"สมเด็จ พระสงฆราช "ทรงประชวร แพทย์สั่งห้าม ประชาชนเข้าเฝ้าเด็ดขาด สั่งคุ้มกันสมเด็จพระสังฆราชเต็มที่ หวั่นพวกโรคจิต โทรศัพท์ขู่ วัดฉาวรวมพลเรือนหมื่น สร้างภาพศรัทธาแน่น "2 พระฉาว" เย็บปากแน่นไม่กล้าพูด เรื่องพระลิขิตแม้แต่นิดเดียว เอาแต่บอกบุญเรี่ยไรเงิน จัดสร้างสภาธรรมกายหลังใหม่ คุยเขื่องบวชสามเณรภาคฤดูร้อนได้ผล หลายคนศึกษา "พระแท้" แล้วไม่ยอมสึกกลับไปเรียนหนังสือ ศิษย์ใกล้ชิด "พระสังฆราช" แจงเหตุ ออกพระลิขิตระบุให้ดำเนินการ "ธัมมชโย" ชี้ไม่ต้องการให้วัดเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่คนทำผิดไม่รู้สำนึก และยอมสึกออกไปเพื่อรักษาชื่อเสียงวัด กลับตอบโต้ว่าไม่ได้พิจารณาโทษวัดฉาว สาวกวัดฉาว สันดานออกกลุ้มรุมทำ ร้ายนักข่าว อ้างเสนอข่าวบิดเบือน ไม่เข้าข้างวัดพระธรรมกาย 172 องค์กรพุทธฉุนมหาเถรฯ ระบุชัดไม่ดำเนินการ พระปลอมจะจี้จับสึกกรรมการมหาเถรฯ เอง

หลังจากที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตชี้ความผิด ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) ออกมาถึง 4 ฉบับว่าต้องอาบัติปาราชิก ในฐานะฉ้อโกง ลักทรัพย์ นำที่ดินของวัดมาเป็นของตัวเอง และถือเป็นพระปลอม ที่เอาผ้าเหลืองมาห่ม แต่ทว่ากรมการศาสนากลับดึงเกม ให้ยืดเยื้อโดยจะเสนอ พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา และจะส่งเข้า ที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น

วัดฉาวนัดสาวกชุมนุมเรือนหมื่น

ผู้สื่อข่าว รายงานบรรยากาศ ที่วัดพระธรรมกายช่วงเช้าวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า มีผู้มาปฏิบัติธรรม และญาติโยมเดินทางมา ที่วัดค่อนข้างจะหนาตาประมาณ 10,000 คนเศษ โดยทางวัด ได้สั่งการให้เจ้าหน้าท ี่รักษาความปลอดภัย ตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้สื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์บางฉบับ เข้าไปทำข่าวภายในวัด อาทิ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มติชน สยามรัฐ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นต้น พระไชยบูลย์ ธัมมชโยได้ลงมาแสดงธรรมเทศนา ด้วยตนเอง เมื่อเวลา 09.30 น. ซึ่งไม่ได้มีการพาดพิงถึงกรณีต่าง ๆ ที่เป็นข่าวนี้แต่อย่างใด กระทั่งเวลา 11.00 น. พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาส จึงได้ขึ้นแสดงธรรมต่อ

นอกจากนี้ทางวัด ยังได้มีการเชิญชวน ให้ประชาชนบริจาคเงินร่วมในงานผ้าป่าวันวิสาขบูชา เพื่อนำมาเป็นค่าก่อสร้างหลังคา สภาธรรมกายหลังใหม่ โดยมีนายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นแกนนำ คณะกรรมการดำเนินงาน ทอดผ้าป่า ซึ่งผู้ที่บริจาคเงิน 1,000 บาท จะได้รับดวงแก้วมณีโชตรสขนาด 1 ซม. 1 ดวงเป็น การตอบแทน รายงานระบุด้วยว่า ทางวัดได้มีการนำรูปปั้นหลวงพ่อสด ขนาดความสูง 12 นิ้ว มาตั้งไว้ในสภาธรรมกาย และมีแท่นขนาด 1 เมตร จำนวนไม่ต่ำกว่า 10 แท่นตั้งเรียงราย เมื่อสอบถามเจ้าหน้าท ี่ทราบว่า รูปปั้นเหล่านี้จะนำมามอบ ให้แก่ผู้ทำบุญ ที่ร่วมกันบริจาคทำบุญให้แก่วัดไว้เป็นที่ระลึก

