เดลินิวส์ 18/6/2542
ไชยบูลย์ฟ้องศาลเล่นงาน'อาคม'
สภาทนายความ ชักธงรบทวงความยุติธรรมนำ 2 เจ้าทุกข์ร้องกองปราบจัดการเดียรถีย์ "สาลี่ เมืองสุพรรณ"ตั้งข้อกล่าวหายักยอก ฉ้อโกง ส่วนเหยื่อดูดบุญ "กนกวรรณ"ตั้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงโดยลำพัง หวังเป็นเชื้อให้ผู้เสียหายแจ้งความเพิ่มเป็นคดีฉ้อโกงประชาชน "วาสนา"แบ่งทีม สอบสวนลง 15 จังหวัดเก็บข้อมูล แย้มมีหลักฐานในมือมากพอแล้วแต่ขอให้พลเมืองดีส่งหลักฐานเพิ่ม "ไชยบูลย์"ดิ้นอีกเฮือกฟ้องศาล เล่นงาน"อาคม" พร้อมทั้งให้คำสั่งมหาเถรฯเรื่องที่ดินนำไม่มีผลบังคับใช้ แฉใกล้จนตรอก คำฟ้องยืนยันชัด เจตนา"อม" ตั้งตนเป็นขบถไม่ยอมรับองค์กรสงฆ์
การสางเสี้ยนศาสนา พระปลอม"นายไชยบูลย์ สุทธิผล" เพิ่มความเข้มข้นทุกขณะ เมื่อนายไชยบูลย์ประกาศสู้ โดยยื่นฟ้องต่อศาล เล่นงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับการสางปัญหาธรรมกายหลายคน ขณะที่สภาทนายความ จะพาเจ้าทุกข์เหยื่อลัทธิดูดบุญ ร้องต่อกรองปราบปราม เพื่อจัดการกับเดียรถีย์
ศาลแพ่งรับฟ้องคดีธรรมกาย
ที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายจักรกฤช เจริญเลิศ ผู้พิพากษาได้มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องคดีปกครองที่ 125/2542 โดยนายวีระศักดิ์ ฮาดดา ไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย ตัวแทนรับมอบอำนาจจากนายไชยบูลย์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาฯ จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 6 คนประกอบด้วย นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ที่ 2 นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธบดีกรมการศาสนา ที่ 3 นายสำรวย สารัตถ์ ผอ.สนง.เลขาธิการมหาเถรฯ ที่ 4 นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา ที่ 5 นายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้าฝ่ายนิติกร ที่ 6 และนายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ที่ 7 ข้อหาละเมิด กรรมสิทธิ์ ผิดพ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 และพ.ร.บ.ความรับผิดชอบ ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ โดยนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ 24 ส.ค.2542 เวลา 9.00 น.
บรรยายฟ้องสรุปว่า โจทก์ได้บวชมาตั้งแต่ปี 2520 ถึงปัจจุบัน ระหว่างนั้นได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายทรัพย์สินเป็นที่ดินในหลายจังหวัดรวม 1,747 ไร่ โดยแสดงเจตนา มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ดังนั้นที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่กรรมสิทธิของวัดพระธรรมกายตามพ.ร.บ.สงฆ์ ต่อมาได้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ ์ในที่สาธารณะและสื่อมวลชนหลายแขนงว่าโจทก์ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ กระทั่งเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาจำเลยที่ 1-6 ได้หลอกลวงว่า หากโจทก์โอนที่ดิน ให้เป็นกรรมสิทธิของวัด แล้วจะทำให้กระแส การคเลื่อนไหวต่างๆยุติ หรือบรร เทาลง โจทก์เห็นเป็น เรื่องดีและไม่เคยมีความคิดที่จะนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงได้ทำหนังสือแสดงเจตนา ที่จะโอนที่ดิน ทั้งหมดคืนให้แก่วัด แต่ได้มีการวางข้อแม้ว่า การโอนที่ดินต้องเป็นไปตามความยินยอมและวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคแต่ละราย
