page4

เดลินิวส์ 12/5/2542

ชาวพุทธลุกฮือ ขับ'ไชยบูลย์' เปิดช่องจับสึก

เปิดวิธีใหม ่สางเสี้ยนศาสนา ใช้กฎหมายทางโลกเล่นงาน มือกฎหมายรัฐบาลย้ำ"ไชยบูลย์"เป็นแค่ โล้นห่มผ้าเหลือง ประสานเสียง รมว.ยุติธรรม ยืนยัน ลายพระหัตถ์ มีผลเป็นพระบัญชา ส่งผลให ้แจ้งความจับ ฐานเป็นพระปลอมได้ ขณะที่สภาทนายความพบโจทก์ยื่นฟ้องฐานฉ้อโกง หวังแจ้งความ ให้ตำรวจจับสึก ชาวพุทธลุกฮือตั้งศูนย์ขับไล่ทั่วประเทศ ล่ารายชื่อ 5 หมื่นคน แก้กฎหมายยึดอำนาจมหาเถรฯ หลังอุ้มเดียร์ถีย์ แข็งข้อ พระสังฆราช พุทธสมาคม รวมหลักฐานยื่นฟ้องใน 7 วัน มั่นใจเดือนเดียวยุติ "ชวน "ซัดกรมศาสนา เป็นทนายแก้ต่าง ให้วัดฉาวสั่ง"อาคม"เด็ดขาดฟัน 2 ข้อหา "ลักทรัพย์-อวดวิเศษ" เร่งผลักดัน เข้ามหาเถรฯ เร็วสุดห้ามยื้อใช้อำนาจพิเศษสั่งสึกไปก่อน พร้อมเร่งโอนที่ดิน แฉกระทรวงศึกษาฯเสนอมหาเถรฯตั้งกรรมการเข้าเฝ้าสมด็จพระสังฆราชรับพระบัญชา แต่ถูกตีตก พระธรรมปิฎก หวั่นเข้ายุคเสื่อม ต้องชี้ชัดผิดทางวินัยดึงศรัทธาคืนมา "พิภพ"แจ้นหอบหลักฐานพบสมเด็จเกี่ยว

ปัญหา พระปลอม นายไชยบูลย์ สุทธิผล ที่ยังลอยนวลอยู่ในขณะนี้ แม้สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกฯ จะมีพระวินิจฉัย เป็นลายพระหัตถ์แล้วว่า นายไชยบูลย์ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปนานแล้ว แต่ปัญหา ในการถอดผ้าเหลือง ออกจากร่าง ยังต้องใช้เวลา เนื่องจาก มหาเถรสมาคมได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 10 พ.ค. และมีมติจะต้องดำเนินการตามกฎนิคหกรรม หรือการฟ้องร้อง ทางสงฆ์

รายงาน"ด่วน"ครม.

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึง การดำเนินการ ภายหลังมหาเถรสมาคมมีมติออกมาว่า นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา จะรายงานให้แก่ครม.รับทราบ ซึ่งมติดังกล่าว ยืนยันได้ว่าสนองลายพระหัตถ์ และดำเนินการตามกฎมหาเถรฯรวมทั้งพระธรรมวินัยตามมติครม.เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ด้วย

ขั้นตอน ต่อไปจากนี้ก็คือ การนำเข้าสู่ กระบวนการนิคหกรรม ตามบทบัญญัติ ในพ.ร.บ.สงฆ์ได้กำหนดไว้ว่า ถ้ามีการลงโทษพระ หรือต้องปาราชิก ก็ให้ดำเนินการตามนั้น เรื่องนี้ กรมการศาสนา จะเป็นผู้กล่าวโทษต่อ พระสุเมธาภรณ์ วัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ต้องพิสูจน์กันออกมาว่า จะปาราชิกในประเด็นใดที่มีอยู่ 4 ประเด็น โดยให้เวลา กรมการศาสนา และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวบรวม ข้อมูลภายใน 10 วัน เพื่อนำไปสู่การกล่าวโทษ

นายอาคม กล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาเรื่องที่ดินนั้น เมื่อมหาเถรฯ มีมติไปแล้วให้เจ้าอาวาส หรือพระทั่วประเทศที่บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา ปฏิบัต ิในเรื่องการครอบครองที่ดินคือ ไม่ว่าจะเอาเงินวัด ไปซื้อ ด้วยการปิดบังซ่อนเร้น หรือมีคนบริจาคให้วัดโดยไปใส่ชื่อคนอื่นก่อน ถือว่า เป็นการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา กรมการศาสนา จะนำมติมหาเถรฯ เป็นหนังสือเวียน ไปยังวัดต่างๆ ทั่วประเทศให้ถือปฏิบัติ

พิภพ-สารัตถ์เครียดหนัก

ด้าน ความเคลื่อนไหว ที่กรมการศาสนาผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาได้มาทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่ จะเดินทาง ไปที่ทำเนียบรัฐบาลพร้อมกับนายสำรวย สารัตถ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเลขาธิการมหาเถรฯ เพื่อรายงาน มติมหาเถรฯ ให้ที่ประชมครม.รับทราบถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย ในขณะที่ ผู้บริหารคนอื่นๆ ในกรมต่างปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้า ให้ข่าวในเรื่องนี้เลย

กระทั่งเวลา 10.30 น. นายมานพ ผลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษระดับ 9 กรมการศาสนาได้ชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางของกฎนิคหกรรมว่า ในเบื้องต้น กรมจะดำเนินการไม่ได้ จนกว่า จะมีประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย มาเป็นโจทก์ฟ้องร้องว่านายไชยบูลย์ยักยอกทรัพย์ ที่ประชาชน บริจาค ซึ่งเข้าข่ายความเป็นปาราชิก แต่หากผู้เสียหาย ไม่มาความพร้อม ในการเป็นโจทก ์ก็ให้นำหลักฐานมาส่งมอบ ให้แก่นายอาคม เพื่อจะได ้เป็นโจทก์แทน จากนั้นจึงจะมีการยื่นฟ้องตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ว่าด้วยการนิคหกรรม