พระปลอมเขื่องสามเณรไม่ลาสึก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่พระไชยบูลย์เทศนŒนั้น ได้กล่าวถึงเรื่องของหนังสือพระแท้ ที่เขียนโดย พระภาวนาวิริยคุณ รองเจ้าอาวาส โดยระบุว่าส่วนใหญ ่ผู้ที่ได้อ่านและศึกษาหนังสือ พระแท้นั้นจะเกิดความปลื้มปีติ ผลต่อเนื่องส่วนหนึ่งก็คือสามเณรส่วนหนึ่ง ที่มาบวชภาคฤดูร้อนซึ่งมีกำหนด ต้องลาสิกขาบท เพื่อออกไปเรียนต่อนั้น ปีนี้มาแปลกหลายคน ที่ไม่ยอมลาสิกขาบท เพราะต้องการเป็นอย่าง พระแท้บ้าง แม้ว่าจะมีผู้ปกครองมาขอให้สึก ก็ตามที นับว่าเป็นบุญกุศลส่งให้พระเณรเหล่านี้ได้ศึกษาพระแท้ในสามัญและผลสูตร นอกจากนี้ยังเชิญชวนให้ ประชาชนร่วม ทำบุญในกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดต่อไป จากนั้นก็ให้ผู้มาปฏิบัติธรรมได้ร่วมกันนั่งสมาธิ

ด้านพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสฯนั้น ได้กล่าวกับผู้มาปฏิบัติธรรมว่า การบวชสามเณรภาคฤดูร้อนนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นอย่างมาก เพราะหลังการฝึกอบรมแล้วมีสามเณรจำนวนไม่น้อย ที่จะไม่ลาสิกขาบทออกไป เพราะได้ศึกษาพระแท ้อย่างละเอียดและอยากจะเป็นเช่นนั้นบ้าง นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งว่า จะมีสามเณร มาบวชเพิ่มเติมมากขึ้นในครั้งต่อไป ทางวัดจึงได้เตรียม ที่จะสร้างสภาธรรมกายหลังใหม ่เพื่อรองรับ จึงขอบอกบุญ ให้ผู้มาปฏิบัติธรรม ได้ร่วมกันบริจาคเงินสร้างด้วย

ไม่เชื่อว่าเป็นพระลิขิตของจริง

จากการสอบถามผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ที่วัดพระธรรมกายถึงกรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชนั้น นายวินัย แซ่อึ้ง อายุ 45 ปี ซึ่งมาปฏิบัติธรรม เป็นประจำนั้นกล่าวว่า เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ราว 5 ปีเศษแล้ว ข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้พระเถระชั้นผู้ใหญ ่เกิดความไขว้เขวได้ อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าทางวัด ก็ได้เตรียมที่จะปฏิบัติตาม ที่มหาเถรฯมีมติมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ในขณะที่นางสุธีรา วงศ์นคร ซึ่งเป็น ชาว อ.มวกเหล็ก สระบุรี บอกว่า สื่อมวลชนพยายาม กล่าวหาและใส่ร้ายพระไชยบูลย์ ธัมมชโย เรื่องที่ดินนั้นเชื่อว่าไม่ได้มี แต่กรณีของเจ้าอาวาสวัด พระธรรมกายเท่านั้น พระรูปอื่นทั่วประเทศไทยก็มีเหมือนกัน ส่วนเรื่องของพระลิขิตนั้นเป็นการพูดกันลอย ๆไม่ได้มีการระบุ ชัดแจ้ง รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากที่พระไชยบูลย์ถูกกล่าวหาเช่นนี้

สาวกวัดฉาวกร้าวสกรัมนักข่าว

ต่อมาเวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนอย่างไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผู้มาปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง ได้ฮือเข้าห้อมล้อมรุม ทำร้ายผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากนายวีรศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงาน มูลนิธิพระธรรมกาย ได้รับการติดต่อจากนายยงยุทธ ลิ้มเลิศวาที หัวหน้าทีมข่าวช่อง 3 ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน หลังจากทำข่าวพิธีกรรมต่าง ๆ เสร็จ ได้มีกลุ่มญาติธรรมจำนวนกว่า 100 คน เข้ามาต่อว่าต่อขาน การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และมีท่าทีว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ร้อนถึงพ.ต.ท.สุรเชษฐ์ แสนวงศ์วิเศษ สว.สส.สภ.อ.คลองหลวง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้เหตุการณ์นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นายเข้ามาระงับเหตุ และคุ้มกันทีมข่าวช่อง 3 ออกนอกบริเวณวัด โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนนายวีรศักดิ์นั้น อาศัยช่วงชุลมุน หนีหน้าสื่อมวลชน ไม่ยอมให้สัมภาษณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สภาทนายฯฟัน"แพ่ง-อาญา"

นายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการสภาทนาย ความ กล่าวถึงการถือครองที่ดินของพระไชยบูลย์ว่า ต้องดูที่เจตนา ของผู้บริจาค ถ้าเป็นการบริจาคให้วัด แต่พระเอามาถือครองไว้โดยหวังว่า เมื่อสึกออกไปแล้ว จะได้เป็นเจ้าของอย่างนี้ ก็มีความผิดทางแพ่ง ทางวัดและผู้บริจาคมีสิทธิ์ ฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกเอาคืน นอกจากนี้ยังมีความผิด ทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากผู้ที่บริจาครายต่างๆถึงจะชี้ชัดได้ ทั้งนี้ หากมีกรณีที่ไม่เป็นไป ตามความประสงค์ของผู้บริจาค ทางสภาทนายความ ซึ่งเป็นองค์กรกลาง ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยินดีจะช่วยดำเนินการให้ โดยประชาชนผู้ใด ที่ได้รับความเดือดร้อน ในเรื่องนี้สามารถมาร้องทุกข์ได้ ที่สภาทนายความ ถนนราชดำเนิน จะมีทนายความ เป็นกรรมการ ฝ่ายช่วยเหลือประชาชน ทางด้านกฎหมาย รับสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และดำเนินคดี ทั้งทางแพ่งทางอาญา ให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