ต่อมาวันที่ 27 พ.ค.2542 จำเลยที่ 1 ได้สั่งการให้ออกหนังสือ ศธ.0308/5164 เรื่องวัดพระธรรมกายรับที่ดินและเร่งรัดให้โจทก์ทำหนังสือตอบรับ พร้อมทั้งกล่าวหา ต่แเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า โจทก์ละเมิดพระธรรมวินัย มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ กล่าวหาว่าโจทกื กระทำผิดทางอาญา ฐานแจ้งความเท็จ-ยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทั้งที่จำเลยทั้งหมดรู้ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด
ขอศาลสั่งล้มมติมหาเถรฯ
การทุจริตหลอกลวง ให้ทำหนังสือแสดงเจตนาโอนที่ดินของโจทก์ให้แก่วัดนั้น เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด ในสาระสำคัญ และเนื้อหาแห่งนิติกรรมหนังสือแสดงเจตนา ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เพราะผิดเงื่อนไขไม่เป็นไปตามความยินยอมของเจ้าของเดิม การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงไม่สามารถกระทำได้ การบีบบังคับด้วยประการทั้งปวงของจำเลย เป็นการกระทำละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และถือเป็นการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากยังมีพระทั่วประเทศที่ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นส่วนตัว
นอกจากนี้ จำเลยยังให้ข่าวแก่สื่อมวลชนให้ร้ายโจทก์ด้วย รวมทั้งการแถลงการจับกุมดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์หลายข้อหา ทั้งที่โจทก์เป็นถึง พระราชาคณะสร้างสม ทำนุบำรุงศาสนาและสาธารณสมบัติ แต่กลับถูกทำลายและถูกกระทบสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน และยังถูกละเมิดอย่างซ้ำซาก แม้จะส่งตัวแทนเข้าชี้แจงให้เข้าใจเพื่อยุติเรื่องแต่จำเลยก็เพิกเฉย โจทก์จึงต้องฟ้องต่อศาลขอให้โปรดพิพากษาว่า หนังสือแสดงเจตนา ในเรื่องที่ดิน ลงวันที่ 9 พ.ค.2542 เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย และให้พิพากษาว่ามติมหาเถรฯครั้งที่ 15/2542 ไม่สามารถ นำมาบังคับใช้กับโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้ง 7 เป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ฝ่าฝืนกฎหมายและละเมิด ให้ศาลสั่งจำเลยทั้ง 7 ระงับการกระทำหมิ่นประมาท และห้ามล่วงละเมิดในทางอาญา ตลอดจนห้ามเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของโจทก์อีกต่อไป
หารือเครียดรับมือ"ไชยบูลย์"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 9.00 น. ของวันเดียวกัน นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของกรม อาทิ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ นายเชลียง เทียมสนิท ฯลฯเข้าหารือกรณีที่นายไชยบูลย์ส่งตัวแทนไปยื่นฟ้องที่ศาลแพ่ง โดยใช้เวลาในการหารือราว 1 ชั่วโมง เมื่อออกจากห้องประชุม นายพิภพไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดในการหารือแต่อย่างใด บอกเพียงว่าไม่มีข้อมูลที่จะให้สัมภาษณ์ ส่วนเรื่องการประชุมมหาเถรฯนั้น จะไม่มีเรื่องของวัดพระธรรมกายเข้าในที่ประชุม แม้ว่าก่อนหน้านี้ ได้เคยระบุว่าจะแจ้งให้มหาเถรฯ ทราบว่ากรมการศาสนา ได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญากับนายไชยบูลย์แล้วก็ตาม
