได้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย โดยสนองพระราชดำริของสมเด็จพระสังฆราช และมติมหาเถรฯ มาโดยตลอด และทำด้วยความรวดเร็ว แต่คนทั่วไปก็ยังมองว่าล่าช้าไม่ทันการณ์ ซึ่งหากใครมองว่า ตนทำงานล่าช้า ควรพ้นจากตำแหน่งได้แล้ว ยังพร้อมที่จะสู้

รับรองไม่พลาดเหมือน"ยันตระ"

นายสุทธิวงศ์ เปิดเผย ถึงการจะใช้กฎมหาเถรฯ ฉบับที่ 21 กับนายไชยบูลย์และให้มีการสึกก่อนว่า สามารถที่จะสึกได้ก่อน หากเห็นว่า ระหว่างที่ มีการสอบนิคหกรรมนั้น ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ส่วนเรื่องต้องปาราชิกตามลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น มหาเถรฯได้รับสนองแล้ว แต่การที่จะดำเนินการได้ ก็ต้องกระทำตาม กระบวนการของสงฆ์ก่อนซึ่งก็คือต้องนิคหกรรม ซึ่งกำลังอยู่ ระหว่างดำเนินการ

สำหรับการปลดนายไชยบูลย์ ออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น มีกฎมหาเถรฯฉบับที่ 24 ระบุไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้ง ถอดถอน พระสังฆาธิการ หรือพระ ที่ทำหน้าที่ปกครอง ตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป จะต้องผิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง และการลงโทษ มีตั้งแต่ตักเตือน ตำหนิโทษ ถอดถอน และปลดออก จากตำแหน่ง

นายอำนาจ กล่าวว่า หลายฝ่ายอาจมองว่าการแก้ไขปัญหาทำได้ล่าช้าเหมือนกับคดีอดีตพระยันตระ แต่ในเรื่องนั้น กรมการศาสนาพยายาม ติดตามผลการสอบสวน มาเป็นระยะ แต่ปรากฏว่าพระที่ทำการสอบสวนยันตระก็มักจะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถาม และพยายาม จะบอกว่ายันตระไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยแล้วทุกอย่างน่าจะจบลงได้ แต่ในกรณี ของวัดพระธรรมกายนี้ รับรองว่าจะติดตามเรื่อง การสอบสวนอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ประวัติ ศาสตร์ซ้ำรอยได้อีก

เตรียมแฉพระเถระรับสินบน

ที่วัดมหาธาต ุในวันเดียวกัน พระมหา เดวิด ยสะสีภิกขุ ประธานองค์การยุวสงฆ์แห่งประเทศไทย และประธานมูลนิธ ิสถาบันอบรมเยาวชนกล่าวว่า ทางกลุ่ม มีคณะทำงาน ให้ติดตามข่าวสารกรณีวัดพระธรรมกาย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบ ด้วยพระหนุ่ม และเณรหลายร้อยรูป ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อเหตุวิกฤติทางศาสนาครั้งนี้ เนื่อง จากท้อแท้ และเศร้าสลดใจ ผลการประชุมมหาเถรฯ ที่ผ่านมา เป็นผลจากพระเถระบางรูปยังติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์และศักดินา มีบุญคุณต้องตอบ แทน โดยเฉพาะ การสนับสนุน ของนายไชยบูลย์ จึงต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อกระชากหน้ากาก

ที่ผ่านมา ปัญหาทั้งใหม่ และเก่าของวัดพระธรรมกายไม่มีการแก้ไขอย่างแท้จริง เพราะไม่มีคณะติดตาม อย่างจริงจัง และจากการประชุม ของกลุ่มองค์กรยุวสงฆ ์เห็นว่ามีเบื้องหลัง ความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์ ฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการ เป็นผลกระทบ ลูกโซ่ รวมทั้งเรื่องเงินการจัดการ หากมีการ เปิดเผยข้อมูล ออกมาแล้ว ต้องตะลึงกันไปทั้งประเทศ เช่น เรื่องการตอบปัญหา วัดพระธรรมกาย ยึดเอาหนังสือพระแท้เป็นต้นตำรับ อาตมา ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ทราบดีว่ามีการเสนอเงินเท่าไหร่ ตรงนี้ไม่ใช่จะเกิดเหตุ กับนายไชยบูลย์เพียงคนเดียว แต่ยังรวมไปถึงคนที่ศรัทธาทุ่มเทเปรียบเหมือนกับขี่หลังเสือแล้วไม่สามารถลงมาได้ ถ้าคำตัดสินออกมาว่า นายไชยบูลย์ผิด และเป็นอะไรไป คนเหล่านี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำคือเปิดเผยสิ่งที่คนอื่น ๆ ยังไม่กล้าเปิดเผย และยึดจุดยืน โดยเปิดเผย สิ่งที่เปิดเผยอยู่แล้วให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"มหาบุญถึง"ไล่ส่ง"อธิบดี"ศาสนา

พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางที่ ครม. มีมติให้มหาเถรฯ และกรมการศาสนา แถลงมติใหม่ โดยให้มีตัวแทน กรรมการมหาเถรฯ ร่วมแถลงเพื่อความชัดเจน เท่าที่ผ่านมา อธิบดีกรมการศาสนา แถลงความต้องการ ของกรรมการมหาเถรฯ บางรูป หากจะไม่ให้ คลุมเคลือ ทำให้คลางแคลงใจ ต้องให้มหาเถรฯออกมาแถลงเอง นอกจากนี้ ในการประชุมมหาเถรฯ ครั้งต่อไปน่าจะมีตัวแทนสื่อมวลชนเข้าสัง เกตการณ ์เหมือนการ ประชุมรัฐสภา คำแนะนำนี้ ก็เพื่อความโปร่งใส และจะยิ่งดีมากขึ้น หากว่ามีการถ่ายทอดสด ทางโทรทัศน์ให้ประชาชนได้รับทราบตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในกรณีที่ มีการพิจารณา เรื่องสำคัญ ที่เกี่ยวกับ ความมั่นคงทางศาสนา ผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดก็ได้

ส่วนที่นายกรัฐมนตรี มาสั่งการด้วยตนเอง ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา อาตมาของเจริญพร ฝากถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ขอให้สั่งการ โดยเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ปัญหายืดเยื้อ ถือว่าได้ทำบุญอย่างมหาศาล ได้ช่วยกันปกป้องพุทธศาสนา ยามมีภัย รวมถึง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ได้สั่งการ ให้มีการโอนที่ดิน ภายใน 7 วัน แสดงว่ารัฐบาล เห็นความสำคัญ ของความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ถ้าทุกฝ่าย ร่วมกันออกมาปกป้องทุกอย่างจะยุติด้วยดี

"อาตมา ขอฝากข้อความไปยังอธิบดีกรมการศาสนาด้วย จากการติดตามที่ผ่านมาเห็นว่ามีความพยายามอย่างเต็มที่จะอุ้มนายไชยบูลย์ ทั้งที่ไม่มีความรู้ ทางพระพุทธศาสนา ถึงเวลาแล้ว ที่ควรจะลาออกจากตำแหน่ง และหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถสนองพระบัญชา ของสมเด็จพระสังฆราช มาทำหน้าที่แทนจะดีกว่า ทุกวันน ี้มหา เถรฯ เสวยสุขจาก พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2505 มานานกว่า 37 ปีแล้วถึงเวลา ที่จะลงจากเวท ีมาพักผ่อนได้แล้ว คงต้องมี การปรับปรุง การปกครองคณะสงฆ์ เพื่อเอื้อประโยชน์กับพุทธศาสนิกชน ส่วนที่คณะกรรมการ ศาสนา เพื่อการพัฒนา ออกมารวบรวมรายชื่อ เพื่อเสนอให้มีการแก้ไข กฎหมายสงฆ์นั้น ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมาก ที่จะออกมาช่วยกัน ปกป้อง พุทธศาสนา"

