พระสังฆราชประกาศิตชัดอีกครั้ง พระลิขิตที่ออกมาทั้งหมด ใช้สางเสี้ยนศาสนาพระปลอม "ธัมมชโย" ทรงห่วงลามถึงสถาบันระดับสูงแล้ว หลังจากธรรมกายทำบิดเบือนพระลิขิตไม่เกี่ยวกับวัด เพราะไม่ได้ลงชื่อใคร เจ้าอาวาสฉาวเผ่นตั้งหลักเชียงใหม่ ระดมสาวกแสดงพลัง ขู่ถ้าไม่พอใจถึงขั้นยกพลประท้วงจะเดือดร้อน พลิกเกมจะทำพินัยกรรมตายแล้วโอนที่ให้วัดหวังพ้นผิด มหาจุฬาฯหวั่นงานนี้ยื้อแน่ดึงเกมเข้ามหาเถรฯหวังให้พระผู้ใหญ่ย่ามตุงอุ้มต่อ ระบุสายมหานิกายเคลื่อนไหวไม่พอใจ "หมอประเวศ"เรียกร้องสะสางมหาเถรฯ พูดชัด "มส." ย่อจาก "หมดสภาพ" ไล่ส่งวัดฉาวไปตั้งลัทธิใหม่สอนกันให้เพี้ยน ทำบุญหมดตัวก็ไม่มีใครว่า แต่สมบัติขณะเป็นพระในศาสนาพุทธต้องยึดคืนให้หมด

ปัญหากรณีธรรมกายยังไม่ยุติ และสร้างความไม่พอใจให้กับชาวพุทธทั่วประเทศ และแม้สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก จะได้แสดงความประสงค์ชัดอย่าง ที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอด 10 ปีที่ผ่านมาที่ทรงได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ทรงมีพระลิขิตถึง 3 ฉบับระบุว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) ปาราชิกต้องสึกออกจากความเป็นสงฆ์ ฐานลักโขมยยักยอกที่ดินของวัดเป็นของตัว และพระไชยบูลย์ถือเป็นพระปลอม เอาผ้าเหลืองมาห่มเท่านั้น รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้องจัดการ แต่ก็มีความพยายามจะดึงเรื่องให้ยืดเยื้อโดยกรมการศาสนาจะนำพระลิขิตไปปรึกษาพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ก่อนนำเข้าที่ประชุมหาเถรฯซึ่งต้องกับความต้องการของวัดพระธรรมกาย นอกจากนั้นสาวกที่ศรัทธาในตัวพระไชยบูลย์ไม่เลิกยังออกมาตีหน้าซื่อบอกว่าพระลิขิตไม่เกี่ยวกับวัด และไม่ได้บอกให้พระไชยบูลย์สึก เพราะในพระลิขิตไม่ได้กล่าวถึงชื่อวัด-ชื่อพระไชยบูลย์เลยนั้น ทรงชี้ชัดพระลิขิตเรื่องธรรมกาย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ทรงให้จัดทำพระลิขิตฉบับล่าสุดเป็นฉบับที่ 4 แจกจ่ายอีกครั้ง โดยครั้งนี้ระบุชัดเลยว่าพระลิขิตที่ออกมาเกี่ยวข้องกับปัญหาวัดพระธรรมกาย เนื้อหาของพระลิขิตล่าสุดคือ

"ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้

ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูตกเวทิตาธรรม"

พระลิขิตฉบับนี้มีพระนามาภิไธยย่อ อยู่ข้างบน และท้ายพระลิขิตได้มีการลงพระนามสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อเวลา 16.00น. สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จกลับจากการประทับแรม ณ วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี ถึงคณะเหลืองรังสี วัดบวรนิเวศวิหาร และทรงดำเนินเข้าห้องประทับโดยไม่อนุญาตให้ญาตโยมเข้าเฝ้า ซึ่งพระมหาสะท้าน พระผู้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่าสมเด็จพระสังฆราชมีอาการประชวร โดยมีอาการไอและหอบ จึงได้ยกเลิกศาสนกิจทั้งหมดไว้ก่อน