"ความเห็นส่วนตัว เชื่อว่าประชาชนบริจาคทรัพย์สินต่างๆให้วัดมากกว่า ดังนั้นจึงต้องเป็นของวัด การทำบุญ ของประชาชน ควรมาจากเจตนาที่ต้องการทำบุญจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะถูกชักจูงโดยไม่เต็มใจ การทำบุญก็ไม่ควร มีการหาเงิน ในระบบขายตรง การที่ทางวัดมีการแบ่งสายเป็น 5 บ้าง 10 บ้างเพื่อระดมเงินบริจาคเป็นการไม่ถูกต้อง การทำบุญ ไม่ควรเป็นลักษณะนั้น บุญ ควรมาจากเจตนาสุจริต ไม่ใช่ไปตื๊อเขา"

นำปางชนะมารžถวายสังฆราช

ทางด้าน นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีปัญหาวัดพระธรรมกายว่า บ้านเมืองมีกฎกติกา ทางศาสนจักรก็มีมหาเถรสมาคม เป็นผู้กำหนดกติกา ทุกคนต้องเชื่อฟังไม่มีใครฝ่าฝืนได้ ขอให้ทุกคนไว้ใจ มหาเถรสมาคม ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย แต่ต้องให้เวลาหน่อย เหมือนการจับขโมย ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ของตำรวจและศาล การที่ใคร จะเคลื่อนไหวอะไร ก็ขอให้นึกถึงความสงบสุขด้วย

ส่วนที่วัดบวรนิเวศฯ เช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มประชาชน ไปรอเข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราชอย่างเนืองแน่น โดยส่วนใหญ่ต้องการสอบถาม เกี่ยวกับการดำเนินการวัดพระธรรมกาย ต่อมาเวลา 08.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่สมเด็จพระสังฆราช จะเสด็จลงตำหนักเพชรนั้น นายตำรวจ ผู้ติดตาม กับบรรดาลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้ขอให้ผู‰ที่มารอเข้าเฝ้านั้น งดสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า สมเด็จพระสังฆราช ยังอยู่ระหว่างพักฟื้นร่างกาย ขอศีลขอพรอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่มีการสอบถามกันในเรื่องนี้ ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้เดินทางมาเข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราช โดยได้นำพระพุทธรูป แกะสลักจากหินแก้วชื่อ "ปางชนะมาร" ซึ่งได้นำมาจากเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาลมาถวาย โดย พล.อ.ชวลิต บอกเพียงว่า สมเด็จพระสังฆราชมีพระลักษณะเดียวกันนี้อยู่แล้ว 1 องค์ และได้นำ พระดังกล่าว ไปไหนมาไหนเวลาเดินทางด้วย จึงได้นำมาถวาย อีกองค์หนึ่ง

แจงเหตุมีพระลิขิตฉบับ 4

ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช หรือที่เรียกว่า ศิษย์ห้องกระจก กล่าวถึงการออกพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชฉบับแรกว่า ทรงมีความเป็นกลาง เนื่องจากเวลา ที่มีรัฐมนตรีหรือผู้กำกับ ดูแลมาเข้าเฝ้า ก็มักจะทูลถามว่า จะให้ดำเนินการกับวัดพระธรรมกายอย่างไรดี จึงออกพระลิขิต โดยไม่ได้ระบุเจาะจงว่า เป็นวัดพระธรรมกาย แต่ก็น่าจะรู้ความหมายกันดี อีกทั้งเพื่อไม่ให้มีชื่อวัดพระธรรมกาย ปรากฏอยู่ใน ประวัติศาสตร์ว่า เป็นวัดที่มีความเสียหาย มีพระเจ้าอาวาสต้องปาราชิก ทรงไม่คิด จะให้วัดได้รับความกระทบกระเทือน

"พระองค์ ทรงคิดว่าเจ้าตัว คงรู้ตัวดีก็คงจะเลี่ยงออกจากวัดไปเอง โดยเน้นไปที่การกระทำของบุคคลที่ทำผิด แต่เมื่อไม่สำนึก หรือสึกไปเพื่อรักษาชื่อเสียงของวัด ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าสมเด็จพระสังฆราช ทรงไม่ได้เจาะจงว่า เป็นปัญหา ของวัดพระธรรมกาย หรือพระลิขิตนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับวัดพระธรรมกาย พระองค์จึงทรงมี พระลิขิตที่เจาะจง ลงไปเลยว่าเป็นวัดพระธรรมกาย เพื่อให้ปัญหานี้ยุติ อย่างไรเสีย หากวัดพระธรรมกายมีพระที่ปฏิบัติดี ก็จะเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไปได้"

โรคจิตป่วนคุ้มกันเข้ม"สังฆราช"