ด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑลกล่าวว่า ทางกรมการศาสนายังไม่ได้รับหมายศาล แต่คาดว่า ทางวัดพระธรรมกายคงจะฟ้องร้อง เรื่องเกี่ยวกับที่ดิน ที่ทางวัดมีสิทธิ์ที่จะครอบครองและมีอำนาจเต็มที่ กรมการศาสนา ไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับ ให้โอนที่ดิน ตามที่กรมต้องการได้ อย่างไรก็ตามเมื่อกรมได้รับหมายศาลแล้วก็ต้องต่อสู้กัน ตอนนี้กรมการศาสนา ยังไม่ได้เตรียมการใดๆ เพราะคิดว่าทางวัดพระธรรมกาย จะฟ้องร้องเพื่อแก้เกี้ยวมากกว่า
ร้อง"ชวน"เล่นงาน"อาคม"
ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยพระลูกวัดอีก 4 รูปและนายวีระศักดิ์ ฮาดดา เลขานุการ มูลนิธิธรรมกาย เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งเอกสารในการยื่นฟ้องนายอาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะ ผู้กำกับดูแลกรมการศาสนา โดยมีเจ้าหน้าที่ กองรับเรื่องราวร้องทุกข์เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว
พระปลัดสุธรรมกล่าวว่า เดินทางมาในนามของนายไชยบูลย์เพื่อขอความเป็นธรรม เพราะในขณะน ี้ได้มีการกล่าวโทษนายไชยบูลย ์ในคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จ ยักยอกทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริงและไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดความเสียหาย และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม จึงมีความจำเป็น ที่จะต้องพิสูจน์ในชั้นศาลว่า ที่ดินที่กรมการศาสนากล่าวหานั้น เป็นที่ดินซึ่งได้มาโดยผู้มีจิตศรัทธา นายไชยบูลย์บริจาคให้เป็นส่วนตัว หรือเป็นการบริจาคให้แก่วัด ซึ่งศาลประทับรับฟ้องแล้ว
ขณะเดียวกัน คณะวัดพระธรรมกายเดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการด้วย โดยพระปลัดสุธรรม กล่าวว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ของนายไชยบูลย์ที่ตอ้งการ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ และจะทำหนังสือชี้แจงต่อมหาเถรฯด้วย และกำลังพิจาณรา เรื่องการให้สัมภาษณ ์เพราะมีสื่อมวลชนต่างประเทศ หลายสำนกัติดต่อเข้ามา ส่วนที่มีการอายัดหนังสือเดินทางของนายไชยบูลย์ก็ไม่มีปัญหาเรพาะไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศอยู่แล้ว
"การฟ้องร้อง ไม่ใช่ต้องการเงิน แต่เมื่อมีผู้ไม่เข้าใจก็ต้องพิสูจน์ให้ศษลตัดสิน และจะขอให้มีการลงขอโทษในหน้าหนังสือพิมพ์ 1 เดือน "
นายวิระศักดิ์ กล่าวว่า วัดเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการและกรมการศานาเลิกให้ข่าวชี้นำ ในวันที่ 18 มิ.ย.จะเดินทางไป ขอความเป็นธรรม ที่กองปราบปรามอีกแห่ง ส่วนเอกสารที่ดิน 304 ไร่ที่จะทำการโอนจะมีหนังสือประสานมายังกรมการศานาอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างคณะวัดพระธรรมกายเดนิทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา เดินทางออกจากการประชุม มหาเถรฯทันที จากนั้นปิดห้องหารือ และพระปลัดสุธรรมหอบหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์หอบใหญ่กบับไป โดยบอกว่าอธิบดี กรมการศาสนาให้มา และจะนำไปศึกษา
คำฟ้องแสดงเจตนาฮุบที่ดิน