พระมหาสะท้านกล่าวยังได้กล่าวถึงพระลิขิตฉบับล่าสุดของสมเด็จพระสังฆราช ว่า พระองค์ได้มอบหมายให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเป็นผู้นำไปจัดพิมพ์และจัดให้ลงพระนาม เท่ากับว่าเวลานี้ได้มีพระลิขิตออกมาแล้วถึง 4 ฉบับ สำหรับวัตถุประสงค์เกี่ยวกับพระลิขิตนั้น อาตมาเป็นพระชั้นผู้น้อย จึงมิอาจคาดเดาเจตนารมณ์ของพระองค์ได้ เพราะถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก แต่ขอให้เข้าใจโดยทั่วกันว่า เป็นลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชจริง แล้วแต่ว่าใครจะอ่านและพิจารณาอย่างไร ก็ได้รับทราบเรื่องนี้พร้อมๆกับทุกคน และพระองค์ก็มิได้มีรับสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเพิ่มเติม เนื่องจากปกติพระองค์ทรงตรัสน้อยอยู่แล้ว

"เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงลงไปเลย อย่างที่หลายคนเข้าใจและได้พิจารณาได้ตรงกันอยู่ก่อนแล้ว ไม่น่าต้องคิดให้มาก "

ทรงห่วงลามสถาบันชั้นสูง

ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ลูกศิษย์ใกล้ชิด หรือศิษย์ห้องกระจก กล่าวว่าเจตนารมณ์ของสมเด็จพระสังฆราช ต้องการให้ศาสนนิกชนรู้กันทั่ว ที่สำคัญพระองค์มีความห่วงใยอย่างสุดขีดยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องใบปลิวที่กระทบสถาบันชั้นสูง ท่านตรัสว่ากังวล ไม่คิดว่าจะลามปามถึงขนาดนี้

"ท่านอึดอัดใจแน่นอน เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย พระลิขิตตั้งแต่ฉบับแรกถึงฉบับสุดท้ายหน่วยงานที่รับผิดชอบกลับวางตัวเฉย หน้าที่ใครก็ทำไปไม่ได้บังคับ ส่วนที่นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการมากล่าวว่าไม่เชื่อมีพระลิขิต และห้องกระจกอาจทำขึ้นมา คนเราจะรู้ว่าปราชญ์แท้หรือเทียมก็ตอนพูดออกมา คณศิษย์ก็ห่วงความปลดดภัยของประองค์ แต่ดีใจที่ได้ทำหน้าทีของประมุขสงฆ์ได้อย่างดีที่สุดแล้ว คนเราทุกคนมีวันเป็น และวันตายหากไม่ทำหน้าที่ก็ทุเรศมาก ท่านทำหน้าที่ของท่านในฐานะประมุขงสงฆ์ต่างคนต่างทำหน้าที่ไป ส่วนความเป็นความตายอีกเรื่องหนึ่ง ความจริงคนฉลาดน่าจะรู้ว่าธัมมชโยไม่จำเป็นต้องจับสึก เพราะพ้นจากความเป็นพระไปแล้ว จะโอนที่ดินหรือไม่เป็นเรื่องเล็กไม่ได้สมเด็จพระสังฆราชไม่ได้สนพระทัยมาก แต่ที่สนพระทัยคือพระที่ครองผ้าเหลืองอยู่นี้ เป็นพระปลอม"

หมอประเวศให้สะสางมส.