สึกได้ไม่ต้องรอผลนิคหกรรม

นายมานพกล่าวว่า เนื่องจากนายไชยบูลย์มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ต้องไปฟ้องที่เจ้าคณะจังหวัด และจะส่งเรื่อง เข้าสู่การพิจารณา ของคณะสงฆ์ผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วย เจ้าคณะจังหวัด พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พระราชปริยัติบดี วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 หากรับฟ้องและสอบสวนแล้ว นายไชยบูลย์จะถูกเรียกว่า ต้องอธิกรณ์ โดยการสอบสวน จะมีทั้งฝ่ายโจทก์ จำเลย และพยานมายืนยันกัน

ผลการพิจารณา ออกมาเช่นไรทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง สามารถอุทธรณ์ได้ที่คณะกรรมการชั้นอุทธรณ์คือเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งก็คือ สมเด็จ พระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม หรือหากไม่พอใจผล ที่ออกมาอีกก็สามารถฎีกา ที่มหาเถรฯได้

ต่อข้อถามที่ว่า สมัยอดีตพระยันตระนั้น มหาเถรฯเคยใช้กฎมหาเถรฯอีกฉบับ คือฉบับที่ 21 ว่าด้วยการให้ภิกษุสละสมณเพศให้สึกไปก่อน ระหว่าง การพิจารณาตามกฎนิคหกรรม นายมานพกล่าวว่า กฎมหาเถรฯฉบับที่ 21 นั้นเป็นการออกตามพ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 25 ถือเป็นการลงโทษ ตามสายงานปกครองคณะสงฆ์ แม้ว่าจะไม่ถูกลงโทษตามพระธรรมวินัยก็ใช้กฎข้อนี้ได้ เช่นในกฎมหาเเถรฯฉบับที่ 21 ข้อ 3 ระบุว่า เป็นภิกษุ ที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ไม่สังกัดวัดใดวัดหนึ่ง

ผิดธรรมวินัยเลียน"ยันตระ"

"ที่สำคัญใน(4) ของข้อเดียวกัน ระบุว่า ภิกษุที่ถูกนิคหกรรม มีคำสั่งประทับรับฟ้องเพื่อดำเนินการวินิจ ฉัยต่อไปของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ไม่ว่า จะลงนิคหกรรมหรือไม่ก็ตาม หรือเรื่อง อยู่ในกำหนดอุทธรณ ์ให้คณะผู้พิจารณชั้นต้น รายงานข้อเท็จจริงทางกฏหมาย และพระธรรมวินัย ที่เกี่ยวข้องต่อมหาเถรฯ และในกรณีที่มหาเถรฯเห็นว่าภิกษุรูปนั้นล่วงละเมิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ ทั้งพฤติกรรม ที่ล่วงมา หากให้ดำรงค ์เพศบรรพชิตต่อไป อาจจะเกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและคณะสงฆ์ มหาเถรฯ สามารถวินิจฉัย ให้พระรูปนั้น สละสมณเพศได้ โดยไม่กระทบต่อการวินิจฉัยลงนิคหกรรม"

นายมาณพ กล่าวต่อไปว่า กฏฉบับที่ 21 ที่กล่าวไปทั้งหมด อดีตพระยันตระเคยถูกลงโทษมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะระหว่าง ที่ถูกสอบ อธิกรณ์อยู่นั้น เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน จากผู้มาประท้วง ทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน ก่อเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา ประกอบกับ อดีตพระยันตระ ถูกร้องเรียนด้วยว่า เป็นผู้ผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณต์ คณะผู้พิจารณาขั้นต้น จึงเสนอต่อมหาเถรฯ ให้ถอดถอน จากการเป็น ภิกษุไว้ก่อน กรณีก็เข้าข่ายเช่นเดียวกัน หากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายๆกัน เหมือนเมื่อ การประชุมมหาเถรฯ ครั้งล่าสุด มีการจัดม็อบ มาต่อต้านมหาเถรฯ ก็ให้สึกได้ โดยไม่ต้องรอการพิจารณา ตามนิคหกรรมสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ผลการพิจารณาออกมาว่าไม่ผิดก็กลับมาเป็นพระได้ แต่ถ้าผลออกมาว่าสึกข้อหาปาราชิก จะกลับมา บวชเป็นพระใหม่ไม่ได้ และหากเข้า กฏกระบวนการทั้งกฏ 11 และ 21 แล้ว เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะต้องสึกภายใน 3 วันหลังจากที่ได้รับการวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม หากมีการพิจารณาตามกฏนิคหกรรมเมื่อไร ทางคณะสงฆ ์ควรที่จะพักการเป็นเจ้าอาวาส ไว้ก่อน กรรมการ จะได้สอบสวน ได้อย่างเต็มที่