พ.ต.ท.เพทาย พรล้วนประเสริฐ สวป. สน.ชนะสงคราม กล่าวถึงการรักษาความปลอด ภัยสมเด็จพระสังฆราชว่า มีนายตำรวจ ประจำพระองค์ 4 นาย อารักขาทั้งกลางวันกลางคืน ผลัดเปลี่ยนกันไป ยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 4 นาย เนื่องจาก สมเด็จพระสังฆราช ทรงไม่ประสงค์ที่จะให้ตำรวจมากมาย มาคอยอารักขา จึงให้มีการแต่งชุดซาฟาร ีแต่ติดป้ายชื่อทุกคน นอกจากนั้นก็มีตำรวจสันติบาล ประจำพระองค์ มีทหารจากศรภ.หมุนเวียนอีก 4 นาย ทั้งภายในวัดบวรฯ เองก็มีจุดตรวจที่พระตำหนัก ซึ่งจะมีสายตรวจเข้ามาเซ็นชื่อวันละ 9 ครั้งเป็นอย่างน้อย แต่ก็เพิ่มนอกเครื่องแบบ และสายสืบอีก 4 นาย โดยให้ตำรวจในเครื่องแบบอยู่รอบนอก เพราะไม่ต้องการ ให้ประชาชนตกใจ

"ที่ผ่านมานั้นเรียบร้อยโดยพ.ต.อ.ดุสิตสันต์ ถิรพัฒน์ รอ.ผกก.น.1 สั่งให้มาดูแลทุกวันอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ในขั้นด ีไม่มีปัญหา การตรวจตราที่มีการหมุนเวียนทุก 2 ชั่วโมงครั้งก็เพิ่มเป็น 1 ชั่วโมงครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่คณะเหลืองรังษี ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช อีกทั้งมีการย้ำกับตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่มีอยู่แล้วให้เปลี่ยน มาใส่เครื่องแบบ เนื่องจากปัจจุบัน มีคนเป็นโรคจิตมาก มักจะโทรศัพท์มาข่มขู่ ส่วนเรื่องการขู่วางระเบิดนั้น เป็นพวกโรคจิตขณะนี้ กำลังติดตามสืบหาคนร้ายรายนี้อยู่"

"ตูมตาม"สั่งลุยให้จบโดยเร็ว

นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมาย ห้กรมการศาสนา ไปประสานงานกับมหาเถรฯ จากการหารือทราบว่า หนังสือที่ออกมานั้นไม่ใช่พระบัญชาแต่เป็นพระดำริ เนื่องจากตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 ในมาตรา พระบัญชาจะต้องมีเลขที่รับรองชัดเจน และส่งมาเป็นลาย ลักษณ์อักษร แต่ที่ออกมา 2 ฉบับหลังนั้นเป็นเพียงพระดำริ เป็นความคิดเห็น ของสมเด็จพระสังฆราช อย่างไรก็ตาม หลังการหารือ กับมหาเถรฯ แล้วก็จะนำพระดำรินี้ไปให้มหาเถรฯ พิจารณาชี้ขาดในประเด็นที่ว่า ถ้าไม่โอนที่ดิน จะต้องปาราชิก ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ เพราะฉะนั้นคิดว่าวันที่ 3 พ.ค. คงจะได้ความคืบหน้า จาก อธิบดีกรมการศาสนา

นายอาคมกล่าวว่า จะทำความกระจ่างให้ชัดเจนในเรื่องนี้ เนื่องจากเวลานี้มีอยู่ 3-4 เรื่องที่ทำให้ประชาชนสับสน เช่น พระลิขิตคือหนังสือ ที่เขียนโดยสมเด็จพระสังฆราช แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพระบัญชา ที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราช แสดงออกมา เป็นแนวคิด และเป็นแนวทางออกที่ต้องรับฟัง พระดำริ 2-3 ฉบับหลังค่อนข้าง มีการวิพากษ์วิจารณ์สูง เกี่ยวกับว่าปฏิบัต ิได้บ้างไม่ได้บ้าง ขัดต่อกฎหมายบ้าง ในฐานะที่ดูแลกรมการศาสนา รู้สึกดีใจที่พระดำริฉบับที่ 4 ออกมา และสมเด็จพระสังฆราชทรงตรัสว่า จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับกรณีของวัดพระธรรมกาย เพราะฉะนั้นเข้าใจว่า เป็นทางที่ถูกที่สุด คิดว่าสื่อมวลชนคงเข้าใจดีว่าเหตุใดจึงมีพระดำริออกมาเรื่อย ๆ จึงอยากให้ชาวพุทธ และพระสงฆ์ทั้งประเทศเข้าใจว่า เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ความแตกแยกก็ย่อมจะเกิดขึ้นตามมา แต่เวลานี้เรายังโชคดี ที่มีความแตกแยก ที่ยังไม่รุนแรง เป็นเพียง การแตกแยกทางความคิดเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะหาข้อยุติได้ เข้าใจว่ากระทรวงศึกษาฯ และกรมการศาสนา จะปล่อยให้ปัญหานี้ ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเวลา มันล่วงเลยผ่านมา 6 เดือนแล้ว ทั้งเป็นเรื่องที่ทำให ้สมเด็จพระสังฆราช ทรงอึดอัดพระทัย