มหาเถรฯ แจงที่มารถเบนซ์

ในวันเดียวกัน พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้า อาวาสวัดราชโอรสาราม กรรมการมหาเถรฯ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าวัดพระธรรมกายถวายรถ เบนซ์รุ่น อี 230 ทะเบียน ภก 6353 กรุงเทพมหานครให้นั้นว่า รถคันเก่าที่ใช้อยู่มันเสียบ่อย เพราะใช้มาหลายปี จึงได้นำเงินก้อนหนึ่ง ซึ่งตอนแรก ตั้งใจไว้ว่า จะนำไปสร้างโรงเรียน ที่บ้านเกิดมาซื้อ แต่มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้รถ จึงได้ตัดสินใจนำเงินก้อนดังกล่าว ไปซื้อรถคันใหม่ เงินจำนวนดังกล่าวน ี้เป็นเงินที่รวบรวมมา เป็นเวลา 10 ปี เมื่อถึงตอนที่จะซื้อรถนั้นมีพระครูรูปหนึ่งอยู่ที่ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นพระ ในปกครองได้แนะนำว่า มีลูกศิษย์เป็นเจ้าของบริษัท จำหน่ายรถเบนซ์ คือบริษัทป้อมยนตร์กรุ๊ปจำกัด พระครูท่านนั้น บอกว่าจะเป็นผู้ติดต่อให้ ดังนั้น เมื่อมีการรับรอง จึงตกลงใจซื้อ และได้ติดต่อ ไปที่โชว์รูมที่ถนนพหลโยธิน ย่านจตุจักร เมื่อประมาณกลางเดือนก.ค. 2539 จึงตกลงซื้อรถคันดังกล่าวในราคา 2.9 ล้านบาท ไม่นับรวม ค่าประกัน

ต่อมา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2539 ทางบริษัทได้นำรถมาส่งให้ที่วัด และมีหนังสือสัญญาซื้อขาย ซึ่งผู้ที่นำรถมาส่งคือนายกลภัทร เทียนกนก โดยได้จ่ายเป็น เช็คเงินสด จำนวน 2.75 ล้านบาท พร้อมทั้งเงินสดอีก 150,000 บาท ค่าโอน 9,500 บาท และค่าประกันชั้น 1 อีก 72,798 บาท กับบริษัทรัตนโกสินทร์ ประกันภัย รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 3 ล้านบาทเศษ และตกลงว่าจะมีการมอบป้ายทะเบียนให้หลังจากนั้น 1 เดือน หลังจากนั้น ได้ให้ลูกศิษย์ไปสอบถามทางบริษัทก็ผลัดผ่อนเรื่อยมากระทั่งถึงปีใหม่

ก่อนหน้านี้ ก็เคยได้ยินว่าบริษัทป้อมยนตร์ใกล้จะล้มและเมื่อสืบข่าวดูก็พบว่ากำลังแย่จริง จึงได้ติดต่ อพระครูที่ชุมพร ให้เป็นผู้ติดต่อประสานงาน กับบริษัทหลายครั้ง แต่ไม่ได้เรื่อง จากนั้นได้รับกิจนิมนต์ไปที่ชุมพร และครั้งนี้มีโอกาส พบกับส.ส.ชุมพรท่านหนึ่ง จึงได้ปรารภเกี่ยวกับเรื่องรถ ส.ส.ท่านนั้น บอกว่ามีนักกฎหมายที่สามารถให้คำปรึกษาได้ หลังจากนั้น 1 สัปดาห์นักกฎหมาย ของ ส.ส.คนนั้น ได้ติดต่อมาและแนะนำว่า ต้องฟ้องร้อง ต่อมาบริษัทป้อมยนตร์ได้เลิกกิจการไป พร้อมทั้งนำหลักฐานต่างๆไปด้วย

พระธรรมกิตติวงศ์ กล่าวต่อไปว่า ได้ไปแจ้งความเพื่อติดตามหลักฐานตามคำแนะนำของนักกฎหมายและได้ฟ้องศาลตามกฎหมาย โดยใช้เวลา ในการดำเนินการ ทางกฎหมายทั้งสิ้น 7 เดือน โดยอาตมาเป็นโจทก์ บริษัทป้อมยนตร์เป็นจำเลย ศาลมีคำพิพากษาลงวันที่ 21 ธ.ค. 2541 ให้จำเลย จดทะเบียนรถยนต์หมายเลขตัวถัง เครื่องยนต์ จากฟ้อง โดยมีชื่อโจทก ์เป็นเจ้าของ และหากจำเลย ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอา คำพิพากษาแสดงแทน การแสดงเจตนา โดยจำเลยส่งมอบแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษี และใบคู่มือจด ทะเบียน ของกรมการขนส่งทางบก ให้แก่โจทก์

ต่อข้อถามที่ว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า ไม่มีการซื้อมาถวายจริง พระธรรมกิตติวงศ์ กล่าวว่า ยืนยัน ได้เลยว่าเรื่องรถยนต์ ไม่เกี่ยวข้อง กับวัดพระธรรมกาย อย่างเด็ดขาด และไม่มีวัดพระธรรมกายเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น