นายวันชัย สอนศิริ เลขาธิการ สภาทนายความ กล่าวว่า การฟ้องร้องสามารถทำได้ แต่ผลของคดีต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล แต่เท่าที่ดูไม่เห็น ประโยชน์อะไรที่จะทำ ไม่เป็นผลดีทางวัด เพราะการมาอ้างว่าที่ทำหนังสือ แสดงเจตจำนงโอนที่ดินไป เพราะความสำคัญผิดในนิติกรรม และต้องการให้หนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าวเป็นโมฆะ คำอ้างอย่างนี้เหมือนกับ เป็นการตอกย้ำว่าตัวเอง ไม่ต้องการโอนที่ดินเหล่านี้ทั้งหมดให้แก่วัดหรือพระศาสนา
"การฟ้องเป็นการตอกย้ำ อย่างจงใจว่าไม่อยากโอนที่ดิน ที่ต้องทำหนังสือโอนเพราะกระแสสังคม ต้องการจึงทำเรื่องขึ้นมา เพื่อไม่ให้ถูกโจมตี เป็นการเปิดเผย เบื่องลึกเจตนาที่แท้จริง และขณะทำหนังสือฉบับนี้ ตัวเองทำมีสติสัมปชัญญะ สมบูรณ์เป็นเจ้าคุณชั้นราช อยู่ในการปกครองของมหาเถรฯ ย่อมรู้และเข้าใจในตัวบทกฎหมายและข้อระเบียบของคณะสงฆ์อย่างดี"
ในคำฟ้องยังสะท้อนให้เห็นว่า เป็นการประกาศไม่ยอมรับต่อกรมการศาสนา รวมไปถึงไม่ยอมรับ ต่อมหาเถรสมาคมที่มีมติให้โอน ที่ดินระหว่างเป็นพระให้วัด ทั้งที่ตัวเองประกาศ เคารพมหาเถรฯ เพราะในคำฟ้องมีการขอให้ศาลพิพากษาว่ามติมหาเถรครั้งที่ 15/2542 นำมาบังคับ กับตัวเองไม่ได้ นำ2เจ้าทุกข์ร้องฉ้อโกง
นายวันชัยกล่าวอีกว่า สภาทนายความโดยนายอุดม ศุภสินธุ์ ประธานฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายและคณะทนายความ 10 คน จะเดินทางไปท ี่กองปราบปรามในวันที่ 18 มิ.ย. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีพร้อมกับมอบหลักฐานข้อเท็จจริงฟ้องร้องนายไชยบูลย์ด้วย โดยโจทก์ที่ยื่นฟ้อง จะมี 2 คน ๆแรกคือนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาวนาสุพรรณบุรี ในข้อหายักยอก และฉ้อโกง คนที่ 2 คือนางกนกวรรณ เลิศตระกูลพิทักษ์ ในข้อหาฉ้อโกงโดยลำพัง และสภาทนายความหวังว่า จะมีผู้เสียหายอีกหลายราย เดินทางมาแจ้งความต่อไป เมื่อคดีมีการสอบสวนขยายผล กลายเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนได้ "เชื่อว่าเอกสารสำนวนที่จะนำไปแจ้งความมีความสมบูรณ์แน่นหนาพอ โดยสำนวนแต่ละคดี มีจำนวนชุดละ 10 กว่าฉบับ"
สำหรับคดีการฟ้องร้อง ทางแพ่งจะพิจารณากรณีของนางกนกวรรณ โดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.คณะทำงานได้สรุปผล การอสบสวนพยาน หลายฝ่ายประกอบด้วยแพทย์,สามี รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง คาดว่าสัปดาห์หน้าจะดำเนินการเองได้ เพราะเท่าที่ดูหากให้ กรมการศาสนาไปดำเนินการ จะไม่มีผลอะไร ไร้หลักฐานมัดโทร.ขู่ระเบิด
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยโทรศัพท์ไปขู่พระสุเมธาภรณ์ว่า มีการวางระเบิดที่วัดมูลจินดารามว่า เวลา 02.00 น. กำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจนำโดยพ.ต.ท.ณัฐพล ศุภระศร รองผกก.สส.สภ.อ. ธัญบุรี ได้เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักเลขที่ 3/222 หมู่บ้านจิตตภาวรรณ ซอยพหลโยธิน แขวงวัดเกาะ เขตสายไหม กทม. ซึ่งเป็นบ้านของนางภิธาดา ภิมลศิริ อายุ 42 ปี โดยภายในบ้านังกล่าว มีนายศิวนาถ มูลทองจาก อายุ 32 ปี อาสัยอยู่ภายในบ้าน ตำรวจจึงได้นำตัวบุคคลทั้ง 2 มาทำการสอบสวน ร่วมกับ พ.ต.อ.สมชัย เจริญทรัพย์ รองผบก.ภ.จังหวัดปทุมธานี พ.ต.อ.ทวีพันธ์ แสงประเสริฐ ผกก.สภ.อ.ธัญบุรี