ไม่ให้มหาเถรฯเป็นโรคเลื่อน

ต่อข้อถามที่ว่า จำเป็นหรือไม ่ที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช นายอาคมกล่าวว่า ถ้าไม่มีฉบับที่ 4 ออกมา ก็คงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องไปเข้าเฝ้าขอความชัดเจน แต่เมื่อมีพระดำริฉบับที่ 4 ออกมาคิดว่า คงจะไม่ต้องเข้าเฝ้าอีก จะส่งไปที่มหาเถรฯ ความชัดเจนเกิดขึ้นมาแล้ว ส่วนที่มีการพูดการ ถึงเรื่องต้องปาราชิกหรือไม่นั้น เรื่องนี้เห็นว่าบางคนบอกว่าปาราชิกแล้ว บางคนก็ว่ายัง ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน อย่างไรก็ตามได้ม ีการประชุมนัดหมายกรรมการมหาเถรฯในวันที่ 10 พ.ค. นี้ เวลานี้กรมการศาสนา ตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ จึงต้องเร่งประสานเร่งรัดให้มีการประชุม โดยไม่ให้เลื่อนอีก เกรงว่าเกิดปัญหา ตามมามากขึ้นจึงไม่ควรเลื่อนอีกต่อไป

"ผมก็รู้สึกอึดอัด เพราะว่ารู้สึกเหมือน กับว่าเรื่องนี้ไม่จบเสียที คนที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดจะรู้ว่ามันเรื่องงˆาย ๆ และไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เช่นมีคนบอกว่าทำไมไม่สึก เจ้าอาวาสเสียท ีผมว่าหากสึกแล้วเรื่องมันยุติก็ดีจะได้จับสึก แต่สมมติ ว่าสึกแล้วเรื่องราว ไม่สามารถยุติ มีผู้คนออกมาคัดค้าน จะวุ่นวายเพิ่มขึ้น อย่าลืมว่าคณะสงฆ์ไทยมี 2 นิกาย เรื่องที่เกิดขึ้นนั้ นเกิดกับนิกายมหายาน ผมจึงต้องฟังพระผู้ใหญ ่โดยยึดหลักความถูกต้อง"

ให้คอยดูคนผิดรับกฎแห่งกรรม

นายอาคม กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันตามหลักศาสนาพุทธเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรมนั้นมีแน่ ถ้าผิดไม่มีทางอยู่ได้ ผิดก็คือผิด แต่ถ้ายังไม่ผิดจะไป ระบุให้เขาผิด เขาก็ต้องต่อสู้แน่นอน ขอยืนยันว่าจะไปพบกับพระไชยบูลย์ แต่ที่พระสังฆราช ทรงตรัสไว้นั้น ก็คืออยากให้ไปพบ ก็ต่อเมื่อทางคณะสงฆ์ได้เจรจากันก่อน คิดว่าปัญหา จะยุติได้เมื่อเจ้าคณะผู้ปกครอง ได้พูดคุยกันก่อน โดยไม่มีสภาพการบังคับ อย่างไรเสียเมื่อเดินทางไปพบแล้ว ไม่ทำตาม ก็ไม่มีกฎหมายใดมาบังคับ แต่หากพระสงฆ์ฝ่ายปกครอง ยืนยันว่าคุยได้ และสามารถยุติปัญหาได้ เมื่อมีการเจรจากัน ทั้ง 3 ฝ่าย ก็ยินดีที่จะเป็นตัวกลางเพื่อยุติปัญหาทั้งหมด

"ขณะนี้ทางธรรมกาย ก็กำลังตกใจ จึงไม่ต้องประวิงเวลาอีกแล้ว อีกทั้งเป็นเรื่องที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศ จริงๆแล้ว เมื่อมีพระดำริชัดเจนแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรแสดงอะไรออกมาให้ชัดเจนบ้าง จากการดูข่าว การให้สัมภาษณ์ ของนายมานิต รัตนสุวรรณ ซึ่งเป็นกรรมการวัดพระธรรมกาย ที่เสนอแนวทาง คืนที่ดินให้แก่วัดในรูปแบบ ของพินัยกรรม ที่จะให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อมรณภาพแล้วที่ดิน จะต้องตกเป็นของวัด อีกประเด็น ก็คือยังมีคนหวาดระแวงว่ายังไม่มีผลหากเจ้าอาวาสลาสิกขา ซึ่งจะมีการติดต่อกับกรมที่ดิน ทำบันทึกว่า ไม่ว่าจะมรณภาพหรือลาสิกขา ที่ดินเหล่านี้จะต้องตกเป็นของวัดทันที นี่คือเจตนาที่แจ้งมา ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ทางมหาเถรฯ จะว่าอย่างไร ถ้าทางมหาเถรฯไม่ต้องการจะให้โอนทันทีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับกรณีเรื่องคำสอน ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงมีคณะกรรมการติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว ให้วัดเขาทำบ่อย ก็จะเป็นเรื่อง เสียหายของเขาเอง"