สบช่องเผาทิ้งตำราธรรมกาย

นายมานพกล่าวว่า กรมการศาสนา จะรับหน้าที่ในการติดตามดำเนินการว่าวัดพระธรรมกายปฏิบัติขัดต่อมติมหาเถรฯด้วย ที่สำคัญ ที่สุด ในเรื่องของ การเผยแผ ่หลักคำสอนของทางวัด ที่ถูกกล่าวหาว่า ผิดจากพระไตรปิฎก ดังนั้น จึงไม่เพียงแต่ จะติดตามเรื่องน ี้แล้วส่งให ้เจ้าคณะภาค 1 ไปพิจารณา แต่สามารถติดตามหลักคำสอนและสื่อต่างๆ ของทางวัดที่ออกมา เพื่อนำเข้าส ู่คณะกรรมการสงฆ์ ที่ตั้งขึ้น ตามพ.ร.บ. กำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา พ.ศ.2527 กฏดังกล่าวเปิดช่องให้มีการตั้งคณะกรรมการการศึกษาสงฆ์ มีสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน แม่กองบาลีสนามหลวง อธิการบดีมหามกุฏฯ มหาจุฬาฯ อธิบดีกรมวิชาการ ปลัดกระทรวงศึกษา ฯลฯ เป็นกรรมการ และมีอธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขานุการ โดยเฉพาะใน ม.10 (4) ระบุว่า ให้มีอำนาจ ในการควบคุมดูแล การจัดการ ศึกษาวิชาการ พระพุทธศาสนา และป้องกันมิให้มีการเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยที่ผิดไปจากพระไตรปิฎก

ดังนั้น อธิบดีกรมการศาสนา จึงมีอำนาจในฐานะเป็นเลขานุการ ของคณะกรรมการชุดนี้ ที่จะเสนอ สื่อการสอนต่างๆ ของวัดพระธรรมกาย ให้ที่ประชุมพิจารณา หากกรรมการ พิจารณาแล้ว เห็นว่า วัดพระธรรมกาย สอนผิดจากพระไตรปิฎก ก็ยังมีอำนาจ ที่จะสั่งการ ให้เผา ทำลายสื่อ ของวัดพระธรรมกายที่ออกมาได้ นอกจากนี้ เมื่อผลวิเคราะห์ออกมาแล้ว ทางวัด พระธรรมกาย โดยเฉพาะเจ้าอาวาส ต้องถูกลงโทษ ในข้อหา ขัดต่อมติมหาเถรฯด้วย ซึ่งจะมีความผิดถึงขั้นให้ถอดถอนตำแหน่งเจ้าอาวาส

"ไชยบูลย์"ซื้อเวลาคืนโฉนด

ภายหลัง การเข้าชี้แจงกรณีวัดพระธรรมกายต่อคณะรัฐมนตรี นายพิภพ ได้เปิดเผยว่า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้กำชับ ให้กรมการศาสนา เร่งดำเนินการ ในเรื่องของการโอนที่ดิน เป็นของวัดให้เสร็จโดยเร็ว หากเป็นไปได้ให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งก็ได้มีการ ประสาน กับทางวัดพระธรรมกายแล้ว โดยในวันที่ 13 พ.ค.เวลา 11.00 น.วัดจะนำหนังสือ มอบอำนาจมาให้และก็จะมีการดำเนินการ โอนที่ดิน ในทันที

"คณะรัฐมนตรี ยังเห็นว่าในเรื่องการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั้น ควรให้มีตัวแทนสงฆ์หรือกรรมการมหาเถรฯร่วมด้วย เพราะเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวกับสงฆ์ ซึ่งเรื่องนี้ผมได้หารือกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.แล้วว่าขอให้ตั้งคณะทำงานประกอบด้วย คณะสงฆ์ และฆราวาส โดยใช้สถานที่ของกรมการศาสนาแถลงข่าว นอกจากนี้ ยังให้กรมการศาสนา ดำเนินการให้ข่าวสาร ข้อมูลเกี่ยวกับ อำนาจหน้าที่ของกรม ของมหาเถรฯ วิ นัยสงฆ์และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนรับทราบด้วย นับจากวันนี้จนถึงวันที่ 20 พ.ค.กรมการศาสนา จะตั้งศูนย์รับร้องเรียน กรณีของวัดพระธรรมกาย จากประชาชนทั่วไป ที่สำนักงานเลขาธิการมหาเถรฯ โทร.2812642 และโทร. 2822457 เพื่อรวบรวมข้อกล่าวหาทั้งหมด ซึ่งผู้ร้องเรียน จะต้องมีหลักฐานชัดเจน มีความประพฤติดี มีศีลธรรม และมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนที่มีข่าวว่า จะมีการล่ารายชื่อเพื่อขับไล่นายไชยบูลย์นั้น ก็คงว่ากันไปอีกทางคงต้องรอให้เรื่องนี้มาถึงเสียก่อน

ใช้อำนาจพิเศษสั่งสึก

ด้าน นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า หลังจาก ที่มีการเปิดศูนย์ฯแล้ว แล้วทางกรมการศาสนา จะรวบรวม เอกสารทั้งหมด หากมีโจทก์ชัดเจนก็สามารถฟ้องร้องได้ แต่ถ้าไม่มีประชา ชนเป็นโจทก์ ทางกรมการศาสนาจะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอง ส่วนจะใช ้กฎมหาเถรฯฉบับที่ 21 ซึ่งเคยใช้ในกรณีของนายวินัย ละอองสุวรรณ หรือพระยันตระที่ให้สึกไปก่อนจะได้หรือไม่นั้น ไม่ทราบ ต้องศึกษา ในรายละเอียดก่อน

นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นักวิชาการในกรรมาธิการการศาสนา ฯ กล่วว่า มติมหาเรถฯ เป็นการใช้อำนาจศาลพระ แทนการใช้อำนาจปกครองสงฆ์ พระ ต้องทำตาม กระบวนการนิคหกรรม ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน และอาจจะนานกว่า กรณีอดีตพระยันตร เพราะมีผู้เกี่ยวข้องมาก มีพยานมาก ที่ดินก็หลายจังหวัด และมีเรื่องอื่นที่ต้องพิจารณาไม่เฉพาะที่ดิน

