มหาเถรฯ มีมติ ให้พระพรหมโมลีนำพระลิขิต พระสังฆราชที่มีพระประสงค์จัดการปัญหาธรรมกายขั้นเด็ดขาดไปดำเนินงาน ทั้งเรื่องวัดฉาว ทำลายศาสนา สอนผิดเพี้ยน กล่าวหาพระไตรปิฎก บกพร่องเป็นกรรมหนักสุดทางศาสนา มีโทษหนักในปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงการโอนสมบัติŽ ธัมมชโยŽให้วัด สั่งรายงานตรง เจ้าคณะหนใหญ่ ขณะที่ 30 องค์กรพุทธ รุกเข้าเฝ้าฯเรียกร้อง นำกฎนิคหกรรมมาเล่นงานจับเจ้าอาวาสสึกข้อหาอวดวิเศษ จ่อคิวเข้าถก เป็นเรื่องต่อไป

เมื่อเวลา 9.00 น.วันที่ 5 เม.ย.ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และตัวแทนพุทธสมาคม 30 องค์กรเข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยนายก พร้อมถวายหนังสือเปิดผนึกจากองค์กรพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย โดยนายอำนวย รายงานถึงกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงแสดงความสนพระทัย เป็นอย่างมาก และทรงมีพระบัญชาให้นำจดหมายเปิดผนึกไปแจกจ่าย ให้แก่คณะกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปในที่ประชุมวันนี้ด้วย

นายอำนวยเปิดเผยว่า ตนเข้าเฝ้าในฐานะอุปนายกของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ไม่ได้มาในฐานะกรรมาธิการการศาสนาฯ พุทธสมาคม 30 องค์กรมีมติเห็นพ้อง ที่จะทูลถวายหนังสือเปิดผนึก ต่อสมเด็จพระสังฆราช โดยมีใจความโดยย่อว่า ขอให้ทรงพิจารณา ดำเนินการชำระสะสาง กรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย ด้วยปรากฎเป็นที่ชัดเจนว่า กรณีวัดพระธรรมกาย เป็นเรื่องที่มีผลเสียหายร้ายแรง มีผลกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา สมาคมมูลนิธิ และองค์กรทางพุทธศาสนาดังมีรายชื่อได้ปรารภเหตุการณ์ดังกล่าว และปรึกษาหารือกัน จนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า มติมหาเถรสมาคม ต่อกรณีวัดพระธรรมกายนั้น ยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็น ขาดมาตรการที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นเพื่อให้เกิดประสิทธิผลตามมต ิจึงมีความจำเป็น ที่จะต้องดำเนินการชำระสะสางต่อไป

แนวทาง ที่พุทธสมาคม เห็นพ้องกันคือข้อเสนอของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ที่ให้คำแนะนำวัดพระธรรมกายใน 4 ประเด็นเป็นหลักกว้างๆ ถ้าจะให้ได้ผลการปฏิบัติ จำเป็นต้องให้พระในวัดพระธรรมกาย ได้ศึกษาธรรมะ และแนวทางการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัยก่อนที่จะให้เผยแพร่ธรรมะต่อไป ,สมควรที่จะให้มีการตั้ง คณะกรรมการ และคณะทำงานเพื่อที่จะติดตามตรวจสอบกิจกรรมทุกอย่าง ของวัดให้ถูกต้องตามพระวินัย และทางพุทธสมาคมขอให้มีการวินิจฉัยให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์(ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สละสมณเพศ เนื่องจากได้ล่วงละเมิด พระธรรมวินัยมาตลอด และยังมีหลักฐานทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม การอยู่ 2 ต่อ 2 กับสตรีเพศ รวมถึงการซื้อขายที่ดิน อย่างต่อเนื่อง และให้ใช้กฎนิคหกรรมเข้ามาดำเนินการ

นายอำนวยกล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราชเองยังทรงมีพระวินิจฉัย และได้จัดทำเป็นพระลิขิต ประทานแก่อธิบดีกรมการศาสนาในการประชุมมหาเถรสมาคมที่ผ่านมา ซึ่ง 2 ข้อคือการบิดเบือนพุทธรรมคำสอน ทำให้สงฆ์แตกแยก เป็นการทำลาย พระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรมมีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก กับอีกข้อ คือการมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด แต่มหาเถรฯไม่ได้วินิจฉัย จึงสมควรที่จะดำเนินการตามพระลิขิต และการยกเลิกคำสอนวิชชาธรรมกายในทุกรูปแบบ ทุกหนแห่งทั่วประเทศ โอนสมบัต ิเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ของมูลนิธิทั้งหมดให้เป็นสมบัติของวัด

ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อเวลา 13.00 น.ของวันเดียวกัน นางสาววราญาณ์ ดำรงวุฒิการณ์ อายุ 23 ปีเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพล.ต.ท.วิฑูรย์ ศิริพาค ผช.ผบช.ภ.1 โดยกล่าวหา วัดพระธรรมกาย และพระไชยบูลย์ เจ้าอาวาสร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์จากนางอรัญญา ดำรงวุฒิการณ์ ผู้เป็นมารดา โดยนางอรัญญา ถูกผู้นำบุญของวัด ชักชวนให้ไปทำบุญตั้งแต่ต้นปี 2541 งวดแรกได้บริจาค 40,000 บาท หลังจากนั้นก็บริจาคเรื่อยๆ โดยมีพระจากวัดชื่อ พระธรรมสาร โทรศัพท์มาที่บ้าน ชักชวนให้ทำบุญเรื่อยๆ และโทร.มาตอนดึกเสมอ