จี้โอกาสสุดท้ายมหาเถรฯ

ขณะเดียวกัน นายสมพร เทพสิทธา อุปนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมถ์ เปิดเผยว่า การประชุม กรรมการมหาเถรสมาคม ที่จะประชุมในครั้งใหม่น ี้เป็นโอกาสสุดท้าย ของพระเถระบางรูป ในกรรมการมหาเถรฯ ที่จะพิสูจน์ว่า รักศาสนา มากกว่าตัวบุคคล

"ที่ผ่านมา ชาวพุทธ ข้องใจบทบาทของพระเถระบางรูปในกรรมการมหาเถรฯอย่างมาก เพราะไม่ได้ปกป้อง พระศาสนา แต่กลับไปปกป้อง ตัวบุคคล ครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าจะรักศาสนาหรือไม่ และหากยังมี การปกป้องกันอีก ชาวพุทธจะออกมารวมตัว ให้ปลดพระเถระ พวกนี้ออกไปอย่างแน่นอน"

นายสมพรกล่าวอีกว่า การนำพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช เข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ก็น่าจะเป็นแค่การทำพระลิขิต ให้กลายเป็นคำสั่งเท่านั้น เพราะถือว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประมุขสงฆ์และมีพระวินิจฉัยแล้ว เป็นการชี้ถูก ชี้ผิดที่เด่นชัด ไม่น่าจะมีปัญหา หากมีการดึงดันขัดขืน ถือเป็นการไม่เคารพ ในพระบัญชาของผู้ที่เป็นประมุขสงฆ์ โดยจะต้อง มีคำสั่งให้สึกภายใน 3 วัน

ทั้งนี้ หากมีการช่วยเหลือ ในกรรมการมหาเถรฯอีก นายสมพรกล่าวว่า ก็จะเป็นการยืนยันว่า ข้อสงสัยของชาวพุทธ ที่ว่ามีพระผู้ใหญ่ หนุนหลัง พระไชยบูลย์ มีส่วนได้เสียเป็นเรื่องจริง และชาวพุทธ 172 สมาคมคงยอมไม่ได้ต่อไป เพราะปัญหาธรรมกาย ทำให้เกิดความแตกแยก ในหมู่ชาวพุทธ และทำสงฆ์ให้แตกแยก โดยก่อนหน้านี้องค์กรพุทธ เคยเข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราชและขอให้ทรงพิจารณา โดยเฉพาะถ้าให้พระสังฆาธิกา รทั่วประเทศ มาลงอธิกรณ ์พระไชยบูลย์ก็เชื่อว่า จะมีความเห็นตรงกันว่าพระไชยบูลย์ต้องสึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดิน การอวดอุตริมนุสธรรม อ้างวิเศษที่ไม่มีในตน หรือการบิดเบือนคำสอนในศาสนา กล่าวหาพระไตรปิฎกผิดพลาด ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นสังฆเภท เป็นกรรมหนักทางศาสนาพุทธ

"กรมการศาสนา เองก็อย่าทำโยกโย้ โยนให้พระพรหมโมลีอีก เราต้องการความจริงใจของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ พระท่านสอนชาวบ้านว่า อย่ามีอคติ อย่างเช่น อย่ามีฉันทาคติหรือความรัก อย่ามีโมหะ คือความหลง แต่พระสงฆ์ เองกลับไปมีอคติ ไปหลงไปรัก มันควรจะยุติได้แล้ว"

ปาราชิกโอนที่คืนก็ต้องสึก

กรณีการฮุบที่ดิน ของพระไชยบูลย์ถือว่ามีเจตนาที่ชัด เพราะคนถวายเงินก็เพราะเป็นพระ แต่กลับเอาเงินไปซื้อที่ดิน ถือเป็นการฉ้อโกง ปาราชิกฐานลักทรัพย์ชัดเจน และการที่พระไชยบูลย์ จะมารีบโอนที่ดิน ให้เพื่อหวังพ้นผิด ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว เนื่องจาก การกระทำผิดเกิดขึ้นแล้ว และสมเด็จพระสังฆราชให้เวลามานานคือตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่มีพระลิขิตครั้งแรก จนถึงวันที่ 26 เม.ย.ที่เป็นพระลิขิตครั้งที่ 2 ที่ชี้ชัดความผิดปาราชิก จนถึงพระลิขิตครั้งที่ 3 ในวันที่ 30 เม.ย.ที่อธิบายความผิด ปาราชิก และระบุว่าพระไชยบูลย์ เป็นพระปลอม ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้เกี่ยวข้องไปจัดการ