ส่วนการร่น ระยะเวลา ให้สั้นลงได้หรือไม่นั้นอยู่ที่กรมการศาสนา โดยขั้นตอนการฟ้องร้องทำได้ 2 ส่วนคือผู้เสียหายฟ้องร้องเอง หรือพลเมืองด ีเป็นผู้กล่าวหา เพื่อให้มีการดำเนินการ การฟ้องร้อง พระราชาคณะ ต้องเริ่มที่เจ้าคณะจังหวัด เพื่อพิจารณาสำนวนส่งไปยังเจ้าคณะภาค และรองเจ้าคณะภาคต่อไป

กรณีนี้ มหาเถรฯ ยังสามารถใช้กฎมหาเถรฯว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ให้สึกไว้ก่อนเหมือนกรณีของอดีตพระยันตระก็ได้ ขึ้นอยู่กับ มหาเถรฯ ที่ต้องมีมติออกมา โดยเฉพาะ กรณีที่เห็นว่า เป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยก

นายสมพร เทพสิทธา สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติในพระบรมราชูป ถัมภ์ เปิดเผยว่า จะขอทำหน้าท ี่เป็นตัวแทน ของชาวพุทธในการเป็นโจทก์ฟ้องนายไชยบูลย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีภายใน 3-4 วัน ขณะนี้ อยู่ระหว่างการยกร่างคำฟ้อง เชื่อว่าภายใน 1 เดือนทางมหาเถรฯจะสามารถดำเนินการจับสึกนายไชยบูลย์ได้ เพราะหลังจาก ฟ้องต่อ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีแล้ว จะต้องรายงานต่อให้เจ้าคณะภาค 1 และก็จะมีการรายงานต่อมหาเถรฯ เพื่อให้พิจารณา และมีมติออกมา ตามกฎมหาเถรฯ ฉบับที่ 21 ซึ่งไม่จำเป็น ต้องรอการพิจารณา ตามกฎนิคหกรรม

"ไชยบูลย์"ทำลายศาสนาชัด

นายสมพรกล่าวว่า ขณะที่ เป็นที่ปรากฎชัดแล้วว่านายไชยบูลย์มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพุทธศาสนา และทำให้ ชาวพุทธ เกิดความแตกแยก รวมถึง มีคำสั่งสอน ที่กระทบต่อรากแก้ว ของพระพุทธศาสนา มีความผิดถึงขั้นอนันตริยกรรม จึงขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ รอกระบวนการ ตามนิคหกรรมและมติของมหาเถรฯ เพราะทุกฝ่ายให้การยอมรับในลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช ไม่เช่นนั้น จะถือว่า ไม่ให้ความเคารพ จะต้องมีโทษตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามต้องรอให้มหาเถรฯพิจารณาตามกฎนิคหกรรมก่อน

"การฟ้องร้อง นายไชยบูลย์ครั้งนี้จะต้องมีการรวบรวมหลักฐาน พยานวัตถุ ีวมถึงเทปวีดิโอเทศน์ หนังสือคำสอนประกอบการยื่นฟ้องร้องด้วย เนื่องจาก เห็นว่านายไชยบูลย์ทำผิดต้องปาราชิก 2 ข้อคือ 1.ขั้นฉ้อโกงทรัพย์ และ2.การอวดอุตริมนุสสธรรม ชอบอวดอ้างตัวเองว่า เป็นต้นธาตุต้นธรรม ซึ่งจะมีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นได้ รวมถึงการอวดอ้างอิทธิปาฏิหารย์ด้วย"

ขอ 2 วันสอบเรื่องที่ดิน

ด้านนายอาคม กล่าวอีกครั้งว่า ครม.ได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกาย จึงได้ให ้อธิบดีกรมการศาสนา รายงาน ถึงสถานการณ์ ในการประชุมมหาเถรฯ ซึ่งมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และได้ข้อสรุป เพื่อให้กรมการศาสนา ไปดำเนินการ อย่างชัดเจนใน 2 เรื่องคือ 1.เรื่องที่ดิน ซึ่งพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รมว. มหาดไทย ได้มอบอำนาจให้กรมที่ดินเป็นผู้ประสานโอนที่ดินของวัด โดยจะเร่ง ดำเนินการ ให้เสร็จภายใน 7 วัน 2. เรื่องที่ประชาชนไม่เข้าใจการปาราชิกของเจ้าอาวาส

ผู้สือข่าวถามว่า จะใช้เวลาเท่าใดในการพิจารณาว่าจะปาราชิกหรือไม่ นายอาคมกล่าวว่า คงกำหนดเวลาไม่ได้ แต่เริ่มต้นที่ 10 วันก่อน โดยรวบรวมข้อมูล และกล่าวหา จากนั้น รอฟังคำพิพากษา โดยระหว่างนั้น วัดก็สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ สำหรับ ข้อมูล ของกรมการศาสนานั้น ส่วนใหญ่เป็นตำรา เพราะในครม.มีการพูดกันมากว่าถ้าจะกล่าวหาเรื่องพระธรรมวินัยด้วย โดยเฉพาะ เรื่องการอวดอุตริฯ ต้องให้คณะสงฆ ์เป็นผู้ชี้ว่าผิดหรือไม่

นอกจากนั้น ก็ยังมีกรณีที่ปาราชิกได้อีกเรื่อง คือ เรื่องการลักทรัพย์หรือการฉ้อโกงที่ดิน สมมุติว่ามีคนนำที่ดินมาให้วัด แต่กลับ ไม่มีการโอนชื่อ เข้าวัดไปเข้าชื่อเจ้าอาวาสก็ต้องมีการไต่สวน ต้องมีโจทก์ โดยขณะนี้ กรมการศาสนา ได้รวบรวมข้อมูล ทั้งจากกรมที่ดิน และจากวัด มาเปรียบเทียบกัน และรายงานให้ครม.ทราบ แต่จะให้สรุปว่ามีเกินกว่าที่แจ้งหรือไม่นั้น ตอบไม่ได้เพราะพึ่งได้รับข้อมูลมา 1-2 วัน แต่จะตรวจสอบ ในประเด็นนี้