นางอรัญญา ได้ศรัทธานับตั้งแต่มีการโฆษณาปาฏิหารย์ตะวันแก้ว ยิ่งไปร่วมปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่งวดสุดท้ายบริจาคไปถึง 1.5 แสนบาท รวมเงิน ที่ได้บริจาคไปแล้ว ทั้งสิ้น 2.4 แสนบาท ทางครอบครัวคัดค้านมาตลอดแต่ก็ไม่ยอมฟัง หลังจากที่นางอรัญญา เข้าร่วมกิจกรรมกับวัดแล้ว ก็ไม่ค่อยทำงาน แต่กลับไปเข้าวัดมากกว่า วัดมักโฆษณาว่าใครอยากร่ำรวย เป็นเศรษฐีให้ทำบุญกับวัดมากๆ แต่ทุกอย่างตรงกันข้าม ครอบครัวแตกแยก ฐานะแย่ลง ที่ตัดสินใจมาแจ้งความครั้งนี้นางอรัญญาไม่ทราบเรื่อง

"การที่เราจะทำบุญ ต้องช่วยเหลือตัวเองให้รอดก่อน ที่สำคัญการทำบุญมีวิธีอื่นอีกมากมาย ไม่ใช่เฉพาะการทำบุญด้วยเงินมากๆ มาครั้งนี้ ก็เพราะอยากได้เงิน ที่บริจาคไปนั้น กลับคืนมา ขอฝากไปยังผู้ที่ยังไม่เคยทราบเรื่องว่า หนังสือพระมหาสิริราชธาตุเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นนิยายน้ำเน่า ใครๆก็เขียนได้ ไม่มีมูลความจริงเลย"

เมื่อเวลา 14.00 น.วันเดียวกันที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธาน นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา แถลงภายหลังการประชุมที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงว่า ตามที่มหาเถรสมาคม ได้มีมติจากการประชุม วาระพิเศษ ครั้งที่ 1/2542 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้พิจารณาเอกสารข้อมูลจากทุกฝ่ายเกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกาย รวมทั้งเอกสาร เกี่ยวกับพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแสดงความห่วงใย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน ที่ประชุมจึงมอบเอกสาร พระดำริดังกล่าว ให้แก่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 อีกครั้งในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการในกรณีของวัดพระธรรมกาย และให้พระพรหมโมลี รายงานผลการดำเนินงาน แก่สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่อง

นายพิภพ กล่าวต่อไปว่าอยากชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจภารกิจของกรมการศาสนา เพราะมีกระแส วิจารณ์มาก โดยกรมมีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือสนองงานพระศาสนา โดยมีมหาเถรฯ เป็นองค์กรสูงสุด และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้แก่คณะสงฆ์ทุกระดับตามอำนาจหน้าที่ โดยเฉพาะ สำนักงานเลขาธิการมหาเถรฯ มีหน้าที่ในการสนองงาน ให้แก่มหาเถรฯ ซึ่งต้องยึดหลักความเป็นธรรม และความสามัคคีในชาติและพระศาสนาตามแนวทางที่มหาเถรฯปฏิบัติ การดำเนินการบางเรื่องจึงไม่ทันใจของผู้ปรารถนาดีได้

ด้านนายอำนาจ บัวศิริ นักวิชาการ กรมการศาสนา กล่าวว่า เอกสารพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชนั้น กรมการศาสนา ได้นำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมาแล้ว และในวันการประชุมครั้งนี้ก็มีการนำกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้พระพรหมโมลีติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และควบคุม ดูแลให้วัดพระธรรมกาย ปฏิบัติตามมติอย่างเคร่งครัด ดังนั้นหากวัดพระธรรมกายไม่ปฏิบัติตาม ทางพระพรหมโมล ีก็สามารถดำเนินการสิ่งใด ก็ได้ตามสมควรในฐานะเจ้าคณะผู้ปกครอง

กรรมการมหาเถรฯ รูปหนึ่งกล่วว่า มติดังกล่าวถือว่ารุนแรงสุดแล้ว เพราะให้พระพรหมโมลีไปสั่งให้พระไชยบูลย์คืนที่ดินให้กับทางวัด โดยที่ประชุมมหาเถรฯ ประชุมกัน ในเรื่องนี้ด้วยว่า ที่ดินที่ญาติโยมบริจาคให้วัดแต่ใช้ชื่อเจ้าอาวาสก็ต้องโอนให้วัดทันที ยกเว้นที่ดิน ที่พระไชยบูลย์ใช้เงินตัวเองไปซื้อ หรือญาติโยม บริจาคให้ ส่วนที่ดินของมูลนิธิธรรมกาย หากญาติโยมต้องการจะให้วัดก็ต้องปฏิบัติตามนั้นด้วย และพระพรหมโมลีต้องทำตามหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนกรณี หนังสือเปิดผนึก ของพุทธสมาคม 30 องค์กรยังไม่พิจารณา เพราะรายละเอียดมาก

"มหาเถรฯ คงทำได้แค่นี้ เพราะต้องแยกเป็น 3 เรื่องคือ 1. ความผิดทางโลกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องดำเนินการ 2.ความผิดทางธรรม หากมีการกล่าวหา พระไชยบูลย์ปาราชิก อวดวิเศษ ต้องฟ้องร้องขึ้นมา ตามกฎมหาเถรฯฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม โดยร้องเรียนตามลำดับ และ 3.มหาเถรฯ มีมติให้ดำเนินการ ตามข้อเสนอพระพรหมโมลี 4 ข้อ และให้ติตดามอย่างใกล้ชิด หากไม่ปฏิบัติถือว่าขัดมติมหาเถรฯฯ