"ทางกฎหมาย พระไชยบูลย์ก็ผิดแล้ว เพราะทำความผิดสมบูรณ์ จะมาแก้ไม่ได้ นอก จากนั้น ทางพระธรรมวินัย การทำผิดปาราชิก ถือเป็นความผิดสูงสุด จะแก้ไขไม่ได้ เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน แม้จะไม่มีใครรู้ ก็ขาด จากการเป็นพระไปเรียบร้อย" นายสมพรยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้มีตัวอย่างหลายประการ ที่แสดงให้เห็นถึง ความหย่อนยานของคณะสงฆ ์และหน่วยงานด้านศาสนา อาทิการจัดงานวันเกิดปีที่ 55 ของพระไชยบูลย์ และได้มีการดึงเอาพระ-เณร 1 แสนรูปมาร่วมงานด้วยการจัดโครงการตอบปัญหาธรรมะบังหน้านั้น ตนเพิ่งกลับ มาจากต่างจังหวัดพบว่า มีพระจากวัดพระธรรมกายไปติดสินบนวัดบางแห่ง โดยให้เงินถึง 1 แสนบาท ถือว่าเป็นเรื่องใหญ ่ในศาสนา ที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะใช้เงินซื้อกันได้ ที่สำคัญหนังสือ "พระแท้" ที่นำมาใช ้สำหรับการตอบคำถาม ก็เป็นคำสอนที่ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ไม่ทราบว่า ปล่อยกันไว้ได้อย่างไร

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า วัดพระธรรมกาย เคยถวายเงินจำนวนมากให้กับพระเถระผู้ใหญ่ นายสมพรกล่าวว่า การถวายเงิน และรับเงินนั้นไม่ผิด เพราะถือว่าให้ด้วยความบริสุทธิ์ รับด้วยความบริสุทธิ์ แต่ถ้าเกิดรับเงิน ไปแล้วไปช่วยเหลือกัน ต้องถือเป็นการติดสินบน และมีความผิดชัดเจน ไม่ใช่สิ่งที่สงฆ์จะกระทำ เป็นการให ้อามิสสินจ้าง เป็นที่รังเกียจของศาสนา

คนโคราชโวยวัดหลอกลูกชาย

นายอภิรัตน์ ชาติพัฒนางกูร อายุ 55 ปี และนางสำเนียง ชาติพัฒนางกูร อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 303 ถนนมหาดไทย อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ครอบครัวตนเดือดร้อน เพราะวัดพระธรรมกาย เนื่องจากลูกชาย บุญธรรมของตน ไปบวชที่วัดนี้ ชื่อพระวิเชียร วชิโร (มลอยู่พะเนา) และไม่ยอมสึก รวมถึงไม่ยอมรับพวกตนเป็นพ่อ-แม่บุญธรรม

ขณะนี้พระวิเชียร ยังคงบวชอยู่ที่วัดพระธรรมกาย และไม่มีทีท่าว่าจะสึกแต่อย่างใด พวกตนเป็นห่วงว่า หากกลางปีนี้ พระวิเชียรยังไม่ยอมสึก ทั้งที่เรียนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อาจจะถูกคัดชื่อ ออกจากการ เป็นนักศึกษา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะพระวิเชียร เป็นคนหัวดี หากเรียนจบออกมาเป็นแพทย์ คงจะเป็นที่พึ่ง ของพ่อ-แม่ในยามแก่เฒ่าได้

"ผมอยากฝากไปถึง พระวิเชียรว่า ถึงจะไม่คิดว่าผมเป็นพ่อ แต่ผมยังห่วงใยและรักพระวิเชียรอยู่ สำหรับเรื่องจะสึก หรือไม่นั้น ผมไม่สนใจ หากไม่สึกก็ขอให้ไปอยู่สำนักอื่น ขอให้ปฏิบัติธรรมจนรู้แจ้งเห็นจริงเลย อย่าอยู่ที่ธรรมกายนี้ เพราะมันหลอกลวง เป็นพระเก๊ แต่หากจะสึก ผมก็ยินดีขอให ้กลับมาศึกษาเล่าเรียน ให้สำเร็จเป็นแพทย์ เพื่อตอบแทน บุญคุณพ่อ-แม่ ที่แท้จริงของเขา ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมา ทางวัด ก็ออกข่าวมาว่า พระวิเชียรจะสึกแน่ แต่เป็นเรื่อง โกหก"

นอกจากนี้ นายอภิรัตน ์ยังได้กล่าวถึง พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชกรณีให้สึกพระไชยบูลย์ว่า ตนเห็นด้วยอย่างที่สุด ในฐานะของชาวพุทธ ไม่อยากไปตำหน ิติเตียนอะไรมาก แต่ในแง่ของศาสนา ความเป็นอยู่ของพระ ไม่ต้องฟุ้งเฟ้อถึงขนาดนั้น การทำบุญก็ทำตามศรัทธา ไม่ใช่ไปบังคับให้ทำบุญ และพระภิกษุ ควรอยู่ในที่สันโดษ เงียบสงัด มีรถเบนซ์คันเป็นล้านขับพระวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาตเลย ตนเคยถาม พระวิเชียรว่า เคยเห็นหลวงพ่อสดไปอยู่ที่ดวงอาทิตย์แบบที่คนอื่นเห็นไหม พระวิเชียรบอกว่า ไม่เห็น และอ้างว่าพวกที่เห็น เพราะเขาม ีพระธรรมกายประจำตัว และได้ธรรมกายแล้ว ตนเลยถามว่า แล้วท่านไปทำอะไรอย ู่บวชมาตั้ง 2 พรรษาแล้ว ทำไมไม่ได้ธรรมกาย เขาตอบไม่ได้

