เดลินิวส์ 31/3/2542

พระนิสิตล่าชื่อ ต้าน'ธรรมกาย'

มหาจุฬาฯ รุกฆาต พระนิสิตลงมติ ล่าลายชื่อถึงมหาเถรฯ ตัดสินปัญหาธรรมกายตามแนวพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงระบุชัด การสอนธรรม ผิดเพี้ยน อ้างพระไตรปิฎก บกพร่องทำให้สงฆ์แตกแยก ต้องได้รับโทษสูงสุดเป็นกรรมหนักทางศาสนาสุดที่จะอภัย พร้อมกับที่ดิน-ทรัพย์สิน"ธัมมชโย"ต้องโอนให้วัด

จากกรณีที่"เดลินิวส์" ได้ติดตามข่าว ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ลูกศิษย์และโยมอุปัฎฐากสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยายก ระบุว่าสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิต ให้แก้ปัญหาธรรมกายใน 2 ประเด็นคือการสั่งสอนผิดเพี้ยน และอ้างพระไตรปิฎกบกพร่องทำให้สงฆ์หลงเชื่อ แตกแยกเป็น 2 ฝ่ายถือเป็นกรรมหนักสุด ในศาสนาเรียกว่าอนันตริยกรรม ห้ามมรรคผล-นิพพานต้องได้รับโทษสูงสุดทั้งในปัจจุบันและอนาคน รวมถึง ถ้าพระมีสมบัติระหว่างบวช ต้องโอนให้วัด แต่กรมการศาสนา ม่ได้นำพระลิขิตนี้เสนอเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม จนทำให้การตัดสินใจ กรณีธรรมกายออกมาเหมือนว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงไม่สนใจปัญหาดังกล่าวนั้น เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้มีโทรศัพท์จำนวนมาก ถึง ม.ล.จิตติ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง พระลิขิต รวมถึงยังมีหน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงโทรศัพท ์มาติดต่อสอบถามด้วย โดยม.ล.จิตติ และลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราชได้กล่าวว่า เรื่องวัดพระธรรมกายนั้น จะปล่อยไม่ได้ เพราะอันตราย ต่อพระพุทธศาสนา โดยได้ยกโอวาทของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทานอบรมสั่งสอน พระภิกษุ ภายในวัดอยู่เสมอมาให้ฟังด้วยว่า สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ได้สอนภิกษ ุโดยเปรียบเทียบกับนิทาน เรื่องแขกเต้าสองตัว เป็นพี่น้องกัน และวันหนึ่งพายุพัดมา ทำให้นกตัวหนึ่ง ตกไปอยู่ในมือ ของพระฤาษี อีกตัวหนึ่งตกไปอยู่ในมือของมหาโจร ซึ่งนกแขกเต้าที่ไปอยู่ กับพระฤาษีนั้นก็มักจะถูกสั่งสอนให้พูดอยู่เสมอเมื่อเจอคนว่า ถ้าร้อนนักก็เชิญมา กินน้ำกินท่า ให้รู้สึกสดชื่อสบายใจ ในขณะที่นกแขกเต้าที่อยู่กับโจรถูกสั่งสอนว่า ให้เอาทรัพย์สินของเขา มาให้หมด มีเท่าไหร่เอาให้หมด อย่าให้เหลือ

พระพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบ นกแขกเต้าทั้งสองตัวนี้ว่า เหมือนกับญาติโยมชาวพุทธคนทั่วไป ที่หวังพึ่งพิงพระสงฆ์ยามเมื่อเดือดร้อน ดังนั้น พระควรทำตัว เหมือนฤาษี อย่าได้ทำตัว เหมือนมหาโจรซึ่ง โอวาทของพระพทุธเจ้าในเรื่องนี้สมเด็จพระสังฆราชได้ทำเป็นพัดไว้แจกในงานสำคัญๆ เป็นรูปนกแขกเต้า กับฤษีและนกแขกเต้ากับมหาโจร

ส่วนพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย เปิดเผยว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เป็นเรื่องที่ดีมาก เหมือนเป็นคำสั่งแม่ทัพ นายกอง เมื่อสั่งไปแล้วต้องทำ ไม่ทำไม่ได้เท่ากับขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา เป็นการผิดยุทธวิธี ไม่เข้าใจว่า ภายในลึกๆ จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นอย่างไร ทำไมไม่เปิดเผย ตามหลักแล้ว อธิบดีกรมการศาสนาในฐานะที่เป็นเลขาธิการมหาเถรฯโดยตำแหน่ง ต้องรับผิดชอบ เมื่อได้รับบัญชา ต้องนำไปแจกจ่ายทันที โดยเฉพาะในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้

ในขณะนี้ พระนิสิตของมหาจุฬาฯ กลับมาจากการนั่งวิปัสนากรรมฐาน จึงได้มีการประชุมพูดคุยกัน ในซึ่งพระนิสิตได้มีการพูดคุย และมีการวิเคราะห์ ปัญหาธรรมกาย และลงมติเห็นด้วย กับงานการดำเนินการของพระผุ้บริหารที่ออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา และพระนิสิต พร้อมที่จะปกป้อง พระศาสนา ที่มีการสืบทอดต่อมา เป็นระยะเวลายาวนานมิให้มีลัทธิใดลัทืธิหนึ่งมาทำลาย จึงได้รวมตัวกันเสนอ ให้พระผู้บริหาร ของมหาจุฬาฯดำเนินการ เคลื่อนไหว ในเรื่องนี้ต่อไป อย่าได้ปล่อยเรื่องนี้ไว้เป็นเสี้ยนของพระพุทธศาสนา

ภายหลังที่กลับมา จากโครงการบรรพชาภาคฤดูร้อน พระนิสิตจะออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เอง โดยจะทำถึงขั้นลงชื่อเพื่อทำหนังสือถึงมหาเถรฯ ให้ทบทวนมติใหม่ เพราะถือว่า ที่ผ่านมา ป็๋นเพียงคำแนะนำ ของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคที่ 1 ไม่ใช้ของมหาเถรฯ และให้ยึดพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช ที่ท่านมีพระราชประสงค์ให้ช่วยกันทะนุบำรุง ปกป้องพระศาสนา

นอกจากมหาจุฬาฯ แล้วยังมีมหามกุฎฯมหาวิทยาลัยสงฆ์อีกแห่ง ที่ตกลงจะร่วมกันเคลื่อนไหว ในการปกป้องพระศาสนาในทิศทางเดียวกัน จะไม่ยอมให้ใคร มาย่ำยีหรือทำลายพระไตรปิฏก

รายงานข่าว จากสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม กรมการศาสนาเปิดเผยว่าพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เกิดขึ้นเมื่อการประชุมมหาเถรฯวันที่ 19 มี.ค. ซึ่งพระพรหมโมล ีเสนอแนวทาง การดำเนินการกับวัดพระธรรมกายในฐานะพระผู้ปกครอง และสมเด็จพระสังฆราช ทรงนำข้อคิดเห็น ในฐานะประธานมหาเถรฯ เสนอที่ประชุม ในวันนั้นได้มีมติให้ กรมการศาสนานำข้อเสนอของมหาเถรฯแต่ละรูปไปพิจารณา และมีการปกปิด การประชุมวาระพิเศษในวันที่ 22 มี.ค.

ปรากฎ เมื่อถึงวันประชุมวาระพิเศษ กรมการศาสนายังไม่สามารถพิจารณาข้อคิดเห็นทั้งหมดได้ จึงมีมติให้ยืนตามข้อเสนอของพระพรหมโมลีไปก่อน เพื่อลดกระแส โดยข้อคิดเห็น ของกรรมการมหาเถรฯ แต่ละรูปยังไม่มาีการพิจารณา อาทิพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชด้วย และจะต้อง มีการพิจารณาในมหาเถรฯ อีกครั้ง โดยพระผู้ใหญ่บางรูป ยังไม่เชื่อข้อมูล ที่ปรากฎขึ้นมาอาท ิเรื่องการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) ที่จะไม่สรุป จนกว่าจะเห็น ข้อมูลของหน่ววยราชการ เพราะวัดพระธรรมกาย มีคนระดับหัวกระทิ ถ้าตัดสินไปแล้วถูกแย้งว่า เป็นเรื่องเท็จ จะสร้างความเสียหายแก่มหาเถรฯ

เช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมผู้บริหารของกรมการศาสนา โดยได้มีการหยิบยก กรณีวัดพระธรรมกายขึ้นมา และตกลง จะให้ตอบตรง กันว่า กรณีธรรมกาย ยังไม่มีโจทก์ฟ้อง จึงยังไม่มีการสอบสวนทางวินัย และทางกฎหมายยังไม่มีหลักฐานพอ โดยกรมต้องเป็นกลาง อยู่เฉย ๆ ไม่รุก ขณะที่นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ให้สัมภาษณ์ว่า พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจะเสนอที่ประชุมมหาเถรฯครั้งหน้า