น.พ.ประเวศ วะสี กล่าวถึงการจัดการปัญหาของวัดพระธรรมกายว่า ตนรู้สึกสงสารสมเด็จพระสังฆราช เพราะท่านอายุถึง 85 ปีแล้ว ต้องทรงเหนื่อย ทรงรับคำวิจารณ์และปัญหาต่าง ๆ อีกทั้งยังมีคนโทรศัพท์ไปขู่ ปัญหานี้เกิดจากสังคมไทยโดยรวมไม่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริง การเข้าวัดด้วยความศรัทธา ไม่ใช่ด้วยปัญญา ทำให้วัดพระธรรมกายก่อตัวเป็นลัทธิมีเงินและมีอำนาจ แต่การแก้ปัญหาที่ผ่านมาอยู่ในระดับดีพอใช้ เนื่องจากมีสื่อมวลชนช่วยกันประโคมข่าว เป็นพลังสร้างความเข้าใจให้กับสังคม และจุดที่จะช่วยสมเด็จพระสังฆราชจัดการปัญหานี้ได้คือ พลังทางสังคม

"ปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบกับพุทธศาสนามาก เพราะหลักคำสอนของวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่พุทธแท้ แต่เป็นลัทธิทำให้เกิดความไขว้เขว มีคนจัดการเก่ง มีเงินมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปก็จะกลืนพุทธศาสนาเป็นการทำลายจากภายใน เพราะฉะนั้น ในจุดนี้เราควรทำความเข้าใจกับพุทธธรรมให้ดีแล้ว เอามาพัฒนาประเทศ และให้กรณีของวัดพระธรรมกายเป็นตัวอย่างให้คนไทยได้เรียนรู้และเข้าใจพุทธธรรมอย่างแท้จริง นอกจากนี้น่าจะอาศัยโอกาสนี้สังคยานาพุทธศาสนาใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการจัดองค์กรของเถรสมาคม (มส.)ที่ยึดระบบราชการควรทำให้งานต่างๆกระจายออกไป ไม่ตกอยู่ที่มหาเถรสมาคมอย่างเดียว แต่อย่าไปหวังว่ามหาเถรสมาคม จะแก้ปัญหาได้เพราะตัวย่อ มส.ก็คือมันไม่มีสภาพแล้ว เรื่องนี้พระพุทธเจ้าแก้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยกระบวนการทางสังคมจึงจะแก้ได้แต่รัฐบาลก็ไม่เข้าใจตรงจุดนี้"

น.พ.ประเวศกล่าวอีกว่า ทางออกของเรื่องนี้คือ ให้วัดพระธรรมกายปรับตัวและศึกษาคำสอนของพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากเพราะคนอยู่ในอำนาจมีเงินมากและมีพวกมากคงจะยากต่อการปรับตัว ส่วนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายหากจะสอนเหมือนเดิมมีสิทธิ์ทำได้แต่ควรแยกเป็นอีกลัทธิหนึ่ง แต่ทั้งนี้ต้องอธิบายให้คนเข้าใจว่า คำสอนนั้นเกิดประโยชน์อย่างไร แต่ไม่ใช่ไปตู่เอาของเก่าและสำหรับวัดพระธรรมกายที่สร้างมาในนามพุทธศาสนา ก็ต้องตกเป็นสมบัติของพุทธศาสนาและควรตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาดูแล ส่วนคนตั้งวัดธรรมกายเดิมก็ต้องแยกตัวออกไป

อาคม"จัดการกรมศาสนา

นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนาเปิดเผยว่า กรมการศาสนาน่าจะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชสอบถามพระบัญชา ไม่ใช่มาตีความ และยื้อไปยื้อมา รวมถึงการปฏิบัติตามติดขัดปัญหาใดน่าจะวิเคราะห์ให้ละเอียดทั้งกฎหมายทางโลกและกฎหมายสงฆ์ นอกจากนั้นกระทรวงศึกษาธิการควรตรวจสอบการทำงานของกรมการศาสนาได้แล้ว เพราะไม่ใส่ใจในการแก้ปัญหาธรรมกาย เห็นได้จากครั้งล่าสุดเมื่อตนไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ถวายข้อมูล ท่านก็รับสั่งให้กรมการศาสนาไปถ่ายเอกสารแจกจ่ายกรรมการมหาเถรฯ ก่อนเข้าประชุม แต่กรมไม่สนใจ และจะมีการเสนอนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีอยากให้ตั้งสำนักงานทำงานเป็นหน้าที่เลขาฯของมหาเถรฯโดยตรง เหมือนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพราะกรมการศาสนาไม่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ

"เรื่องธรรมกายเป็นเรื่องใหญ่ต้องประสานงานหลายฝ่าย และผมจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมกรรมาธิการ เพื่อหาสาเหตุทำไมไม่มีการดำเนินงานตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชที่เหมือนประมุขของสงฆ์ ท่านคงอึดอัดใจที่การทำงานไม่ลุล่วง ส่วนวัดพระธรรมกายเองคนทั้งประทเศยังฟังแนวทาง ที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมา วัดก็ควรรับฟังด้วย"

พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่าลิขิตพระสังฆราชถือเป็นพระบัญชาแน่นอน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ ไม่ต้องผ่านมหาเถรฯ เพราะทรงอึดอัดกับการทำงานในช่วงที่ผ่านมา หากรอการประชุมหาเถรฯคงเลื่อนไปเรื่อย เนื่องจากมีพระเถระอุ้มวัดพระธรรมกาย

"ที่กรมศาสนาออกมาบอกว่าพระลิขิตไม่มีผลทางกฎหมายก็คงเป็นเพราะอุ้มกันอยู่ แต่ไม่มีใบเสร็จออกมาแสดงให้เห็นกันเท่านั้น มหาจุฬาฯจะเร่งประชุมพระนิสิตขอมติให้มหาเถรฯสึกเจ้าอาวาสวัดทันที"

มหานิกายไม่พอใจพระลิขิต

นายกมล ศรีนอก เลขาธิการสมาคมศิษย์เก่ามหาจุฬาฯกล่าวว่า เท่าที่รับฟังพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในฝ่ายมหานิกายซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรฯ ส่วนใหญ่ไม่พอใจพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เพราะส่วนใหญ่ปกป้องวัดพระธรรมกาย แต่เมื่อมีพระลิขิตแล้วควรดำเนินการไม่ควรเกี่ยงว่า เป็นมหานิกายหรือธรรมยุติ ฝ่ายบ้านเมืองควรมาดำเนินงานได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความแตกแยกระหว่าง 2 นิกาย และองค์กรพุทธ 172 องค์กรทั่วประเทศ กำลังรอฟังผลหากไม่มีการปฏิบัติจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

พระมหาต่วน สิริธัมโม รองอธิการบดีมหาจุฬาฯกล่าวว่าพระลิขิตที่ออกมาหากไม่มีการปฏิบัติ ไม่รู้สำนึกกันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เจ้าคณะภาค 1 เองก็มีคำสั่งออกมาแล้วให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรยอมทำตาม ที่สำคัญรายการวิทยุที่อาตมาจัดอยู่ มีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาเป็นจำนวนมากให้มหาเถรฯ พระผู้ปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเร่งปฏิบัติตามพระบัญชาโดยเร็ว จะได้ยุติเสียที หากช้าจะกระทบต่อพระสงฆ์ทั่วประเทศ ยิ่งอึมครึมนานเท่าไหร่ ภาพรวมของสงฆ์จะยิ่งมัวหมอง

พระราชรัตนมงคล เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเปิดเผยว่า พระลิขิตนี้สมเด็จพระสังฆราชทำขึ้นอิงตามพระธรรมวินัย ต้องปฏิบัติ เป็นความเมตตาที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร สงฆ์ทั่วประเทศต้องปฏิบัตตามด้วย เพราะสมัยนี้ไม่ค่อยปฏิบัติตามพระธรรมวินัยกัน