พร้อมแจ้งความดำเนินคดี

นายอภิรัตน์ยังประกาศ จะแจ้งความดำเนินคดีกับพระไชยบูลย์ เพราะพระภิกษุไม่ควรมีที่ดินเป็นของตนเอง เจตนาที่จะยักยอกทรัพย์ของวัด มาเป็นของตัวผิด พระวินัยเป็นอย่างมากโทษอาบัติปาราชิก และควรดำเนินคดี ข้อหา ยักยอกทรัพย์ด้วย ตนเคยบวชเรียนได้เปรียญธรรม 6 ประโยค ฉะนั้นจึงรู้ดีว่า อะไรเป็นอะไร แต่พระไชยบูลย์น ี้เปรียญธรรม ก็ไม่ได้ ปริญญาเอกก็ใช้เงินบริจาคมาถึงได้ ไม่มีความร ู้เกี่ยวกับ พระศาสนาแม้แต่น้อย

"ที่เรื่องธรรมกาย นี้มันยืดเยื้อ เพราะบรรดาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมถูก อามิสบังตาอยู่ บรรดา พระเถระเหล่านี้ ก็เคยเป็นพระอาจารย์ ของตนมาก่อน พระผู้ใหญ่เหล่านี้ได้อามิสสินจ้างจากพระไชยบูลย์มามาก บางวัดได้รถเบนซ ์ราคาแพง ๆ เป็นรถประจำตำแหน่ง ทำให้กรณีธรรมกายนี้ยืดเยื้อ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยเขียนบทความ ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อปี 2518 ว่า ธรรมกายนี้เป็นอันตรายกว่า สำนักสันติอโศกเสียอีก แต่ไม่มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปใดคิดถึงเรื่องนี้เลย ที่ร้าย กว่านั้นคือมีการ ดึงพระนักธรรมที่เก่ง ๆ จากวัดอื่น มาอยู่ที่วัดเพื่อเป็นฐานกำลังตัวเอง และมาอ้างว่าวัดพระธรรมกายส่งเสริมการศึกษาธรรมะ ความจริงพระเหล่านั้น เรียนจบเปรียญธรรมมาแล้วถึงมาอยู่ และน่าสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีบรรดาพระเปรียญ 8-9 ออกมาตอบโต ้กรณีนิพพาน เป็นอัตตาเลย นั่นเพราะว่าอามิสบูชา"

พระสังฆราชทรงประชวร

สำนักเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช ได้ออกประกาศใจความว่า ด้วยเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีอาการพระประชวรหวัด ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการตรวจรักษา และถวายการแนะนำ ให้ทรงพักผ่อน จึงงดการเข้าเฝ้า ถวายสักการะ เป็นเวลา 3 วัน คือตั้งแต่วันที่ 3-5 พ.ค. 2542. จ เตือนให้ทำพินัยกรรม จะถูกต้ม

นายธวัช ดำสะอาด อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่นายมานิต รัตนสุวรรณ กรรมการวัดพระธรรมกาย ออกมาระบุถึงกรณีที่ จะใช้วิธ ีให้พระไชยบูลย์ทำพินัยกรรม ยกที่ดินที่มีชื่อถือครองอยู่ทั้งหมด ให้กับวัดพระธรรมกายแทนการโอนว่า เรื่องนี้ถ้าทางมหาเถรฯ เห็นด้วยก็เท่ากั บยอมถูกหลอก เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อผู้ทำเสียชีวิต อีกทั้งถ้าทำพินัยกรรมวันน ี้แล้วรุ่งขึ้น ไปทำฉบับใหม่ไม่ยกให้วัด พินัยกรรมฉบับเก่าก็ต้องตกไป ส่วนที่จะให้กรมที่ดิน ออกหลักฐานยืนยัน ก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่จริงแค่พระไชยบูลย์ ยอมโอนให้วัด ก็จะหมดเรื่องไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวาย เรื่องการทำพินัยกรรมนี้ เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง การที่ออกมาระบ ุก็คงเพราะ ไม่มีทางออกทางอื่นแล้ว

"ชวน"สั่งข้ามฟ้าจัดการธรรมกาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศจีน ได้โทรศัพท์ทางไกล ข้ามประเทศ มาถึงนายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรี และมีคำสั่งให้นายพิชัย เร่งดำเนินการจัดการ ปัญหาของวัดพระธรรมกาย ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด โดยให้นายพิชัยไปกำชับนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาฯ อีกทอดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตร ีได้สั่งการให้นายพิชัย คอยติดตาม ปัญหาของวัดพระธรรมกาย อย่างใกล้ชิดด้วย เนื่องจากรัฐบาล มีความเป็นห่วง กรณ ีปัญหาวัดพระธรรมกายมาก

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ในวันที่ 3 พ.ค. 2542 ที่บริเวณหน้าตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศฯ จะมีการตั้งโต๊ะประชาพิจารณ์ โดยจะมีการเปิดโอกาส ให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมกัน ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีปัญหาของวัดพระธรรมกาย