เดลินิวส์ 27/3/2542

ปัญหาธรรมกาย ร้ายกว่า"ยันตระ"

สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระราโชบายชัดยุติปัญหาธรรมกาย ตรัสพระรูปใดบิดเบือนคำสอน กล่าวหาพระไตรปิฎกบกพร่อง ทำให้สงฆ์หลงเชื่อแตกกลายเป็น 2 ฝ่าย เป็นความผิดร้ายแรงสุดของศาสนา แม้ตายไปก็ต้องลงอเวจี โทษทัณฑ์เท่าฆ่าพ่อ-ฆ่าแม่-ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด นอกจากนั้นทรงย้ำพระรูปใดมีสมบัติระหว่างบวชต้องโอนเป็นของวัด ทรงมอบเรื่องให้กรมการศาสนาแล้ว แต่ปรากฎกลับเพิกเฉยแม้กระทั่งไม่ยอมเผยแพร่ออกมา

เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมาหม่อมหลวงจิตติ นพวงศ์ ศิษย์และโยมอุปัฏฐาก สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เปิดเผยถึงกรณีปัญหาธรรมกายว่า หลังจากมหาเถรสมาคมมีมติเห็นชอบตามที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เสนอมาตามอำนาจของสงฆ์ฝ่ายปกครอง และมีการวิจารณ์ว่ามหาเถรฯรวมถึงสมเด็จพระสังฆราชทรงเมินเฉยต่อปัญหานี้ แต่แท้ที่จริงแล้วสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนา และท่านถึงกับตรัสให้พิมพ์พระดำรัสหรือเรียกได้ว่าเป็นพระราโชบายให้กับกรมการศาสนาไปแล้ว แต่กรมการศาสนากลับเพิกเฉยไม่ยอมนำไปปฏิบัติหรือเผยแพร่เลย

พระราโชบายดังกล่าวหม่อมหลวงจิตติกล่าวว่าจากการที่ไปเข้าเฝ้าสมเด็ยพระสังฆราช ก่อนวันที่มหาเถรฯจะมีมติเรื่องวัดพระธรรมกาย สมเด็จพระสังฆราชพิมพ์พระดำรัส 2 ใบข้อความเดียวกัน โดยมีเนื้อหา 2 ประเด็นคือเรื่องการบิดเบือนคำสอนในศาสนา กับการถือครองทรัพย์สมบัติ เช่นที่ดินของพระสงฆ์

สำหรับประเด็นแรกคือการบิดเบือนพระศาสนาซึ่งทรงมีพระดำรัสว่า "ความบิดเบือนพระพุทธธรรม คำทรงสอนโดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็น 2 มีความเข้าใจพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนัตตริยธรรม มีโทษทังปัจจุบันและอนาคตที่หนัก"

หม่อมหลวงจิตติกล่าวอีกว่าคำที่สมเด็จพระสังฆราชใช้คือ "อนันตริยกรรม" ถือเป็นคำรุนแรงสุดในศาสนา เพราะอนันตริยกรรมเป็นกรรมหนักสุดในพระศาสนา ห้ามมรรคผล นิพพาน และจะลงนรกอเวจีทันทีได้แก่การฆ่าพ่อ, การฆ่าแม่, การฆ่าพระอรหันต์, การทำให้พระพุทธเจ้าเลือดให้ห้อเลือด และทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยก

ส่วนประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับสมบัติใดๆ ที่ได้มาขณะที่เป็นพระท่านมีพระดำรัสที่เหมือนกับพระราโชบายว่า "โดยที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที"

พระดำรัสทั้งหมดลูกศิษย์ในห้องกระจก วัดบวรนิเวศ ได้เห็นว่าสมเด็จฯพระสังฆราช ได้แนบพระดำรัสทั้ง 2 ใบไว้ก่อนเข้าประชุมมหาเถรฯ ซึ่งเมื่อประชุมเสร็จม.ล.จิตติกล่าวว่า ตนและเพื่อนก็รอเข้าเฝ้าต่อและเห็นว่าหลังจากการประชุมมหาเถรฯแล้วพระดำรัสหายไป 1 ใบ จึงทูลถามว่า
เอกสารหายไปไหน
สมเด็จฯท่านตอบว่า ได้มอบให้อธิบดีกรมศาสนานำไปเผยแพร่ 1 แผ่น

"พวกเราทั้งหมดที่เป็นลูกศิษย์สมเด็จฯยืนยันว่าจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายพระพุทธศาสนาของเป็นอันขาด เนื่องจากปัญหาที่กิดขึ้นนี้นี้ยิ่งใหญ่ ร้ายแรงกว่ากรณียันตระ,สันติอโศก และพร้อมจะเข้าชื่อเพื่อถวายฎีกา"

ศาสตราจารย์ระวี ภาวไล ผู้อำนวยการธรรมสถาน มหาวิทยาลัยจุฬาฯ ได้กล่าวถึงเรื่องปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่กำลังอยู่ในกระแสการวิพากษณ์วิจารณ์ของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นตัวอย่างให้คนไทยได้รู้ว่า สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันเป็นอย่างไร เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธแต่ไม่มีความรู้ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ปัญหาความขัดแย้งต่างๆจึงเกิดขึ้น

"กรณีของวัดพระธรรมกาย เป็นชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม และเมื่อปัญหาเกิด ก็ชี้ให้เห็นว่าไม่มีปัญญาในการแก้ไขปัญหา จึงใช้วิธีการนอกระบบด้วยการขว้างระเบิดบ้านท่านราชบัณฑิต คงมองกันออกว่าฝ่ายไหนขาดปัญญา มันสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่ขาดปัญญา ทั้งๆที่ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก ซึ่งเป็นทั้งนักคิดและเป็นผู้ถ่ายทอดความคิดและชี้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องออกมา นอกจากจะไม่อ่านและไม่ปฏิบัติแล้ว ผู้ไร้ปัญญายังเอาท่านมาอ้างเพื่อทะเลาะกันอีก ถึงเวลาแล้วที่เราชาวพุทธต้องกลับมาทบทวนบทบาทตัวเองเสียใหม่"