"ธรรมกาย"ขู่ขนม็อบกดดัน

ขณะเดียวกันสำหรับความเคลื่อนไหวของวัดพระธรรมกาย ในวันเดียวกันเมื่อเวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณทางเข้าวัดพระธรรมกายมีเจ้าหน้าที่ รปภ.ของวัดยังคงยังคงรักษาการณ์อย่างเข็มงวดเช่นเดิม ไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวทุกสื่อจากสำนักต่างๆจำนวน 30 คนเข้าไปภายในวัด บรรยากาศทั่วไปยังคงเงียบเหงา มีเจ้าหน้าที่ชุดสายสืบ และสายตรวจของ สภ.อ.คลองหลวง ลาดตระเวนตลอดทั้งวันเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของวัดให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ส่วนญาติธรรมหรือกัลยาณมิตร ต่างทยอยเดินทางเข้าวัดตลอดทั้งวัน โดยสารรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถบัส จำนวน 400 คน ในจำนวนนี้มีนายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ขับรถยนต์ยี่ห้อ เปอร์โยต์สปอต์ 2 ประตูเข้าไปภายในวัด โดยชะลอความเร็วลงและชำเลืองมองมาทางกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ออกันอยู่ด้านหน้าทางเข้าวัด

นางสุธีรา วงศ์นคร อายุ 44 ปี ชาวอ.หนองแค จ.สระบุรี อดีตข้าราชการครู ได้ออกมาต่อว่ากลุ่มสื่อมวลชน ว่า ตนได้เข้าวัดนี้มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี สื่อมวลชนควรมองภาพที่ดีของวัดพระธรรมกายบ้าง มิใช่เสนอข่าวแต่เฉพาะด้านที่เสียหาย หากไม่มีการห้ามปรามไว้ ที่ผ่านมาคงได้มีม็อบวัดพระธรรมกายออกไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับหน่วยงานของรัฐกันบ้าง คาดว่าความอดทนจะมีขอบเขตจำกัด หากชาววัดพระธรรมกายอดกลั้นไม่อยู่เกิดการรวมตัวกันระดมคนมาจากทั่วประเทศ แล้วออกมาเดินบนถนนประท้วงบ้าง ลองนึกภาพดูว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะภาพพจน์ของรัฐบาล

ขณะที่นางสุธีรากำลังต่อว่าผู้สื่อข่าวอยู่นั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของมูลนิธิธรรมกาย ได้มาดึงตัวนางสุธีรากลับเข้าภายในวัด และได้ต่อว่านางสุธีราที่นำเรื่องราวของวัดพระธรรมกายมาเผยให้สื่อมวลชนฟัง

ด้านนายทองลอย สมาคม อายุ 36 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่มิเตอร์รับจ้าง ได้เปิดเผยภายหลังจากนำผู้โดยสารเข้าไปส่งภายในวัดว่า ภายในวัดเงียบเหงามาก เจ้าหน้าที่ รปภ.ชั้นในได้เข้มงวดกวดขันรถทุกคันแบบสุดๆ เห็นได้จากการที่มีเจ้าหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ติดตามรถรับจ้างตลอดเส้นทาง จนกว่าจะออกพ้นเขตวัด โดยก่อนเข้าไปภายในวัดก็มีการแลกบัตรประจำตัวประชาชน หรือใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และต้องเป็นที่แน่ใจด้วยว่าผู้โดยสารภายในรถมิใช่นักข่าว จึงจะอนุญาตให้เข้าไปภายในวัดได้

