ปาฏิหาริย์หรือความจริง

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาถึงความอัศจรรย์บนท้องฟ้า เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม, 6 กันยายน และ 11 ตุลาคม 2541 ณ วัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รวมพลังผู้ทำบุญตอนเย็นของมหาธรรมกายเจดีย์ ทางทิศเหนือ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน 'เนชั่น สุดสัปดาห์' ขอคัดลอกข้อความจากหนังสือ 'สุดยอดปาฏิหาริย์' จัดทำโดย วัดพระธรรมกาย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

"ในวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ 6 กันยายน 2541 หลังจากที่ภาคเช้ามีการปฏิบัติธรรม และบูชาข้าวพระ ตอนบ่าย มีการมอบองค์พระมหาสิริราชธาตุ และการหล่อพระธรรมกายประจำตัว จารึกชื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. ได้มีการรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่ออธิษฐานจิตร่วมกันของสาธุชนนับหมื่น ณ มหาธรรมกายเจดีย์ ขณะเมื่อมหาชนผู้มีบุญได้มาพร้อมกันร่วมแสดงมโนปณิธาน ที่จะสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จด้วยการเปล่งเสียงอันเป็นสิริมงคล เช่น เราคือผู้พิชิต ปิดแกนกลาง ชิตัง เม หรือ ทุ่มชีวี... สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ สิ่งอัศจรรย์ก็เริ่มเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ก้อนเมฆอันบดบังดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวอย่างผิดปกติ ในเวลาประมาณ 17.30 น." )

"วันที่ 11 ตุลาคม เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก ในขณะที่มีการปฏิบัติธรรมอธิษฐานจิต ณ มหาธรรมกายเจดีย์เช่นเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนหน้าวันนี้หรือหลังจากวันนี้ ไม่ปรากฏภาพดังกล่าวบนท้องฟ้าเลย แต่เมื่อใดพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ นำมหาชนรวมใจอธิษฐานจิต ณ บริเวณดังกล่าวเมื่อนั้นทุกคนมักจะพบกับความปลาบปลื้มว่า บุญที่ตนเองได้ทำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้รู้มีญาณรับรู้รับทราบ ได้มาปรากฏเป็นความอัศจรรย์ให้เห็น"

'ความอัศจรรย์' ที่ว่านี้ ตามบันทึกบอกว่า เหมือนดวงตะวันถูกดูดหายไป แล้วมีดวงธรรมเหมือนดวงแก้วใสๆ ปรากฏขึ้นมาตรงกลางดวงอาทิตย์คล้ายสุ- ริยคราส แต่เป็นคราสดวงใสๆ (ตะวันแก้ว) เกิดวงแหวนที่รอบนอก เป็นตามขอบของดวงตะวันแก้ว หมุนวนไปทางขวา เปล่งฉัพพรรณรังสีออกมา เป็นสีต่างๆ จนกระทั่งสุดท้ายเป็นสีทอง ทาบทาไปบนท้องฟ้า อยู่ในกลางกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ กะพริบถี่ๆ อยู่ตลอดเวลา ผลุบเข้าผลุบออกเหมือนซูมเข้าซูมออก... ยิ่งเปล่งวาจา ยิ่งปฏิญาณตน โบกธงแห่งชัยชนะเท่าไร ตะวันแก้วนั้นยิ่งกะพริบถี่ๆ หมุนเร็วจี๋ แสงยิ่งเปล่งประกาย ทาบทาจนกระทั่งธรรมกายเจดีย์เป็นสีทอง พระภิกษุสามเณรทั้งหลายเป็นสีชมพู พวกเราทุกคนเป็นสีทอง...

ต่อปรากฏการณ์ในลักษณ์ดังกล่าวนี้ ชัยวัฒน์ คุประตกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยศรี-นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ให้สัมภาษณ์ 'เนชั่น สุดสัปดาห์' ว่า โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในช่วงที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน และเราเห็นว่าอยู่ไล่เลี่ยกับดินนั้น จริงๆ ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว สิ่งที่เราเห็นเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ที่หักเหผ่านชั้นบรรยากาศของโลกมาค่อนข้างมาก ฉะนั้น สภาพที่มองเห็นจะไม่เป็นธรรมชาตินัก ปรากฏแบบไม่ปกติเท่าไหร่ บางทีก็อาจมองเห็นความสวยงาม หรืออะไรแปลกๆ ไปได้

"เพราะฉะนั้น จึงตอบว่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่เรายังมองเห็นอยู่ เพราะแสงหักเหได้ สภาพดวงอาทิตย์ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไร บางทีบิดเบี้ยวโค้งๆ บางทีเห็นเป็น 2 ส่วน ขึ้นกับสภาพของบรรยากาศโลกเรา"