โอนที่ดิน 7 วันให้เสร็จ

นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตร ีเปิดเผยว่า ครม.ใช้เวลาในการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกายนานเกือบ 1 ชั่วโมง เนื่องจาก ให้นายอาคม และอธิบดีกรมการศาสนาชี้แจงอย่างละเอียด จึงพบว่า ความสับสน ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการพิจารณาลายพระหัตถ์ฯนั้น เนื่องจาก นายพิภพแถลงข่าว ทำให้เกิดความสับสนว่ามหาเถรฯไม่สนองตามลายพระหัตถ์ ซึ่งก็ได้สั่งการ ให้ไปชี้แจงทำความเข้าใจ กับประชาชน ให้กระจ่างชัด ยืนยันว่าฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายไม่มีความขัดแย้งกัน

ส่วนเรื่องการโอนที่ดินนั้น นายพิภพชี้แจงว่าจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน 3-4 เดือน เนื่องจากทางวัดขอเวลามา ที่ประชุมครม. จึงให้ไปเจรจา กับทางวัดมอบอำนาจมาให้ และประสาน กับกระทรวงมหาดไทย คือกรมที่ดินเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการโอน ทั้งหมด น่าจะเสร็จได้ภายใน 7 วัน นานที่สุดก็ไม่น่าจะเกิน 14 วัน ส่วนมติมหาเถรฯ ที่ห้ามพระภิกษ ุถือครองที่ดินทั่วประเทศนั้น ก็ได้สั่งการ ให้กรมการศาสนา มีหนังสือเวียนไปยังทุกวัด เพื่อให้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกับมติมาหเถรฯด้วย

ซัด"พิภพ"ทนาย"ไชยบูลย์"

ผู้สื่อข่าว รายงานบรรยากาศการประชุมครม.ว่า มีรัฐมนตรีผลัดกันซักถามกรณีปัญหาวัดพระธรรมกายอาทิ นายสุทัศน์ เงินหมื่น รมว.ยุติธรรม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รมว.คมนาคม นายประจวบ ไชยสาส์น รมว. ทบวงฯ นายวัฒนา อัศวเหม รมช.มหาดไทย สลับกับ มีการชี้แจงของรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในประเด็นต่างๆ อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รมว.หมาดไทย ได้ชี้แจง เรื่องของการโอนที่ดิน ว่าใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้นไม่ใช่ 3-4 เดือนอย่างที่กรมการศาสนารายงานครม. เพราะได้กระจายอำนาจให้แก่อธิบดีกรมที่ดินไปแล้ว

นายสุเทพ ได้ติติง บทบาทของกรมการศาสนาด้วยว่า ไม่พยายาม ให้สื่อมวลชนเข้าพบ และสัมภาษณ์กรรมการมหาเถรฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ในปัญหาต่างๆ และขั้นตอนการดำเนินการกระบวนการสงฆ์ แต่กลับนำเรื่อง ที่ไม่เข้าใจ อย่างถ่องแท้มา แถลงข่าวเสียเอง ทำให้เกิดความสับสน นายชวนยังตำหนิด้วยว่ากรมการศาสนาทำตัวเป็นทนายจำเลยแทนที่จะเป็นทนายโจทก์ทนายแผ่นดิน ทำให้รัฐบาล ถูกมองไปว่า อุ้มนายไชยบูลย์

เสธ.หนั่นฉะกรมการศาสนา

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยเห็นว่า ควรมีบทบาทเป็นทนายให้โจทก์ ไม่ใช่ทำหน้าที่ ชี้แจงเสียเอง และมีการซักถาม เรื่องการโอนที่ดิน ของนายไชยบูลย์ให้เป็นของวัดว่า ทำไม จึงต้องใช้เวลาโอน นานถึง 3 เดือน ซึ่งก็ได้ชี้แจงไปว่าได้มอบอำนาจให้กรมที่ดินดำเนินการหมดแล้ว ใครต้องการโอนโฉนด สามารถทำได้ และเสร็จภายใน 1-2 วัน ไม่ใช่ 3 เดือน ดังนั้นจึงไม่ได้ช้าที่กรมที่ดินแต่ช้าเพราะนายไชยบูลย์ ยืนยันว่า กรมที่ดิน สามารถโอนโฉนดทั้งหมด 73 แปลงให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์

บก.สส.จี้สมช.จัดการธรรมกาย

แหล่งข่าว จากกองบัญชาการทหารสูงสุดเปิดเผยว่า ปัญหาวัดพระธรรมกายนั้นทหารคงไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้เพราะจะเป็นการก้าวก่าย อย่างมาก ก็แค่ทำสรุปรายงานผู้บังคับบัญชาให้ทราบ ซึ่งก็ได้รายงาน ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดทราบแล้ว และได้ส่งเจ้าหน้าท ี่ไปถวายการดูแล รักษาความปลอดภัยสมเด็จพระสังฆราชเพิ่ม จากเดิมที่มีอยู่ 6 นาย หลังมีโทรศัพท์ข่มขู่

"ตอนน ี้ก็ได้แต่หวังว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาดูเสียที เพราะเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยตรง โดยอาจ จะวิเคราะห์เรื่องนี้ ร่วมกัน ระหว่างหน่วยข่าว กับกระทรวงศึกษาฯ กรมการศาสนา ที่ผ่านมา ทำกันเฉพาะ กรมการศาสนา กับกระทรวงศึกษาฯเท่านั้น ข้อมูลอาจจะไม่รอบคอบหรือเอนเอียงไปบ้าง หากมีหลายหน่วยงาม ร่วมวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได ้ก็จะชัดเจน เป็นกลางมากขึ้น"