อ้างที่ดินมีแต่คนถวายให้

นายวีรศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย กล่าว ถึงพระอักษรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก ทั้ง 2 ฉบับว่า เนื้อความที่ทรงมีพระราชวินิจฉัยไม่ได้หมายถึงหรือระบุถึงวัดพระธรรมกาย แต่หมายถึงวัดทั่วทั้งประเทศ ซึ่งเป็นภาพรวมกว้างๆ ดังนั้นเมื่อวัดพระธรรมกายไม่ได้รับหนังสือใดก็ไม่มีเหตุจำเป็นต้องชี้แจง ทั้งนี้การถวายที่ดินของผู้มีจิตศรัทธาต้องการถวายต่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่ละครั้งก็เป็นความเต็มใจของผู้ให้ รวมทั้งเป็นการขอร้องให้เจ้าอาวาสรับไว้ ดังนั้นแม้ที่ดินจะเป็นชื่อของพระไชยบูลย์ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดอาบัติปาราชิก เพราะเจ้าอาวาสไม่ได้ฉ้อโกงหรือขโมยของใคร

นายวีรศักดิ์กล่าวด้วยว่า วันที่ 2 พ.ค.ก็จะเห็นว่ามีประชาชนมาที่วัดจำนวนมาก และเจ้าอาวาสจะลงปฏิบัติกิจเทศนาแก่ศิษยานุศิษย์ตามปกติ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จากนั้นพระภาวนาวิริยคุณ(พระเผด็จ ทัตตชีโว)รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจะเป็นผู้อธิบายต่อผู้มาปฏิบัติธรรมว่า สถานการณ์ที่แท้จริงของวัดเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ นายวีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า พระไชยบูลย์ปณิธานจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต เพื่อทำงานให้เผยแพร่พระศาสนาให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ดังนั้นที่ดินจะเป็นของใครก็ไม่มีความสำคัญในการโอนที่ดินแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้เงิน ซึ่งบางผืนยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ก่อสร้างเป็นวัดก็น่าจะเก็บไว้แลกเปลี่ยนที่ดินอื่นให้เกิดประโยชน์ วัดพระธรรมกายขอยืนยันด้วยว่า ตลอดมาได้พยายามปฏิบัติตามมติของมหาเถรสมาคมทั้ง 4 ข้อ และหากมีเพิ่มเติม หรือพระลิขิตใดจากสมเด็จพระสังฆราช ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม เพราะเจ้าอาวาสได้กำชับไว้ และฝากให้เจ้าหน้าที่ตลอดจนศิษย์ธรรมกายทุกคนอยู่นิ่งกับกระแสข่าวทุกอย่างอย่าได้ตอบโต้ วัดพระธรรมกายต้องการความสงบสุขและร่มเย็น ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่เคยซ่องสุมหรือปฏิบัติสิ่งใด เพื่อเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ หนีโทษทำพินัยกรรมยกที่ให้วัด

สำหรับบรรยากาศทั่วๆไปภายในวัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนทยอยกันเดินทางเข้าไปนั่งสมาธิ ถวายภัตตาหารเพล และถวายสังฆทาน แต่มีจำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็๖ามมีศิษย์ที่เลื่อมใสในวัดพระธรรมกายเป็นแพทย์จากจังหวัดเชียงใหม่ ได้ส่งโทรสารแนะนำต่อพระไชยบูลย์ให้ทำพินัยกรรมหากมรณภาพ ก็ให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นของวัดหรือมูลนิธิธรรมกาย และให้ประสานกับอธิบดีกรมที่ดินทำหนังสือระบุชัด ห้ามการโอนที่ดินของเจ้าอาวาสทั้งหมดให้กับผู้อื่น หากพระไชยบูลย์สึกก็ให้ถือตามพินัยกรรมระบุให้วัดหรือมูลนิธิเท่านั้น

ในส่วนของอุบาสกอุบาสิกาและเจ้าหน้าที่ของวัด วันนี้ได้ทำงานกันตามปกติ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายชาญนันท์ รักษายศ ปลัดอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ร่วมงานอยู่ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่กล่าวว่า สื่อมวลชนเสนอข่าวไม่ตรงตามความเป็นจริงจึงไม่อนุญาตให้เข้าภายในวัด