"ในช่วงเวลาที่เรียกว่าแดนสนธยา เวลาพลบอย่างนั้น ความแตกต่างของบรรยากาศจะสูงมากในส่วนที่เป็นรอยต่อกลางวันกลางคืน อุณหภูมิของช่วงกลางวันร้อนมาก อุณหภูมิช่วงกลางคืนเย็น ช่วงรอยต่อมีความแปรปรวนสูงของบรรยากาศ ดังนั้น จึงทำให้ดวงอาทิตย์มีสภาพบางครั้งก็แปลกๆ แล้วแต่จะมองกัน ถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์ ก็งดงาม เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไร อาจจะเห็นเป็น 2 ดวง เป็นแหว่งๆ เบี้ยวๆ อาจมีแสงต่างๆ ได้ ซึ่งแต่ละวันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน"

ขณะที่ น.พ.ประสาน ต่างใจ กล่าวว่า โดยปกติดวงอาทิตย์หมุนไปทางซ้าย ทวนเข็มนาฬิกา และว่าสิ่งที่ได้ยินนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หลายครั้ง มีคนเคยเล่าถึงชายคนหนึ่งที่เป็นโรคจิตและชอบจ้องมองดวงอาทิตย์ พอท่านไปถามว่า ทำไมถึงจ้องมองดวงอาทิตย์ เขาก็บอกว่าดวงอาทิตย์กำลังสื่อสารกับเขาอยู่ ซึ่งดวงอาทิตย์นั้น ตรงกลางมีวงๆ กำลังหมุนติ้วและมีลักษณะคล้ายเป็นแท่ง

อีกกรณีเป็นเรื่องของแม่พระฟา-ติมา ตอนนั้นมีเด็กผู้หญิง 3 คนได้เห็นพระแม่มาเรีย (13 พฤษภาคม ค.ศ.1917 ที่หมู่บ้านฟาติมา ประเทศโปรตุเกส) แต่ก่อนที่พระแม่จะมา พระอาทิตย์จะหมุนติ้ว ทั้งที่ขณะนั้น พระอาทิตย์มีแสงแรงกล้า แต่คนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในครั้งที่มาปรากฏให้เด็ก 3 คนนั้นเห็น ได้ประกาศว่า ในวันที่...จะมาปรากฏให้คนดู ให้เด็กทั้งสามบอกผู้อื่นด้วย

"ทีนี้ในวันที่พระแม่มาเรียบอกจะมีการเผยแสดงจากเบื้องบนนั้น ปรากฏว่าคนมาดูเป็นหมื่น วันนั้นเผอิญฝนตก คนก็มา และจ้องไปที่ท้องฟ้า ทุกคนมองพระอาทิตย์ด้วยตาเปล่าสบายมาก สักพักก็มีปรากฏการณ์อย่างนี้ คือ พระอาทิตย์หมุน ติ้วและมีจุดตรงกลางพระอาทิตย์ปรากฏเป็นสิ่งซึ่งเลื่อนเข้าเลื่อนออก และหมุนได้ ที่แปลกก็คือ คนที่กำลังเปียกเพราะฝนตก รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีและเสื้อผ้าแห้งไปหมด นี่ ก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง

"เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก็มีปรากฏการณ์คล้ายๆ อย่างนี้ที่ฟิลิปปินส์ ดังนั้น เรื่องที่เห็นพระอาทิตย์หลายดวง มาซ้อนกันหมุน และหายไป เป็นสิ่งซึ่งปรากฏในประวัติศาสตร์และเล่ากันมาช้านาน จะ เหมือนกันอย่างไร จริงเท็จอย่างไร ไม่ทราบได้ ให้ได้แต่เพียงข้อมูลว่า มีเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏแก่สายตาคนเหล่านั้น

"มีหลายกลุ่ม...คนที่ไปอยู่จุดนั้นในวันเวลาดังกล่าว ก็อาจจะมองเห็นเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือการสะกดจิตหมู่ก็ได้ เช่น โปรเจกท์สิ่งนั้นขึ้นมา หมายความว่าเป็นภาพที่ตัวเองสร้างขึ้นจากคำโน้มน้าวของคนอื่น หรืออาจเป็นเรื่องของสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะความศรัทธา หรือเพราะอย่างอื่น อย่างใด" น.พ.ประสาน กล่าว

อย่างไรก็ตาม น.พ.ประสาน ได้ให้ข้อคิดว่า สิ่งที่เห็นด้วยตากับคำอธิบายนั้น ไม่จำเป็นต้องตรงกันเสมอ ในเรื่องนี้จะใช้เหตุผลไปอธิบายปรากฏการณ์ทุกอย่างไม่ได้ เรื่องของจิตจะพยายามทำให้เป็นกายย่อมไม่ได้ เช่นเดียวกับสิ่งของที่วัดได้ชั่งได้ จะให้เป็นความเข้าใจทางจิตย่อมไม่ได้

"ถ้าเราไม่ทำจิตใจให้มีกำแพงกั้น เราไม่ติดคุกของเราเองว่า ฉันรู้ทุกอย่าง หรือฉันไม่รู้สักอย่าง อ่านเนื้อหาของเขา ตามเขาไปแล้ว เราสามารถจับประเด็นได้ ไม่งั้นจะเป็นคำถามตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นความเร้นลับอะไรสำหรับผม" น.พ.ประสาน กล่าวย้ำในตอนท้าย


Last modified: วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2541