"ชวน"สั่งฟัน 2 ข้อหา

รายงานข่าว จากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ท่าทีของรัฐบาล แน่ชัดแล้วจะให้จัดการกับ วัดพระธรรมกายอย่างเด็ดขาด และผลักดัน ให้เป็นไปตามลายพระหัตถ์ โดยสงฆ์ต้องจัดการกันเอง เพราะในอดีต ได้เคยมีบทเรียน กรณีพระพิมลธรรม ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งจับสึก แต่ภายหลัง พบว่าพระพิมลธรรมไม่มีความผิด

"คำสั่งของนายกฯ คือต้องหาหลักฐานเสนอให้มหาเถรฯตัดสินภายใต้เวลาที่ไม่นานนัก ใน 2 ข้อหา คือการนำเงินบริจาคไปซื้อที่ดิน เพราะมีหลักฐานชัด ว่าได้นำเงินที่ได้ขณะเป็นพระไปซื้อที่ดินหลายแปลง โดยเฉพาะ ที่เพชรบูรณ์-พิจิตร-ปทุมธานี และนนทบุรี นับพันไร่ เป็นเงินหลายสิบล้านบาท และใส่ชื่อนายไชยบูลย์เป็นผู้ซื้อไม่ใช่การบริจาคด้วย อีกข้อหาที่ 2 คือการอวดอุตริมนุสธรรม หรือการอวดวิเศษ ไม่มีในตัวเอง โดยปรากฎหลักฐานชัด ทั้งเทปคำสอน และเอกสารเผยแพร่ที่นายไชยบูลย์สอนนิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นสถานที่ และมีธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า และของพระอรหัตน์ สูง 20 วา กว้าง 20 วาไปตั้งอยู่ "

รายงานข่าว กล่าวอีกว่า ในการประชุมมหาเถรฯเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมานายอาคมติดต่อกับนายพิภพ ตลอดเวลา โดยเฉพาะ เมื่อมีการประชุม มหาเถรฯ ผ่านไปแล้วก็ได้สอบถามว่า มีการพิจารณา ถึงเรื่องลายพระหัตถ์อย่างไร ปรากฎว่ายังไม่มีการพิจารณา นายอาคม จึงสั่งการให ้นายพิภพเสนอเรื่องดังกล่าว พร้อมกับขอให้มหาเถรฯตั้งคณะกรรมการ 3 คน ประกอบด้วยพระเถระ 2 รูป และอธิบดีกรมการศาสนา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเพื่อสนองลายพระหัตถ์ แต่ที่ประชุมไม่ได้มีการพิจารณาถึงข้อเสนอดังกล่าว

ตั้งศูนย์กำจัด"ไชยบูลย์"

นายปรีดา เรืองวิชาธร ผู้ประสานงาน คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา เปิดเผย องค์กรพัฒนาเอกชน ทางด้านศาสนา ได้ร่วมกับ องค์กรชาวพุทธ จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจกรณีธัมมชโยขึ้น เพราะมหาเถรฯ หรือกระทรวงศึกษาธิการ ไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อีก จึงเห็นพ้องกันว่า เรื่องของนายไชยบูลย์ ควรเป็นหน้าที่ของชาวพุทธในการร่วมกันปกป้องศาสนา และขยายผลให้ขยายออกไปทั่วทั้งประเทศ เพื่อคว่ำบาตร ไม่ถือว่านายไชยบูลย์ เป็นพระในพุทธศาสนาอีกต่อไป และสุดท้าย ร่วมมือกับองค์กร เครื่อข่ายชาวพุทธ เพื่อให้มีการปฏิรูป การปกครองสงฆ์ อาทิ เตรียมรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 คน เพื่อเสนอร่าง กฏหมายปฏิรูปการปกครองสงค์ ตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ ช่วงน ี้ทางศูนย์ฯยังมีกิจกรรมย่อยขึ้น อาทิจัดทำสติกเกอร์คว่ำบาตรธัมมชโย เผยแพร่แก่ผู้สนใจ และจัดสัมมนา ถึงเวลาปฏิรูป การปกครองสงฆ์ บทเรียนจากกรณีธัมชโย ในวันที่ 13 พ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 9 ตึกเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สติกเกอร์ ที่ทำขึ้น ศูนย์จะทำแจกจายประชาชนทั่วไป ติดต่อขอรับได้ที่ศูนย์และวัดสวนแก้ว แต่ถ้าจะมี องค์กรอื่นประสงค์ทำแจกจ่ายด้วย ก็จะเป็นเรื่อง น่ายินดี โดยทางศูนย์เฉพาะกิจ จะใช้ข้อความ ในสติกเกอร์ว่า "เอาธัมมชโยคืนไป เอาพระธรรมวินัยคืนมา "และ"ปกป้องสังฆมณฑล ให้ปลอดพ้นธัมมชโย"

มือกม.รัฐย้ำโล้นห่มเหลือง

ด้านนายปรีชา สุวรรณทัต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ มือกฎหมายของพรรคเปิดเผยว่า มติของมหาเถรฯ มีความชัดเจน ในประเด็น ที่ระบุว่าลายพระหัตถ ์ที่ให้ปาราชิกมีความถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมาย และพระธรรมวินัย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ที่สำคัญขณะนี้ ต้องถือว่าสถานภาพของนายไชยบูลย์นั้นปาราชิก หรือขาดจากความเป็นพระสงฆ์ เหลือเพียงขั้นตอน ของการสึก หรือนำผ้าเหลือง ที่ครองไว้ออกเท่านั้น "เรื่องมติมหาเถรฯที่ชี้ไม่ชัดเจนออกมาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากขณะนี้ ต้องไปดู โครงสร้าง ขององค์ประกอบ พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่ขณะนี้ ทุกคนต้องปฏิบัต ิให้เป็นไปตาม ลายพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสังฆราช"

"สภาทนาย"ฟ้องพระปลอมได้

นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ พร้อมคณะ กรรมการเฉพาะกิจ กรณีวัดพระธรรมกาย แถลงว่าการที่พระ นำเอาทรัพย์ผู้อื่น เป็นของตัว ทางพระ ถือว่าปาราชิกแล้ว แม้จะนำมาคืน ก็สามารถ ฟ้องเป็นพระปลอม ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนกรณี ที่อ้างว่า ที่ดินที่ได้รับมาได้รับบริจาคส่วนตัว ขณะนี้สภาทนายความ ได้รับการ ร้องเรียน จากผู้เสียหายว่า ได้บริจาค ที่จ.สุพรรณบุรีจำนวน 3 ไร่เศษ ราคาประเมินไร่ละประมาณ 1 ล้านบาท โดยมอบ ให้วัดพระธรรมกายปี 2539 แต่กลับไปทำ เป็นสัญญา ซื้อ-ขาย ทั้งที่ไม่ได้มีการทำกันจริง และไปโอนให้มูลนิธิธรรมกายไม่ใช่เป็นชื่อวัด และก็ไม่ได้ชำระเงิน ไม่ตรงกับเจตนาผู้บริจาค สภาทนายความ กำลังรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการต่อไป และกรมการศาสนาต้องเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจัง ตั้งแต่เริ่ม ก่อตั้งวัด มีรายรับ รายจ่ายอะไรบ้าง เงินถูกใช้จ่ายเรื่องอะไร ที่ดินใส่เป็นชื่อใคร ต้องพิสูจน ์ที่มาของเงินทุกบาททุกสตางค์ ไม่ให้เกิดความเคลือบแคลง และเป็นหน้าที่ ของพนักงานสอบสวน เพื่อความชัดเจน และควรจะปรับปรุงกฎนิคหกรรมที่ล่าช้า เป็นเรื่องฝ่ายรัฐบาล และนิติบัญญัต ิที่จะทำได้

หากกรมการศาสนา พนักงานสอบสวนหรือผู้เสียหายพบการกระทำผิดก็สามารถดำเนินการตามมาตรา 29 ของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ว่าภิกษุใด ทำความผิดคดีอาญา พนักงานสอบสวน ก็สามารถ สั่งสึกได้ รวมถึงในมาตรา 30 หากต้องโทษจำคุกก็ให้สึกได้ก่อน ซึ่งสภาทนายความ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือหากมีผู้เสียหายต้องการ

"การใช้กฎนิคหกรรม มองได้สองด้านคือลดกระแส กับการสร้างความรุนแรงให้เกิดการเผชิญหน้ากัน โดยกรมการศาสนาทำงานช้า อาจถูกมองว่า มีผลประโยชน์เบื้องหลัง ซึ่งตัวเลขไม่ใช่น้อย ๆ เพราะมีธุรกิจ แอบแฝง ในศาสนามากมาย และเรื่องที่ดิน ต้องตรวจสอบว่า เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ได้เงินถูกต้องหรือไม่ คนที่มีเงินเป็นพันไร่ ราคาพัน ๆ ล้านอธิบายไม่ได้เลยน่าคิดเหมือนกันว่าเป็นเงินบริจาคหรือไม่ เราคง เข้าร่วม ตรวจสอบได้ และอาจมีหนังสือมอบฉันทะไปบอกเจ้าของทีดินให้ลงชื่อไปก่อน พื่อตรวจสอบรังวัดที่ดิน แต่กลับเอาไปขายเลย คนที่บริจาค อาจไม่ได้ดู อาจลงชื่อในแบบฟอร์มเปล่า แล้วเอาไปใช ้ผิดวัตถุประสงค์"

นายสัก กล่าวอีกว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือกรณีลายพระหัตถ์ต้องตีความว่าเป็นพระบัญชาที่ใช้อำนาจตามมาตรา 8 ของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ หรือไม่ โดยหากเป็นไปตามมาตรา 8 ก็สามารถ จัดการ เรื่องพระปลอมได้ ไม่ต้องผ่านมหาเถรฯ เพราะพระองค ์ทรงชี้ว่า เป็นพระปลอม ทางด้านพระธรรมวินัยแล้ว จะสึกหรือไม่เป็นอีกเรื่องที่ต้องเข้ากฎนิคหกรรม แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเป็นพระปลอม ก็สามารถ แจ้งความจับได้

ลายพระหัตถ์เป็นพระบัญชา

นายสุทัศน์ เงินหมื่น รมว.ยุติธรรมกล่าวว่าลายพระหัตถ์ อาจถือว่าเป็นพระบัญชาให้ดำเนินการกับวัดพระธรรมกายได้ เพราะ สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ และทรงตราบัญชาพระสังฆราช โดยไม่ขัดแย้ง ต่อกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรฯ เป็นไปตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.�2505 มาตรา 8 ชอบ ที่คณะสงฆ์ จะดำเนินการ ให้เป็นตาม พระบัญชาดังกล่าว