นายมานิต รัตนสุวรรณ ศิษย์คนสำคัญของวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ทั้งหมดที่ออกมา รวมทั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ บรรดาศิษยานุศิษย์ดูจากหนังสือพิมพ์แล้ว เห็นตรงกันว่าไม่มีชื่อเจ้าอาวาสวัด แต่มีการผูกโยงกันเองว่า เป็นวัดพระธรรมกาย จึงไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกันอย่างไรถึงได้ไปตีความเช่นนั้น ซึ่งถ้าจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทก็สามารถทำได้ แต่นโยบายของวัดชัดเจน คือเจ้าอาวาสวัดขอร้องทุกคนว่า ขอให้เราไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป ใช้การทำงานเป็นหลัก ไม่ออกไปตอบโต้ ซึ่งการขู่ต่างๆที่ออกมาขณะนี้ ก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่วิธีของชาวธรรมกาย แต่อาจเป็นบุคคลภายนอกที่อาศัยจังหวะเวลานี้ สร้างสถานการณ์ให้คนเข้าใจผิด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยจนรู้สึกชาชิน เมื่อเชื่อเรื่องบาปบุญ อะไรที่ไม่ทำก็ไม่ทำ

"ถ้าเป็นกฏหมายฟ้องร้องศาล ไม่มีชื่อจำเลย คงไม่ถูกต้องนัก แต่ทางวัดคงไม่ทำอะไร เราไม่ได้ทำผิด เรื่องการคืนที่ อย่าเรียกว่าคืนที่ เจ้าอาวาสครองที่ไม่ได้เป็นมติมหาเถรสมาคม ซึ่งยังไม่ได้ออกมาจุดยืนของทางวัดก็คิดว่า สื่อมวลชนตีความกันเอง หนังสือพิมพ์เขียนกลับไปกลับมา จนดูคล้ายกับว่ามีท่านอยู่ในนั้น"

"ธัมมชโย"โผล่แน่

นายมานิต กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังคงปฏิบัติทุกอย่างตามปกติ และวันที่ 2 พ.ค.จ้าอาวาสวัดก็จะออกนำนั่งสมาธิในเวลา 09.30 น.ด้วย

"ท่านมาทุกทีบางทีถึงขนาดลงข่าวว่าท่านจะหนีไป ไม่รู้จะหนีไปไหน เพราะไม่รู้มีความผิดอะไร ท่านก็ยังอยู่ปกติ พวกเราก็คุยกัน อันนี้ยังไม่เกี่ยวกับเรา ส่วนมากตีความกัน มีคนตั้งใจ หรือเจตนาที่จะพยายบามให้เป็นเรา พยายามชี้นำ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่"

แหล่งข่าวจากวัดพระธรรมกายเปิดเผยว่า พระไชยบูลย์ได้เดินทางไปพักผ่อนที่เชียงใหม่หลายวันแล้ว โดยมีการสั่งมอบหมายงานให้กับ พระเผด็จและพระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสาวัดเป็นผู้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ และสั่งการในเรื่องที่ปัจจุบันทันด่วนได้โดยไม่ต้องผ่านเจ้าอาวาส นอกจากนั้น ยังได้บ่นกับเหล่าสานุศิษย์ผู้ใกล้ก่อนเดินทางไปว่า "ช่วงนี้มีมารเผจญ ไม่มีสมาธิในการปฏิบัติธรรมเลย จะไปนั่งสมาธิที่โน้น และเบื่อพวกนักข่าวด้วย"

นอกจากนั้นมีสานุศิษย์ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ดินว่าจะโอนคืนให้กับวัดเมื่อไหร่ พระไชยบูลย์กล่าวว่าที่ไปพักผ่อนครั้งนี้ก็จะดู ๆ เรื่องนี้ด้วย แต่ติดอยู่ที่เป็นวันหยุดราชการ ก็ค่อยหารือกันอีก เพราะตอนนี้มีเรื่องหลายเรื่องต้องคิด