จาการสอบสวนนางภิธาดา ได้ความว่า ไม่ได้อยู่บ้านในช่วงวันเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้เนื่องจากเดินทางไปธุระที่จังหวัดปราจีนบุรี คงมีเพียงนายศิวนาถอยู่บ้านเพียงคนเดียว ซึ่งปกติแล้วก็ไม่เคยได้ยินนายศิวนาถพูดหรือกล่าวถึงวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด โดยนายศิวนาถนั้น เคยบวชอยู่ที่วัดห้วยจันทร์ จังหวัดลพบุรี รวม 8 พรรษาก่อนลาสิกขาบทออกมา เป็นคนให้หวยแม่น ทำให้ถูกขู่อาฆาตจากบรรดาเจ้ามือ จึงได้หนีมาอาศัยอบู่ที่บ้านหลังดังกล่าวและช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่เก็บค่ารักษาพยาบาล มีคนให้ความเชื่อถือ มากพอสมควร แต่นายศิวนาถจะเป็นผู้โทรศัพท์ไปขู่วางระเบิดหรือไม่นั้นไม่ทราบ
ด้านนายศิวนาถ ให้การว่าไม่เคยรู้จักวัดพระธรรมกายมาก่อนเลย และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโทรศัพท์ไปขู่วางระเบิดด้วย เพราะไม่รู้เบอร ์ของวัดมูลจินดาราม ที่ผ่านมาก็รักษาแต่คนไข้ที่มาขอความช่วยเหลือ แต่พูดิย่างไรตำรวจก็ไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวนยังไม่สามารถตั้งข้อหาใดได้ เนื่องจากข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่นั้นอ่อนเกินไป แม้ว่าจะสืบมาแน่ชัดว่า บ้านหลังดังกล่าวนี้ ได้ใช้โทรศัพท์โทร.ไปขู่วางระเบิดแน่นอน จึงจำเป็นต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมคาดว่าอีก 4-5 วันจะเรียกตัวบุคคล ทั้งสองมาดำเนินการ สอบสวนอีกครั้ง แต่โทษในเรื่องนี้ก็เป็นเพียงลุหโทษเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ปล่อยบุคคลทั้งสองกลับไป เปิดตู้ปณ.ขอหลักฐานทุจริต
ที่กองปราบฯ มีการประชุม ทีมสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย โดยใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสอบสวน พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัต ผช.จเรตำรวจ พล.ต.ต.จุมพล มั่นหมาย ผช.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วิฑูรย์ ศิริภาค ผช.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อชิระ สมแก้ว ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี และชุดสอบสวน อีกจำนวนหนึ่ง
หลังการประชุมพล.ต.ท.วาสนากล่าวว่า เป็นการหารือเรื่องแนวทางการทำงานและแบ่งกำลังเข้าไปทำงานในพื้นที่ โดยจะมีทั้งสิ้น 15 ชุดออกไปสืบสวน ใน 15 จังหวัด ให้รายงานความคืบหน้าทุก 3 วันและให้รวบรวมข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมให้มากที่สุด ส่วนที่นายไชยบูลย์ ฟ้องต่อศาลแพ่งกรณ ีละเมิดการถือครองที่ดินนั้น คงไม่มีปัญหากับการทำงานของชุดสอบสวนแน่นอน และก็จะมีการเรียก พยานมาทำการสอบปากคำต่อไป
"ข้อมูลต่างๆขณะนี้ มีอยู่ในมือมากพอสมควร แต่ก็อยากให้พลเมืองดี ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต และกระทำผิดกฎหมาย ในเรื่องต่างๆช่วยแจ้งข้อมูล เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตู้ปณ. 456 บางรัก กทม.10500 เพื่อจะได้ยุติเรื่องนี้โดยเร็ว และหากว่า มีการกระทำความผิดจริง ก็จะใช้มาตรา 29 พ.ร.บ.สงฆ์ดำเนินการจับสึกทันที ดังนั้นขอให้สอบสวน เรื่องนี้ชัดเจนมากกว่านี้ ก่อนจึงจะบอกได้แน่ชัดว่า ตำรวจจะดำเนินการอย่างไรต่อไป"