หากต้องกระทำผิด ฐานยักยอก อันเนื่องจากการเบียดบังที่ดนิของวัด ก็เท่ากับต้องโทษปาราชิก ในฐานะลักทรัพย์ ซึ่งต้อง มีการลงโทษ ตามพระธรรมวินัย หรือที่เรียกว่ากฎนิคหกรรมตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 หมวด 4 และต้อง พิจารณา ประกอบกับ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ซึ่งจะไม่มีการสบสวนความผิดดังเช่นคดีอาญา แต่จะมีการ ไต่สวนมูลฟ้อง ทันที

นายทินกร รัตนกุสุมภ์ เลขานุการฝ่ายคฤหัสถ์ในองค์สมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่าคิดไว้แล้วผลการประชุมมหาเถรฯต้องออกมาเช่นนี้ เหมือนกับ การโยนให้ศาลตัดสิน ให้สำนวนอ่อนลง ซื้อเวลา ถ้ายืดเวลาออกไป จะเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง อยากให้ ชาวพุทธทั่วประเทศ ออกมาช่วยเหลือ พระศาสนา ที่กำลังบอบช้ำ ที่ผ่านมา ไม่เคยปราฎมา ตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า สมเด็จพระสังฆราช จะถูกลบหลู่อย่างนี้ ขอให้ชาวพุทธ ใช้วิจารณญาณ ตัดสินเอง

"พิภพ"หารือสมเด็จเกี่ยวเครียด

กระทั่งเวลา 17.00 น.นายพิภพ พร้อมด้วยนายสุทธิวงศ์และนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.พุทธมณฑล ได้เดินทางเข้าพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาส วัดสระเกศ และได้มีการนำ เอกสาร ปึกใหญ่ไปด้วย โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงได้เปิดเผยว่า เดินทาง มารายงานให้ทราบว่า ได้รายงานมติมหาเถรฯให้ครม.รับทราบแล้ว รวมทั้ง ข้อแนะนำ ของครม. โดยเฉพาะภายหลังการประชุม มหาเถรฯ ทุกครั้ง จะมีการแถลงข่าวด้วยกัน ทุกครั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจหากมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสงฆ์ และยืนยันว่า ทางกรมการศาสนา จะเปิดศูนย์ รับเรื่องราวร้องทุกข ์เพื่อรวบรวมหลักฐาน เป็นโจทก์พ้องนายไชยบูลย์แน่นอน

พระธรรมปิฎกชี้ต้องระบุความผิด

พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) กล่าวว่า เมื่อมหาเถรฯมีมติเช่นนี้กรมการศาสนาและนายอาคมต้องทำให้ชัดเจนว่าเอาจริงหรือไม่ ที่ผ่านมา การแสดงออก ต่าง ๆ ดูเหมือนว่าทำให้เกิดความคลางแคงใจต่อมหาเถรฯหลายอย่างเช่นดูพยายามทำปัญหาให้คลุมเครือไว้ รอไปกว่า เรื่องจะเลือนหายไป,มีอาการคล้ายจะหลีกเลี่ยงการแก้ปัญหา หวังให้คนอ่อนระอาเลิกไป,มีท่าทีรู้สึกว่าเหมือนจะหาช่องทางช่วยเหลือ หรือเอื้อ ประโยชน์ ให้วัดพระธรรมกาย ไม่ต้องแก้ปัญหา และทำให้สงสัยว่ามีอะไรสักอย่างที่เห็นว่าสำคัญกว่าพระธรรมวินัย

ความรู้สึก เคลือบแคลงเหล่านี้สำคัญมาก ควรทำให้กระจ่างเพราะถ้าเคลือบแคลงต่อมหาเถรฯแล้วจะรู้สึกไม่ดีต่อพระสงฆ์ทั้งหมด พระผู้บริหาร ต้องรับผิดชอบต่อศาสนาส่วนรวม ยิ่งมีข่าวเรื่องลาภผลเข้ามาความรู้สึกไว้วางใจก็เลยหายหมด พระผู้บริหาร น่าแสดงท่าท ีให้ชัดเป็นขั้น ๆ ว่า ในเรื่องนี้พระธรรมวินัยว่าอย่างไร จากนั้นพระรูปนั้นหรือบุคคลนั้นทำผดจะดำเนินการวินิจฉัยได้อย่าง ๆ ก็ประกาศออกมา

"ที่สำคัญ เมื่อมองแล้ว เห็นว่าจะเกิดปัญหาก่อตัวที่ไหนก็ต้องเร่งป้องกันตั้งแต่เรียกหาข้อมูล สืบสาวราวเรื่อง สั่งการให้แก้ไข ไม่ใช่ปล่อยให ้ปัญหาใหญ่โต ฉาวโฉ่แล้วรอให้คนยกปัญหาขึ้นมากดดัน หากทางหลีกไม่ได ้แล้วจวนตัว หลบไม่ไหว จึงทำอะไร พอให้เห็นว่า จะแก้ปัญห ผ่านไปที ๆ ขณะน ี้นอกจากจะสูญเสียความไว้วางใจแล้ว ประชาชนกำลังหมดหวังกับผู้ปกครองทั้งคณะสงฆ์และบ้านเมือง บ้างท้อแท้ บ้างก็ฮึด ที่จะออกไป ในทางรุนแรง เป็นเรื่องอารมณ์ที่เสี่ยงอันตราย"

ศาสนาพุทธ ได้รับยกย่องเป็นศาสนาแห่งสันติและอหิงสา แก้ได้ด้วยวิธีการแห่งปัญญาไม่ใช่ความรุนแรง ชาวพุทธต้องก้าวขึ้นสู่ภาวะจิตที่สงบ สมดุลด้วยดุลยภาพ แห่งอุเบกขา และระดมปัญญามาแก้ไข ถึงเวลา ที่จะพิสูจน ์ความเป็นชาวพุทธ ด้วยความมีสามัคค ีร่วมกันแก้ปัญหา ในการรักษาพระธรรมวินัย